เมื่อเห็นว่ามู่หรงจิ่งหลีเอาแต่จับจ้องหนีเจียเอ๋อร์ โจวชิงหวาก็ถอดจี้หยกที่เขาสวมอยู่ออกมายื่นให้ “จิ่งหลี เ้าช่วยข้าดูจี้หยกชิ้นนี้หน่อย”
องค์ชายสามขมวดคิ้ว “จำได้ว่าเมื่อปีก่อน ตอนข้าได้จี้หยกปลอม ที่เลียนแบบเหมือนของจริงมากมาหนึ่งชิ้น ก็ได้ท่านเป็คนช่วยตรวจสอบ”
โจวชิงหวาตอบอย่างใจเย็น “ไม่ว่าจะเชี่ยวชาญมากแค่ไหน ก็ย่อมมีโอกาสผิดพลาดได้ มาช่วยข้าดูเร็ว”
กู่อวี่เสวียนจึงกล่าว “คุณหนูรองหนี ปล่อยให้พวกเขาหารือเื่หยกกันไปก่อน ส่วนพวกเราก็ไปเดินเล่นแทน ดีหรือไม่?”
“เพคะ องค์หญิง” หนีเจียเอ๋อร์ยืนขึ้นอย่างให้ความร่วมมือ
คล้อยหลังพวกนาง โจวชิงหวาก็ลอบถอนหายใจโล่งอก เป็เื่ยากที่จะรับมือกับสมาชิกราชวงศ์อย่างกู่อวี่เสวียน ยิ่งมู่หรงจิ่งหลีทำตัวเข้าถึงง่ายเกินไป การจัดการกับนางจึงลำบากมิใช่น้อย
เมื่อยืนอยู่ที่หัวเรือ ชมผิวน้ำทอประกายระยิบระยับ พร้อมััสายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิซึ่งโชยพัดมาอย่างแ่เบา ทิวทัศน์ทะเลสาบที่มองเห็นช่างดูน่ารื่นรมย์ และงดงามเสียยิ่งกว่าภาพวาด
กู่อวี่เสวียนชำเลืองมองบุรุษทั้งสอง ที่กำลังพูดคุยเื่จี้หยกในมือ พอเห็นว่าคงจะไม่มีใครสังเกตเห็น ก็รีบยื่นมือออกไปผลักหนีเจียเอ๋อร์ ซึ่งกำลังยืนหลับตาอยู่
แต่อีกฝ่ายกลับรู้สึกว่าพื้นเรือสั่นไหวเล็กน้อย จึงลืมตาขึ้น แล้วเบี่ยงตัวไปด้านข้าง จึงทำให้องค์หญิงใหญ่เป็ฝ่ายพลัดตกเรือไปเอง
ตูม!
น้ำกระเซ็นใส่ใบหน้าของหนีเจียเอ๋อร์ หญิงสาวเชิดหน้าขึ้น พลางมองกู่อวี่เสวียนที่กำลังพยายามประคองตัวอยู่ในน้ำ ด้วยสายตาเ็า ก่อนแสร้งร้องอุทาน “องค์ชายสาม องค์หญิงพลัดตกน้ำเพคะ”
ทั้งมู่หรงจิ่งหลีและโจวชิงหวารีบวิ่งเข้ามาดู แต่น่าแปลก ที่พอเห็นสตรีซึ่งกำลังดิ้นรนเอาตัวรอดในน้ำ พวกเขากลับมิได้แสดงท่าทีร้อนใจนัก ราวกับว่าไม่มีผู้ใดคิดจะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ
“องค์ชายสาม องค์ชาย... ช่วยด้วย ช่วยหม่อมฉันด้วย ช่วยหม่อมฉันที” กู่อวี่เสวียนร้องเรียกมู่หรงจิ่งหลี ด้วยหวังว่าจะรับการช่วยเหลือ
แต่ชายหนุ่มกลับย่นคิ้ว กวาดตามอง แล้วแสร้งทำเป็ไขสือ
ส่วนโจวชิงหวาก็มีเหตุผลที่ทำให้ไม่อยากเข้าไปช่วย เพราะคนเช่นองค์หญิงใหญ่ ในยามปกติก็เอาแต่ทำร้ายผู้อื่น หากครานี้รอดชีวิตกลับไป ฝ่ายที่จะถูกสังหารย่อมเป็พวกเขาแน่ ดังนั้น เขาจึงเพียงยืนดูอยู่เงียบๆ
ทว่าเหตุใดมู่หรงจิ่งหลีก็เลือกที่จะเพิกเฉยเช่นกัน หนีเจียเอ๋อร์ก็ไม่อาจเข้าใจได้
นางจึงสะกิดองค์ชายผู้แสร้งทำเป็โง่งม “องค์ชายสาม องค์หญิงใหญ่กำลังจะจมน้ำตาย ท่านไม่ลงไปช่วยนางหน่อยหรือเพคะ?”
มู่หรงจิ่งหลีเหลือบมองเสื้อผ้าของตน แล้วชี้ไปยังองครักษ์ที่อยู่ในเรือ “เรียกพวกเขามาช่วยสิ หากเปียกน้ำ ภาพลักษณ์ของข้าคงเสียหาย”
หญิงสาวมุมปากกระตุก ความประทับใจที่มีต่ออีกฝ่ายลดฮวบลงทันที
โจวชิงหวาจึงไม่มีทางเลือก จำต้องใช้วิชาตัวเบา ทะยานไปช่วยดึงร่างกู่อวี่เสวียนขึ้นมาบนเรือ
ด้วยเกรงว่าหญิงสาวที่ตัวเปียกโชกผู้นั้นจะโผเข้าหาตน มู่หรงจิ่งหลีจึงรีบถอยร่นไปสองสามก้าวด้วยความรังเกียจ พลางพูด “องค์หญิง เติบโตมาจนป่านนี้แล้ว ยังไม่รู้จักระมัดระวัง ปล่อยให้ตัวเองพลัดตกลงไปในทะเลสาบได้ เฮ้อ... กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
แววตาคู่นั้นฉายแววรังเกียจชัดเจน จนแทบจะพูดออกมาได้แล้วว่า ‘ท่านช่างน่าสมเพชนัก!’
หญิงสาวมองอีกฝ่ายอย่างไม่อยากจะเชื่อ… มู่หรงจิ่งหลีเป็ชายในดวงใจที่ตนใฝ่ฝันถึงเรื่อยมา สำหรับกู่อวี่เสวียนแล้ว องค์ชายสามเป็ดั่งเทพบุตรผู้เพียบพร้อม แต่คนผู้นี้กลับเห็นชีวิตของนางไร้ค่า ไม่อาจเทียบได้กับภาพลักษณ์ของเขาเสียด้วยซ้ำ?
ผู้ที่นางเฝ้าคะนึงหามาหลายปี ยังเทียบมิได้แม้แต่โจวชิงหวา...
ในยามนี้ หญิงสาวจึงไม่เพียงผิดหวังในตัวเขา แต่ถึงกับสิ้นหวังไปโดยสิ้นเชิง!
ขณะเดินทางไปส่งกู่อวี่เสวียนกลับวัง หนีเจียเอ๋อร์ได้แต่นึกดูถูกมู่หรงจิ่งหลี ว่าเป็ ‘สุภาพชนจอมปลอม’ ความคิดที่นางมีต่อคนผู้นี้ พลิกจากหน้ามือเป็หลังมือ จากที่พอจะพึงใจเขาอยู่บ้าง ตอนนี้กลับกลายเป็เฉยชาไม่แยแส
กู่อวี่เสวียนได้รับการดูแลจากบรรดานางกำนัลในวังอย่างรวดเร็ว แต่ก่อนที่จะเข้าไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า นางก็สั่งให้คนไปตามหมอหลวงมาตรวจร่างกายให้โจวชิงหวาแทนการขอบคุณ
หนีเจียเอ๋อร์และมู่หรงจิ่งหลี เดินออกจากพระราชวังพร้อมกัน แต่เนื่องจากจวนสกุลหนีกับเรือนรับรองอยู่คนละทาง ดังนั้น พวกเขาจึงควรจะแยกย้ายกันไป ทว่า ชายหนุ่มยังคงติดตามนางทุกย่างก้าว
หนีเจียเอ๋อร์จึงหยุดเดิน แล้วหันไปเลิกคิ้วเล็กน้อย “องค์ชายสาม ท่านมาผิดทางแล้ว”
“ไม่หรอก ถูกทางแล้ว ข้าว่าจะไปเยี่ยมนายท่านหนีสักหน่อย” มู่หรงจิ่งหลียิ้มกว้าง จนดวงตาเรียวยาวทรงเสน่ห์ชวนหลงใหลหรี่ลง
“เสี่ยวเอ๋อร์ เ้าเป็สตรีที่วิเศษมาก ข้าอยากเป็เพื่อนกับเ้า คงไม่ปฏิเสธกระมัง?” เขาพูด พลางโน้มตัวลง เผยให้เห็นใบหน้าอันหล่อเหลา
หนีเจียเอ๋อร์ถอยหลังไปสามก้าว พลางมุ่นคิ้วด้วยความหงุดหงิด แววตาแข็งขืน “องค์ชายสาม หม่อมฉันมิกล้าใฝ่สูงขนาดนั้น พระองค์คงจะไม่บีบบังคับให้ผู้อื่นต้องลำบากใจ ใช่หรือไม่เพคะ?”
มู่หรงจิ่งหลีมองหญิงสาวที่ยืนกรานอย่างเด็ดเดี่ยว หากรู้ว่าการที่ตนไม่ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือกู่อวี่เสวียน จะทำให้หนีเจียเอ๋อร์รังเกียจเช่นนี้ละก็...
แม้ใจร้อน แต่ไม่อาจกินเต้าหู้ร้อนได้[1] เหตุใดไม่ลองถอยดูก่อนเล่า
เขาจึงเอ่ย “เป็ข้าที่เสียมารยาทแล้ว หวังว่าคุณหนูรองหนีจะไม่ถือสา”
ใบหน้าของหญิงสาวยังคงเรียบเฉย ชายหนุ่มจึงเป็ฝ่ายกล่าวเบาๆ “ลาก่อน”
หลังผละจากมา มู่หรงจิ่งหลีก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเดินกลับไปยังตำหนักองค์หญิงใหญ่ ซึ่งขณะนั้น กู่อวี่เสวียนได้ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ผมของนางถูกเกล้าเป็มวยอย่างเรียบง่าย ใบหน้าที่มิได้แต่งแต้มดูซีดเซียวเล็กน้อย
พออีกฝ่ายย้อนกลับมา นางก็แสร้งทำเป็มองไม่เห็น พลางเอ่ยว่า “คุณชายโจว ขอบคุณที่ช่วยข้าไว้อีกครั้ง หากท่าน้าสิ่งใด ข้าจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ต่อให้เป็คำขอที่ไร้เหตุผลก็ตาม รับรองว่าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง”
โจวชิงหวาจึงพูดน้ำเสียงจริงจัง “เช่นนั้น โปรดทรงอย่ากลั่นแกล้งแม่นางหนีอีก นี่คือคำขอของกระหม่อม”
กู่อวี่เสวียนเบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ “หนีเจียเอ๋อร์มีอะไรดีหรือ? เ้าถึงทุ่มเทเพื่อนางขนาดนี้!”
ยิ่งหันมาเห็นมู่หรงจิ่งหลี นางก็ยิ่งปวดใจ...
“ได้! ข้าสัญญา” หญิงสาวรับปาก
จากนั้นก็ทอดมองไปยังองค์ชายสาม ก่อนหันหลังเดินจากไป
มู่หรงจิ่งหลีรู้สึกละอายใจเล็กน้อย เขายกมือลูบจมูก พลางกล่าวคล้ายหาทางลงให้ตัวเอง “พี่ชิงหวา ท่านปฏิเสธโอกาสในการก้าวหน้าแล้ว หากองค์หญิงทูลขอต่อฮ่องเต้ ให้ทรงประทานตำแหน่งให้ อย่างน้อยที่สุด ท่านก็เป็ถึงขุนนางระดับสี่ คิดทบทวนอีกทีตอนนี้ก็ยังไม่สาย”
ในแคว้นฉีเหลียน ไม่ว่าพ่อค้าจะประสบความสำเร็จมากเพียงใด ก็หาได้เป็ที่ยอมรับนับถือเท่าเหล่าขุนนาง ดังนั้น ผู้คนจึงหมั่นศึกษาเล่าเรียนเขียนอ่าน เพื่อสอบเข้ารับราชการ ด้วยนี่เป็หนทางเดียวที่จะสร้างเกียรติคุณให้แก่บรรพบุรุษ
แต่โจวชิงหวากลับเห็นความปลอดภัยของหนีเจียเอ๋อร์ สำคัญกว่าโอกาสในการเป็ขุนนาง
มุมปากของเขาค่อยๆ เหยียดออกเป็รอยยิ้ม ก่อนเอ่ยทิ้งท้าย “ข้าพอใจที่จะเป็พ่อค้าหน้าเงินมากกว่า”
มู่หรงจิ่งหลีส่ายศีรษะด้วยความไม่เข้าใจ แต่ก็ยังเดินตามอีกฝ่ายไปโดยดี
หลังออกจากวัง โจวชิงหวาก็คารวะเป็การอำลา “จิ่งหลี ข้ายังมีบางอย่างต้องทำ ขอตัวก่อน”
มู่หรงจิ่งหลียื่นมือไปตบไหล่พี่น้องร่วมสาบาน แล้วจึงพูด “ข้าก็อยู่ว่างๆ ทำไมมิให้ติดตามไปด้วยเล่า”
โจวชิงหวาจึงไม่อาจปฏิเสธได้ จำต้องเชิญองค์ชายสามขึ้นรถม้าไปด้วยกัน
------------------------------
[1] ‘แม้ใจร้อน แต่ก็ไม่อาจกินเต้าหู้ร้อนได้’ เป็สำนวน หมายถึง ต้องมีความอดทนรอคอย เพื่อที่จะทำการบางอย่างให้สำเร็จลงได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้