ตอนนี้เป็่เวลากลางวัน แม้หย่งอวี้ยังควบคุมร่างกายอยู่ในตอนนี้ แต่คะแนนความประทับใจของเฟิงอวี้ก็ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งไม่เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน
หรือว่าหย่งอวี้ส่งผลต่อเฟิงอวี้?
พวกเขาสามารถผสานกันได้จริงหรือ?
[โฮสต์ครับ คะแนนความประทับใจของพวกเขาเพิ่มขึ้นพร้อมกันเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่พวกเราคาดเดาไว้เมื่อวานนั้นถูกต้อง ดังนั้นปัญหาอยู่ที่หย่งอวี้ครับ] ระบบแจกแจงแล้วเอ่ย [การพิชิตใจหย่งอวี้เดิมทีก็เป็การบังคับให้เขาผิดศีล เหมือนกับว่าทำให้เขามี “ความ้า” เป็ความ้าในตัวคุณอย่างแรงกล้า ยิ่งความรู้สึกของเขามากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งส่งผลอย่างมากต่อคะแนนความประทับใจของเฟิงอวี้]
อวี๋มู่ : …ความ้าในตัวฉันอย่างแรงกล้า? ที่นายพูดมามันทำให้ฉันรู้สึกสันหลังเย็นวาบชะมัด
[หรือไม่ใช่? เวลาชอบใครสักคนก็ย่อมต้องมีความปรารถนาอันแรงกล้าไม่ใช่หรือครับ?]
คำพูดที่ดูไม่ใส่ใจคำเดียวของระบบ ทำเอาอวี๋มู่นิ่งอึ้งไปชั่วขณะ
ความปรารถนาอันแรงกล้า
เขาเคยมีความปรารถนาอันแรงกล้าแบบนี้ไหมนะ?
พอย้อนนึกถึงชีวิตตัวเอง ก็ดูเหมือนว่าอวี๋มู่จะไม่เคยมีความปรารถนาอันแรงกล้าเช่นนี้กับสิ่งของหรือใครก็ตามมาก่อน
หากสิ่งที่ระบบพูดมาถูกต้อง ตามหลักจิตวิทยาของการเกิดความปรารถนาอันแรงกล้าในเวลาที่ชอบใครสักคน ถ้าอย่างนั้นก็เท่ากับว่าเขาไม่เคยชอบใครจริงๆ แม้แต่คนเดียวหรือ?
ที่แท้ก็เป็เช่นนี้นี่เอง
พอคิดดูแล้ว เขานี่อ่อนหัดจริงๆ ด้วย
จู่ๆ ก็รู้สึกสำนึก ทำเอาใจของอวี๋มู่ถึงกับขมขื่นขึ้นมา เขาเอ่ยกับระบบ : ระบบ จู่ๆ ฉันก็รู้สึกว่า ทั้งที่ฉันมีชีวิตมาจนถึงตอนนี้ แต่กลับไม่เคยมีความปรารถนาอันแรงกล้าเช่นนั้นมาก่อน
ตอนที่ระบบได้ยินเขากล่าวเช่นนั้น ทีแรกก็ชะงักไป แต่จากหลังนั้นก็เอ่ยต่อ [โฮสต์ครับ คุณก็มีนะ]
อวี๋มู่ : อ๋า?
[คุณอยากชุบชีวิตให้ชีหย่วน] ระบบเอ่ย [คุณลองคิดดู ความทุกข์ทรมานที่คุณได้รับจากโลกที่ผ่านมา ทั้งโดนมีดแทง ทั้งตัดนิ้ว แล้วยังถูกตัววายร้ายทั้งหลายทรมาน แต่คุณก็ไม่เคยถอดใจกับภารกิจ ก็เพียงเพื่ออยากช่วยฟื้นคืนชีพให้ชีหย่วน นี่ไม่นับว่าเป็ความปรารถนาอันแรงกล้าหรือครับ?]
[สำหรับคุณแล้ว ชีหย่วนคนนั้นนับว่าเป็อะไร ผมก็ไม่ทราบ แต่ผมรู้สึกว่าคุณเองควรลองคิดดูดีๆ นะครับ]
อวี๋มู่ : … ระบบ จู่ๆ นายก็ทำขึงขังขึ้นมา ทำเอาฉันกลัวเลยนะนี่
[กลัวอะไรเล่า! โฮสต์ซื่อบื้อของผม! คุณลองเปิดหูเปิดตาหน่อยเถอะ!]
แม้ครั้งนี้อวี๋มู่ไม่ได้ตอบเขา แต่ก็เริ่มไตร่ตรองบ้างแล้ว
เขาแน่วแน่ว่ารสนิยมของตัวเองไม่ได้มีปัญหา เวลาดูคลิปวิดีโอเกย์ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร ซึ่งตามหลักแล้วเขาไม่น่าจะชอบชีหย่วน
แต่ทำไมตอนนั้น พอระบบบอกว่าสามารถฟื้นคืนชีวิตให้ชีหย่วนได้ เขาก็ถูกจูงจมูกอย่างง่ายๆ ท่ามกลางสถานการณ์ที่ยังไม่เข้าใจอะไรเลยล่ะ?
ทั้งถูกแทง ทั้งตัดนิ้ว กระทั่งเสียเกียรติถูกเว่ยจวินหยางกระทำเกินเลยเป็เวลานาน สิ่งเหล่านี้เขาล้วนอดทนมาได้
เพียงเพราะอยากเห็นชีหย่วนมีชีวิตอยู่เพื่อกล่าวขอโทษกับเขาแล้วจบแค่นั้นจริงหรือ?
อวี๋มู่คิดจนปวดหัว แต่ก็ยังไม่อยากยอมรับว่าตัวเองชอบชีหย่วน
เขายังคงคิดว่าความรู้สึกซับซ้อนเหล่านี้ต้องรอให้ชีหย่วนฟื้นคืนมา แล้วเผชิญหน้ากันถึงจะสะสางได้
ทว่าอย่างน้อยตอนนี้ เขาก็ไม่กล้าบอกว่าตัวเองเป็ชายแท้แล้วเหมือนกัน
เพราะเขาพบว่านับั้แ่มีชีวิตอยู่มาจนถึงอายุยี่สิบแปด เื่ชุบชีวิตชีหย่วนกลับกลายเป็เื่ที่เขาอดทนทำได้นานที่สุด และอยากทำให้เป็จริงที่สุด
หากว่านี่คือหลักจิตวิทยาของความปรารถนาแรงกล้าที่เขามีต่อชีหย่วน ก็มีความเป็ไปได้ที่ความรู้สึกของเขาที่มีต่อชีหย่วนจะมากกว่าแค่การดูแลน้องชายข้างบ้าน
หลายครั้งอวี๋มู่เองก็เป็พวกมีตรรกะ ฉะนั้นตอนนี้เขาจึงเข้าใจที่จะไม่ปฏิเสธการยอมรับเื่บางเื่
พอควบคุมสภาพจิตใจได้ ก็ตระหนักได้ว่าตอนนี้สิ่งที่เขาต้องรีบทำคือรีบปฏิบัติภารกิจให้จบ แล้วไปหงายไพ่กับชีหย่วน
พอคิดได้เช่นนี้ สายตาที่เขามองหย่งอวี้ก็ยิ่งร้อนผ่าวขึ้นหลายระดับ
ทางด้านหย่งอวี้นั้น นับั้แ่ที่เขารู้ความรู้สึกของตัวเองที่มีต่ออวี๋มู่ เขาก็เริ่มรู้สึกมึนงง กระทั่งฟังธรรมจบ เ้าอาวาสก็ชี้ทางเขาไปนิดหน่อย จนเขาเริ่มได้สติ แล้วพยักหน้าเงียบๆ
เมื่อกระจกน้ำปิดไป หย่งอวี้ก็ขยับลูกประคำในมือ เขาพยายามอย่างมากเพื่อให้ตัวเองกลับสู่ความสงบนิ่ง
เพราะตอนนี้เขารู้สึกว่าการอยู่ห้องเดียวกับอวี๋มู่นั้นเป็การทดสอบพลังใจของเขาอย่างมาก พานให้รู้สึกละอายใจ
และรู้สึกอัดอัดใจกับตัวเองที่มีความรู้สึกเช่นนี้
“ขอโทษด้วย” อวี๋มู่เอ่ยปากก่อน “วันนี้ข้ามาสาย ขอโทษที่ปล่อยให้อาจารย์รอเสียนาน”
“อา ไม่เป็ไร” หย่งอวี้รีบเอ่ย “โยมอวี๋ไม่ต้องขอโทษ”
กล่าวจบ นิ้วมือของเขาก็หมุนลูกประคำเร็วขึ้นกว่าเดิม
ในสายตาอวี๋มู่ เขานึกว่าหย่งอวี้กำลังรู้สึกเกรงใจ ถึงอย่างไร อารมณ์ของหย่งอวี้มักจะเผยผ่านสีหน้า ซ่อนอย่างไรก็ซ่อนไม่อยู่
เขากำลังนึกจะพูดอะไรสักอย่าง แต่หย่งอวี้กลับถามขึ้นมาเสียก่อน
“โยมอวี๋มีเื่ในใจหรือ?” นักบวชน้อยเม้มปาก แล้วเอ่ย “เมื่อครู่ข้าพบว่าเ้าไม่ได้ฟังธรรมเลย”
พอกล่าวถึงตรงนี้ หย่งอวี้ก็รู้สึกว่าตนเองพูดจาเกินเลยไปสักหน่อย จึงรีบกล่าวเสริม “อาตมาไม่ได้มีเจตนาจะกล่าวโทษโยมอวี๋ เพียงแต่ว่าเป็ห่วง”
ห่วงว่าเ้าจะไม่มาอีก
เขาไม่กล้าสบตาอวี๋มู่ ได้แต่ก้มหน้า แล้วรอคำตอบของชายหนุ่ม
“ข้าบังเอิญพบกับปัญหาเข้า” อวี๋มู่นึกถึงพวกิญญาโง่ ในขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่ ทันใดนั้นเขาก็คิดวิธีขึ้นได้ จึงเอ่ยขึ้น “ข้าถูกิญญาข้างล่างขู่ พวกเขาบอกให้ข้ามาฆ่าท่าน ข้าถูกบังคับให้ตอบตกลงถึงขึ้นมาได้”
อวี๋มู่ทำท่าราวกับหวาดกลัวแล้วยังรู้สึกขมขื่น ทั้งยังทำน้ำเสียงต่ำ ซึ่งดึงดูดให้หย่งอวี้เลื่อนสายตาขึ้นมามองเขา
นักบวชน้อยนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนเอ่ยถาม “เช่นนั้นโยมอวี๋ทำไมต้องบอกเื่นี้กับข้าด้วย? ”
“อ๋า? ” อวี๋มู่กะพริบตา พลางรู้สึกไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมหย่งอวี้ถึงพูดกับตนเช่นนี้
“โยมน่าจะต้องหลอกข้าออกจากแท่นหิน แล้วฆ่าข้าเพื่อปกป้องตัวเอง ทำไมต้องมาบอกข้าด้วย? ”
ในที่สุดหย่งอวี้ก็กล้าสบตาเขา แล้วบอก “โยมอวี๋ อันที่จริง หากเ้าทำเช่นนี้จริง ข้าก็จะไม่โทษเ้า”
เขาหัวเราะเบาๆ แล้วเอ่ยต่อ “ขอเพียงิญญาพวกนั้นยอมปล่อยโยมอวี๋ไป อาตมาคิดว่ามอบชีวิตให้ก็นับว่าคุ้มค่า”
นายบ้าไปแล้วหรือ?
คำพูดนี้อวี๋มู่ไม่ได้กล่าวออกไป แต่จังหวะนั้นเขาแอบโมโหเล็กน้อย
เขาขมวดคิ้ว แล้วตอบหย่งอวี้ “อาจารย์ ท่านคิดว่าข้าจะทำเช่นนั้นหรือ? ”
เขาเอ่ย “หากข้าอยากฆ่าท่านจริง ก่อนหน้านี้คงลงมือไปแล้ว แต่ข้าเป็คนที่ตายไปแล้ว ดังนั้นกับเื่เป็ตายนั้น ข้าไม่ได้ใส่ใจอยู่แล้ว แต่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านควรเห็นคุณค่าชีวิตของตัวเอง อย่าได้มอบสละชีวิตตัวเองเพื่อคนที่ไม่เข้าใจด้วยซ้ำ”
โดยเฉพาะคนหลอกลวงที่แค่อยากทำภารกิจให้สำเร็จ นับว่าไม่คุ้มค่าแม้แต่นิดเดียว
แม้เขาจะกล่าวออกไปมากมาย แต่ขณะนี้หย่งอวี้กลับเหมือนถูกฝ่ามือมารสะกด จนจับคำพูดได้แค่คำเดียว
เขากล่าวเสียงต่ำ “คนที่ไม่เข้าใจ…โยมอวี๋จำเป็ต้องแยกระหว่างข้ากับเ้าอย่างชัดเจนขนาดนี้ด้วยหรือ?”
เขายิ้มขมขื่น “อีกอย่าง ข้าเห็นคุณค่าชีวิตนี้ไปแล้วจะได้อะไร ตอนนี้ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองอยู่ไปเพื่ออะไร อยู่เพื่อใคร? ข้าคิด หากข้าตายไป ก็คงมีแต่คนป่าวร้องยินดี แต่ไม่ใช่หลั่งน้ำตาเพื่อข้า… ”
ครั้งนี้ เขาไม่ได้ใช้สรรพนามแทนตัวเองว่า ‘อาตมา’ แต่ใช้แทนตัวว่า ‘ข้า’ อีกทั้งอารมณ์ก็ไม่ได้นิ่งสงบเหมือนเคย เหมือนกับว่ากำลังระบายความในใจทั้งหมดที่กล้ำกลืนออกมา จนควบคุมตัวเองไม่อยู่ชั่วขณะ
เขารู้สึกว่าอวี๋มู่กำลังรักษาระยะห่างระหว่างตนเองกับตัวเขา จึงทำให้เขารู้สึกแย่เอามาก
เขามองอีกฝ่ายว่าเป็คนที่สำคัญที่สุดในดวงใจ แต่อวี๋มู่กลับไม่ได้คิดเช่นนั้น
“คนที่ไม่เข้าใจ” เพียงคำเดียว กลับทำให้เขากลายเป็คนเดิม ให้น่าอึดอัดใจถึงขีดสุด
-----------------------------------------------------------------------------------------------------
