ชาร์ลส์ค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า ร่างกายยังคงปวดเมื่อยไปทั้งตัวจากแรงกระแทกครั้งก่อน พร้อมกับอาการปวดตุบๆ ที่ขมับ ทันใดนั้นเขาก็ผงะเล็กน้อยเมื่อพบว่าตัวเองไม่ได้อยู่ที่เดิม
เขาอยู่ในห้องขังแคบๆ สี่เหลี่ยม ผนังและพื้นเย็นเฉียบปูด้วยหินสีดำเทา เพดานสูงมีเพียงช่องระบายอากาศที่เป็ตะแกรงเหล็กขนาดเล็ก ยามแสงสีส้มสลัวจากดวงอาทิตย์ลอดผ่านช่องนั้นเข้ามา ก็เกิดเงาตารางสะท้อนลงบนพื้น มุมหนึ่งมีถังไม้ไว้สำหรับขับถ่าย ส่วนอีกมุมปูด้วยฟูกบางๆ สกปรกยับเยิน คงเป็ที่สำหรับนอน นอกนั้นก็ไร้ซึ่งข้าวของใดๆ ทั้งสิ้น
เสื้อผ้าและสภาพของชาร์ลส์ดูไม่ต่างอะไรจากสภาพของห้องนัก เขาสวมเพียงเสื้อและกางเกง เนื้อตัวมอมแมมเต็มไปด้วยฝุ่นผง ดินโคลน และคราบโคลนติดเต็มไปทั้งด้านหลังและสีข้าง จากการล้มกลิ้งไปกับพื้นก่อนหน้านี้ าแรอยช้ำระบมไปทั่วร่าง แต่ที่เลวร้ายที่สุดก็คือ ข้อมือข้อเท้าของชายหนุ่มถูกล่ามไว้ด้วยโซ่เหล็กหนักอึ้ง ขยับตัวได้อย่างจำกัด
ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่ยอมแพ้ ชาร์ลส์รู้ดีว่าจะต้องหาทางหลบหนีออกไปให้ได้ แม้ร่างกายจะอ่อนแรงแต่สมองยังไม่หยุดคิด เขากวาดตามองห้องขังไปทั่ว สำรวจทุกซอกมุม มองหาจุดอ่อนหรือช่องโหว่อะไรก็ตามที่พอจะหาทางออกได้ เขาไม่รู้ว่าจะเจออะไรบ้างภายในนี้ อาจจะเป็การซ้อมทรมาน การสอบสวน หรือแม้แต่การทำร้ายร่างกายแบบไร้ความปรานี ซึ่งอาจจะกลายเป็สิ่งถ่วงรั้งจนทำให้หนีออกไปได้ลำบาก ยิ่งคิดก็ยิ่งวิตก แต่ในเวลาเดียวกันก็ต้องรวบรวมความกล้าและไหวพริบเอาไว้ให้มากที่สุด เพื่อโอกาสในการรอดพ้นจากที่แห่งนี้
ทันใดนั้นเอง เสียงฝีเท้าและเสียงคุยเบาๆ ของใครสองคนก็ย่างกรายเข้ามาใกล้ประตูห้องขัง ชาร์ลส์ชะงักฟังอย่างใจจดใจจ่อ เสียงหนึ่งในนั้นช่างคุ้นหูเสียเหลือเกิน กระทั่งเขานึกออกแล้วว่านั่นคือเสียงของชายคนที่จับตัวเขามานั่นเอง!
ชาร์ลส์จึงตัดสินใจแกล้งทำเป็ยังไม่ได้สติต่อไป เขาหลับตาลงอย่างเชื่องช้า ทิ้งตัวนิ่งเหมือนคนไร้สติสัมปชัญญะ พยายามหายใจเบาที่สุด แม้ในใจจะสั่นระริกด้วยความตื่นเต้น ใบหน้าซีดเผือด เม็ดเหงื่อผุดพรายที่ขมับ แต่เขาก็ฝืนอดทนรอคอยจังหวะเวลา จนกระทั่งตะวันลับขอบฟ้า แสงสีส้มอ่อนทอแสงผ่านช่องหน้าต่างเล็กๆ ทอดเป็เงายาวในห้องขัง เหมาะแก่การหลบซ่อน
นักสืบหนุ่มลืมตาขึ้น สายตาตกไปอยู่ที่ตะแกรงเหล็กเหนือศีรษะ มันสูงเกินกว่าจะเอื้อมมือไปถึง และมีช่องตาข่ายที่แคบเกินกว่าจะพอมุดหนีออกไปได้ แต่ถ้าใช้การเกาะตัว แนบชิดกับซอกมุม ก็น่าจะพอใช้หลบสายตาได้ในยามคับขัน
แผนร่างขึ้นในหัวของชาร์ลส์ทันที เขาจะแอบซ่อนตัวอยู่ตรงจุดนั้น แล้วทำให้ผู้คุมเข้าใจผิดคิดว่าเขาหายตัวออกไปจากห้องขังแล้ว พอได้เห็นผู้คุมเปิดประตูเข้ามาหา เขาจะได้ฉวยโอกาสฝ่าวงล้อมหนีออกไป แม้จะเสี่ยง แต่ก็ยังดีกว่ารออย่างไร้ความหวัง
ทว่าอุปสรรคสำคัญที่ขัดขวางแผนการหนีก็คือ โซ่ตรวนหนักอึ้งที่ล่ามเอาไว้ มันหนักเกินกว่าจะไต่ขึ้นไปได้สะดวก ทุกครั้งที่ขยับ เสียงโซ่กระทบกันก็จะยิ่งเรียกความสนใจจากผู้คุมให้รู้ตัว
แต่ชายหนุ่มไม่ท้อ เขาค่อยๆ ดึงโซ่ให้ตึงจนสุดนำเอาพาดไว้ตามจุดต่าง ๆ บนร่างกายเพื่อลดเสียง และยกแขนขาสูงขึ้นเหนือพื้น ใช้น้ำหนักตัวค่อยๆ ปีนป่ายขึ้นไปเบาๆ อย่างเงียบงัน ข่มเสียงครางที่ข้อมือและข้อเท้าถูกับโซ่จนบาดจนเจ็บ แต่ก็ต้องฝืนอดทน เพื่อโอกาสที่จะได้รับอิสรภาพ
ในที่สุดชาร์ลส์ก็แอบขึ้นไปถึงเพดานได้สำเร็จ เขารีบเอื้อมมือเกาะกุมตะแกรงเหล็กอย่างแ่า ทั้งมือทั้งเท้าแนบชิดไปกับผนังและซอกมุม กลืนกายไปในมุมมืดพอดี รอให้ทุกอย่างนิ่งสงบ และเตรียมพร้อมจู่โจมเมื่อถึงเวลา
จากนั้นเขาก็นิ่งสงัด เบาเสียงหายใจ ทั้งอดทนต่อความปวดเมื่อยจากการเกร็งกล้ามเนื้อ พยายามไม่ส่งเสียงใดๆ ออกมา เพียงแค่จ้องเขม็งไปที่ประตู รอคอยความผิดพลาดของศัตรู รอคอยจังหวะที่ดีที่สุดที่พวกมันจะเข้ามา
เวลาผ่านไปนานนับ ก็ยังไม่มีวี่แววของผู้คุม ชาร์ลส์เริ่มรู้สึกไม่ไหว แขนขาสั่นระริก เหงื่อกาฬไหลรินตามขมับ กล้ามเนื้อทุกส่วนเกร็งตึง ความเมื่อยล้าและความเ็ปแล่นพล่านไปทั่วร่างกาย
ในใจหนึ่งเริ่มคิดว่า ถ้าหากทนต่อไป สุดท้ายก็คงหมดแรงร่วงลงมาจากตรงนี้ แล้วศัตรูก็จะจับได้ แต่ถ้ายอมแพ้ั้แ่ตอนนี้ ก็เท่ากับทิ้งโอกาสที่จะได้หนี ทิ้งทุกความหวัง
แต่แล้วจู่ๆ เสียงฝีเท้าและเสียงซุบซิบพูดคุยของสองคนก็ดังมาจากปลายทางเดิน กำลังค่อยๆ เข้ามาใกล้ ชาร์ลส์แทบกลั้นใจไม่อยู่ กล้ามเนื้อเขาเกร็งแน่น กลั้นหายใจ และอธิษฐานในใจว่าขออย่าให้แผนนี้ผิดพลาด
ในที่สุด เวลาก็มาถึง ประตูห้องขังค่อยๆ เปิดออก ชายสองคนก้าวเข้ามาอย่างระแวดระวัง กวาดสายตามองไปทั่วห้องราวกับกำลังตามหานักโทษ
"เฮ้ย มันหายไปไหนวะ" คนหนึ่งร้องถาม
"ไม่รู้ ปกติมันก็นอนสลบอยู่นี่ไม่ใช่เหรอ" อีกคนตอบ
"แล้วนี่มันไปไหน อย่าบอกนะว่ามันหาทางหนีออกไปได้!"
"เดี๋ยวก่อน อย่าใ ตรวจดูให้ทั่วก่อน"
ชาร์ลส์ลอบยิ้มกริ่มในมุมมืดจากคำพูดนั้น นี่แหละคือโอกาสที่เขารอคอย!
โครม!!! ทันใดนั้น เขาก็กระโจนพรวดออกจากเพดานลงมาอย่างรวดเร็ว ร่างและโซ่ตรวนหนักๆ ของเขาพุ่งเข้าใส่ผู้คุมร่างใหญ่ด้วยแรงเต็มที่ เสียงอึกทึกดังก้องขณะร่างกระแทกลงบนพื้นหินแข็งกร้าว ร่างหนา ๆ ของผู้คุมคนนั้นหมดสติไปในทันที ทว่าอีกคนยังทันตั้งตัว มือควานหาอาวุธอย่างรวดเร็ว ดาบโผล่ออกมาจากไหนไม่ทราบได้ มันเงาวาววับปลายคมมีดทาบทับแสงจันทร์ที่ลอดผ่านตะแกรง
การต่อสู้ที่ดุเดือดก็เริ่มต้นขึ้น โซ่ตรวนที่ขามีผลอย่างมากต่อการเคลื่อนไหว มันถ่วงให้ท่าทางของเขาเชื่องช้าลง การตีเข่าหรือเตะเท้าทำได้อย่างจำกัด พลังที่จะซัดใส่ศัตรูก็ลดทอนลงไป แถมน้ำหนักของโซ่ยังทำให้เขาเสียหลักง่าย การทรงตัวก็แย่ลง และที่แย่ไปกว่านั้นคือโซ่ได้เสียดสีกับเนื้อหนังจนทำให้มือเท้าเขาาเ็
ทว่าถึงอย่างนั้น ชาร์ลส์ก็ยังไม่ละความพยายาม เขาใช้ความสามารถด้านการต่อสู้ป้องกันตัวจากดาบของคู่ต่อสู้ หลบเลี่ยงในจังหวะเฉียดฉิว พลิกตัวหมุนตัวเข้าจู่โจมอย่างคล่องแคล่ว ในบางครั้งเขาก็อาศัยโซ่พันธนาการ สะบัดมันเป็อาวุธ ป้องกันดาบศัตรูไม่ให้เข้าใกล้ตัว
ผู้คุมเองก็เป็นักสู้ที่เก่งกาจใช่เล่น หมัดหนักๆ ของเขาหวดใส่ชาร์ลส์ได้หลายครั้ง ร่างของชาร์ลส์โซเซไปตามแรงกระแทก แผลช้ำและเืไหลซึมออกมาจากปาก จากคิ้ว จากแก้ม
แต่ยิ่งสู้ไปนานเท่าไร เรี่ยวแรงของชาร์ลส์ก็ยิ่งถดถอยลง ขาที่ถูกโซ่ถ่วงเริ่มปวดระบมจากการขยับซ้ำไปมา ความเจ็บแปลบพาลให้สมาธิเขาลดลง จนเผลอโดนอัดไปหลายหมัด แถมยังมีแผลเจ็บที่ขาจากการโดนฟันด้วยดาบอีกต่างหาก แม้ไม่ลึกมากแต่ก็เืไหลไม่หยุด
แต่เมื่อใกล้จะสิ้นหวัง โอกาสทองก็ผุดขึ้นมา ในจังหวะที่อีกฝ่ายเผลอได้ที่ ชาร์ลส์ไม่รอช้า รีบเข้าประชิดตัว บิดข้อมือข้างที่ถือดาบมาไว้ด้านหลัง แล้วเหวี่ยงร่างของศัตรูลงพื้นด้วยเรี่ยวแรงที่เหลืออยู่ กดตัวมันไว้แน่นด้วยน้ำหนักของเขาจะสู้ตรวจ
"อย่าขยับ!" ชาร์ลส์ะโ น้ำเสียงหอบเหนื่อยฉ่ำเื "ไม่งั้นตาย!"
แม้ผู้คุมจะพยายามสู้ แต่ชาร์ลส์ก็จับข้อมือของมันไว้แน่น ยังไม่พอยังใช้ปลายโซ่รัดคอมันเอาไว้อีกชั้น แรงรัดนั้นหนักหน่วงจนแทบหายใจไม่ออก ในที่สุดมันก็จำยอม นอนแน่นิ่ง สติเริ่มเลือนราง
เมื่อได้ทีชาร์ลส์ก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาค่อยๆ คลายกำปั้น ตรวจดูว่าผู้คุมคนนั้นยังไม่ตาย แค่หมดสติไปเท่านั้น และคงไม่สามารถไล่ตามเขาได้ในเร็วนี้
แต่โชคร้ายที่ความหวังในการหลบหนีของชาร์ลส์ต้องสะดุดลง เมื่อเงามืดปริศนาร่างหนึ่งรีบวิ่งเข้ามาขวางทางเขา ผลักชาร์ลส์เต็มแรงจนล้มกลิ้งไปกองกับพื้น เ้าตัวร้องครวญคราง พยายามพยุงกายลุกขึ้นมาใหม่ หันขวับไปมองผู้มาใหม่ด้วยสายตาระแวง
ชายหนุ่มรูปร่างสง่ากำลังประคองผู้คุมที่สลบไสลอยู่ในอ้อมกอด ใบหน้าฉายแววใปนความโกรธแค้นใส่ชาร์ลส์ มือข้างหนึ่งกุมดาบที่ตกอยู่ข้างๆ
แต่แล้วดวงตาของชาร์ลส์ก็เบิกกว้าง ปากอ้าค้างด้วยความประหลาดใจระคนงุนงง เมื่อสังเกตดูคนตรงหน้าดีๆ เขาพบว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ใครที่ไหน
"โจ...โจเซฟ! นายมาได้ยังไง?" ชาร์ลส์ร้องถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ
ชายหนุ่มตรงหน้าเขาคือโจเซฟ เพื่อนสนิทของเขาเอง!
โจเซฟเองก็อึ้งไปไม่แพ้กัน เขาจ้องมองชายที่ร่างส่วนหนึ่งอยู่ในมุมมืดจนมองเห็นไม่ชัดเจน แต่เสียงกลับมีเสียงที่คุ้นหู สภาพย่ำแย่อย่างใ ราวกับไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ก่อนวางร่างผู้คุมที่หมดสติลงกับพื้นอย่างแ่เบา แล้วหันมาถามเพื่อนรัก
"ฉันต่างหากที่ควรถามนาย! นายมาทำอะไรที่นี่?"
ชาร์ลส์ได้แต่กลืนน้ำลาย เขารู้สึกว่าเื่มันยุ่งยากซับซ้อนเกินกว่าจะอธิบายได้สั้น ๆ แต่ในเมื่อเจอโจเซฟแล้ว เขาคิดว่าอย่างน้อยก็พอจะหาทางออกจากที่นี่ได้ จึงตอบสั้น ๆ ว่า
"ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน พวกนั้นจับตัวฉันมาโดยไม่บอกสาเหตุ"
ชาร์ลส์ชี้ไปยังบรรดาผู้คุมที่นอนอยู่บนพื้น ก่อนจะหันกลับมาถามโจเซฟบ้างด้วยสีหน้างุนงง
"แล้วนายเองมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?"
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้