จางจื่ออี๋เดินเข้าไปด้านในตามคำเชื้อเชิญอย่างไม่อิดออด ที่ลานหน้าเรือนมีโต๊ะไม้กลมพร้อมเก้าอี้ที่ทำมาจากไม้ทั้งท่อน เป็ที่นั่งอย่างง่ายเห็นเช่นนี้จางจื่ออี๋ก็รู้ว่าสองสามีภรรยาสกุลเหลียงชอบมานั่งกินข้าวที่หน้าลานเรือนอยู่เป็นิจ
“ท่านย่าเหลียงที่มาหาท่านในวันนี้เพราะมีเื่้าจะถามท่านจริงๆ เ้าค่ะ” หญิงที่พึ่งคลอดบุตรชายคนสุดท้องไปเมื่อปีที่แล้ว นับขึ้นไปก็มีบุตรชายอีกห้าคนหากเรียกย่าเหลียงว่าสตรีมั่งคั่งก็ไม่เกินไป จางจื่ออี๋ใช้สายตาสำรวจหน้าอกขนาดคับอีของอีกฝ่ายอย่างจริงจัง หญิงสาวมีข้อสรุปที่อนุมานมาตลอดทางที่เดินมาบ้านเหลียงเป็ที่เรียบร้อย
“มีเื่อันใดรึ หากยังเรียกข้าผู้นี้ว่าท่านย่าเหลียงก็จงพูดธุระของเ้าออกมา”ย่าเหลียงมองเด็กกำพร้าบ้านจางด้วยความอาทร ในใจของนางพร้อมที่จะช่วยเหลือเด็กๆ เหล่านี้อย่างเต็มที่ ส่วนเื่โชคร้ายอันใดนั่นคือคำกล่าวอ้างของพวกไร้ความรับผิดชอบ เดรัจฉานอย่างคนบ้านหลักสกุลจางยังนับว่าเป็คนอยู่อีกรึ หากมิใช่เพราะจางซิ่วไฉมีหรือสกุลจางจะรุ่งเื่จาถึงเพียงนี้ ถุด! เกิดเป็คนต้องรู้สำนึกบุญคุณหากหลงลืมว่ามีวันนี้ได้เพราะผู้ใด ก็สมควรไปกินมูลสุนัขแทนข้าวไปเสีย
ภายในใจของย่าเหลียงมีแต่คำหยามเหยียด ใบหน้าอันอิ่มเอิบของท่านย่าเหลียงแสดงเคลื่อนอารมณ์เปลี่ยนไปมา สิ่งที่นางคิดอยู่ในใจล้วนแสดงผ่านทางสีหน้าจนหมดสิ้น ซึ้งเื่นี้จางจื่ออี๋ไม่ได้ให้ความสนใจเท่าใดนัก เมื่อตัดความสัมพันธ์สิ้นแล้วก็ต่างคนต่างอยู่อย่าได้มาจองเวรกันเป็พอ
“ท่านย่าเหลียงท่านอาน้อยหย่านมแล้วใช่หรือไม่เ้าคะ?”ธุระในวันนี้ของนางไม่มีอันใดนอกจากการหาแม่นมให้น้องสาวตัวน้อยเท่านั้น ชีวิตยังมิสิ้นไร้หนทางถึงเพียงนั้น ในเมื่อนางมาแล้วจะไม่ยอมให้เด็กคนนี้จากไปก่อนวัยอันควรอย่างแน่นอน ในเนื้อหาของนิยายตำนานหลางเหยาส่วนมากจะเน้นเพียงเส้นเื่หลักของตัวละครเอกชายหญิง เื่ราวชีวิตรันทดของสามพี่น้องสกุลจางเป็ที่กล่าวขานในหมู่บ้าน จึงมีบรรยายไว้หนึ่งถึงสองย่อหน้า การตายของน้องเล็ก ต่อมาน้องชายถูกขาย ต่อมาเ้าของร่างเดิมที่ถูกคนบ้านใหญ่รุมซ้อมจนเกือบตายก็ได้เดินเข้าสู่เส้นทางอันดำมืด
สาเหตุการเสียชีวิตของจางจื่อหนิงนั้น สามารถอนุมานได้ว่าเกิดการภาวะลำไส้อุดตันจากการป้อนน้ำข้าว เด็กคนนี้ไม่อาจก้าวผ่านคำที่ว่า ความยากจนแม้ป้อนน้ำข้าวก็ยังสามารถเติบใหญ่มาได้ น้องสาวที่ไม่อาจประคองให้มีชีวิตรอด ต่อมาก็เป็น้องชายวัยเก้าขวบที่ไปต้องตาเศรษฐีตัณหากลับ คนจากบ้านใหญ่ที่เห็นเงินห้าร้อยตำลึงก็สามารถกลายร่างเป็ปีศาจร้ายในคราบมนุษย์ การกระทำเลวทรามต่ำช้าใดๆ ก็สามารถทำได้โดยไม่มีแม้เพียงเสี้ยวของความเมตตา เหตุการณ์ครั้งนั้นโจษจันไปทั่ว ร่างที่เปื้อนไปด้วยคราบเืของเด็กสาววัยสิบห้าขวบปี สิ่งที่ผู้เขียนบรรยายทำเอาจางจื่ออี๋ที่เป็นักอ่าน สามารถััได้ถึงความเ็ปแสนสาหัส
สายใยสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่ได้ขาดสะบั้นลงเมื่อข่าวการเสียชีวิตของน้องชายถูกส่งมา ท่ามกลางหลุมศพไร้ญาติ ฝูงอีกาบินวน บรรยากาศสุดแสนอึมครึม กลิ่นเหม็นเน่าย้ำเตือนว่าสถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยศพไร้ญาติ ไร้ที่ฝัง ไร้สถานที่พักพิง ณ ่เวลาสุดท้ายของชีวิต ร่างผอมบางสวมอาภรณ์เก่าเนื้อผ้าชั้นเลวในอ้อมแขนหอบเสื่อกกที่พันรอบบางสิ่งเอาไว้ นั่นคือน้องชาย น้องชายที่แสนดีและรู้ความยิ่งกว่าเด็กคนใดในหมู่บ้าน ์ไร้ตาเหตุต้องพรากทุกคนที่ข้ารักไปจนสิ้น
เหตุใดกัน...
ชีวิตช่างบัดซบ ทำดีไม่ได้ดี!
“อาหมานเอ๋ย เ้าเป็สตรียังมิออกเรือนเหตุใดจึงโผงผางกล่าววาจาเช่นนี้ออกมา”ท่านย่าเหลียงกล่าวาจาตำหนิออกมาพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ ชีวิตเด็กกำพร้านอกจากดิ้นรนเอาชีวิตรอดในแต่ละวันไหนเล่าจะมีเวลามาห่วงใยชื่อเสียงจอมปลอมเหล่านี้ได้
อาหมาน... ชื่อเล่นของจางจื่ออี๋นี้คล้ายกับว่าไม่มีผู้ใดเรียกขานมาเป็เวลาแสนนาน ทั้งที่ผู้เอ่ยขานนามนี้พึ่งจากโลกนี้ไปเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น จางจื่ออี๋คุ้นชินกับระบบความคิดที่สามารถประมวลผลเื่ราวหลายๆ เื่ไปพร้อมกัน นี่เป็ความสามารถของสมองที่ผ่านการพัฒนาด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงของหัวเซี่ย และต้องขอบคุณสิ่งใดก็ตามในจักวาลที่ทำให้ความสามารถนี้ติดตัวนางมายังโลกนิยายอันบัดซบ โลกของนิยายที่เขียนให้ตัวประกอบส่งเสริมความบันเทิง เพียงแค่เพิ่มมาให้ตัวละครหลักดูมีอะไรในเส้นทางการก้าวเดินก็เท่านั้น
ตอนเป็ผู้อ่านก็เสพความบันเทิงอย่างอิ่มหนำสำราญ พอได้มาัักับมันจริงๆ ถึงได้รู้ว่าทุกคนในบทละครแห่งชีวิตอันบัดซบนี้ ล้วนถูกปู้ยี่ปู้ยำโดยนักเขียนมากจินตนาการ
“ท่านย่าเหลียงนี่คือเงินหนึ่งตำลึง ข้าอยากให้ท่านมาเป็แม่นมให้อาหนิง ท่านคิดเห็นอย่างไรเ้าคะ หนึ่งตำลึงนี้คือค่าตอบแทนต่อหนึ่งเดือน ่สามเดือนแรกอาหนิงต้องดื่มนม่กลางคืน หากจะให้นางมาพำนักที่บ้านท่านจะเป็ไปได้หรือไม่เ้าคะ”จางจื่ออี๋บอกความ้าของตนเองออกไป ่สามาเดือนแรกเป็่เวลาสำคัญที่สุดของทารก การดื่มนมแม่ในปริมาณที่เพียงพอจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเด็ก เวลาต่อจากนี้ห้าเดือนคือ่เวลาที่ตัวนางวางแผนให้น้องสาวคนเล็กได้ดื่มนมแม่ ่เวลาหลังจากนั้นเ้าตัวเล็กนี่คงมีชีวิตอยู่รอดปลอดภัย
“ที่แท้ก็เป็เื่นี้หรอกรึ? ไอหยาข้าก็นึกว่าจะเป็เื่คอขาดบาดตายอันใดฮ่า ฮ่าๆ ส่งน้องสาวของเ้ามาให้ข้าอุ้มทีเถิด”ท่านย่าเหลียงมองสามพี่น้องต่างวัยด้วยสายตาอ่อนโยน ทั้งที่ชีวิตยากเข็นกลับไม่เห็นแก่ตนเองเป็ที่ตั้ง ไม่รู้ว่าจางซิ่วไฉและหยวนซื่ออบรมสั่งสอนเด็กเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร คนที่เรียนหนังสือย่อมมีความคิดอ่านที่เหนือชั้นกว่าชาวบ้านอย่างเราๆ น่าเสียดาย เสียดายที่เคราะห์กรรมของครอบครัวจางมีมากกว่าบุญวาสนา หวังว่าต่อไปเด็กน้อยทั้งสามจะมีชีวิตที่ราบรื่น กินอิ่มนอนหลับ ไม่ขอให้พวกเขายิ่งใหญ่อันใด ขอแค่พวกเขามีจิตใจเข้มแข็งเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม ต่อให้เป็ชานาที่ยากจนก็สามารถเงยหน้าขึ้นมองฟ้าได้เต็มตา
“เกรงว่ายายหนูจะหิวจัดแล้วข้าต้องรบกวนท่านแล้วเ้าค่ะ”จางจื่ออี๋ส่งน้องสาวที่กำลังบิดตัวด้วยความหิวโหยให้อีกฝ่ายโดยไม่รีรอ ปากเล็กๆ ของจางจื่อหนิงจุ๊บปากดังจ๊อบแจ๊บกำปั้นน้อยชูปัดป่ายไปมา ถึงจะกระวนกระวายสักเท่าไรเ้าตัวกลับไม่ได้ร้องไห้โยเยไม่รู้ว่าเป็เพราะอดทนอดกลั้นอันใด ใจจริงจางจื่ออี๋ปรารถนาให้น้องสาววัยแบเบาะผู้นี้ส่งเสียงโวยวายลั่นบ้าน หิวก็ร้อง อึฉี่ก็ร้อง นางสามารถร้องออกมาได้เต็มที่ มีหรือพี่สาวอย่างนางจะไม่ตามใจ
“ดูสิ ยายหนูน้อยไม่ต้องรีบร้อน ทั้งหมดนี่เป็ของเ้าทั้งนั้น ชู่ววเด็กดี เด็กดี”ท่านย่าเหลียงกล่าวปลอบโยนเด็กน้อยด้วยน้ำเสียงแ่เบา หากสังเกตดีๆ ก็จะเห็นรอยเปียกชื้นที่หางตาของนาง
เมื่อจางจื่ออี๋เห็นภาพนั้นก็พลันรู้สึกว่ามีก้อนแข็งๆ จุกตรงอกอย่างไร้สาเหตุ ทั้งที่สกุลเหลียงมีหนี้บุญคุณเพียงน้อยนิดต่อบิดาของนาง ทว่าอีกฝ่ายกลับตอบแทนมาใน่เวลาที่ครอบครัวของนางตกต่ำที่สุด “ท่านย่าเหลียงการคำนับนี้ท่านได้โปรดรับด้วยเ้าค่ะ”จางจื่ออี๋ไม่รอให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัวหรือพูดอันใดออกมา หญิงสาวลุกขึ้นคุกเข่าลงบนพื้นโขกหัวคำนับด้วยความซาบซึ้ง ที่ด้านข้างจางจื่อเหยาผู้เป็น้องชายก็ทำตามพี่ใหญ่ของตนเช่นเดียวกัน
“เด็กน้อยเอ๋ย หากยังเรียกข้าว่าท่านย่าอย่าได้คุกเข่าเช่นนี้อีก พวกเ้ารีบลุกขึ้น ลุกขึ้นเถิด”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้