เฮยลิ่วปล่อยเด็กน้อยลงพื้น ก้มตัวน้อยๆ ถามเสียงเบาว่า “เ้าชื่ออะไร?”
เด็กหญิงตัวน้อยก้มศีรษะ เสียงสะอึกสะอื้น พูดอย่างขลาดเขลา “ข้า...ข้าชื่อติงติง”
มือน้อยของนางกำแขนเสื้อของเฮยลิ่วแน่น เนื้อตัวสั่นระริก ดูเหมือนจะยังใกับเมื่อครู่นี้ไม่หาย
มู่จื่อหลิงคุกเข่าลง สบตาเด็กหญิงตัวน้อยในระดับเดียวกันถามเสียงเบา “สหายตัวน้อย เ้าวิ่งมาในป่าสายหมอกเพียงลำพังได้อย่างไร?”
“ฮือๆ...ข้าจะหาท่านพ่อท่านแม่ ฮือๆๆ...” ติงติงสูดจมูกไปพลางร้องไห้โฮไป ทำให้คนรู้สึกสงสารอย่างมาก
เฮยลิ่วมองติงติงที่น้ำตาคลอเบ้าด้านข้าง เอ่ยปากอย่างปวดใจ “หวางเฟย เกรงว่าเด็กน้อยผู้นี้จะหลงทางแล้ว”
เอาเถิด มู่จื่อหลิงเองก็มิใช่คนใจแข็ง เห็นฉากที่น่าสงสารเช่นนี้แล้ว ใจนางก็มีความสงสารอยู่บ้าง
เพียงแต่
สีหน้าของมู่จื่อหลิงปรากฏแววสงสัย ถามต่อด้วยเสียงอ่อนโยน “พ่อแม่ของเ้าอยู่ในป่าแห่งนี้?”
“อื้ม พี่สาว ท่านพาข้าไปหาท่านพ่อท่านแม่ได้หรือไม่? ข้ากลัวยิ่งนัก” ติงติงเงยหน้าอย่างหวาดหวั่น ใบหน้าซูบผอมปกคลุมไปด้วยคราบน้ำตา มองมู่จื่อหลิงน้ำตาคลอเบ้า
ได้ยินคำนี้ของติงติง มู่จื่อหลิงก็มองใบหน้าไร้เดียงสาของติงติงนิ่ง ครุ่นคิดอยู่นาน มิได้พูดจาอีก
“หวางเฟย ฟ้าก็จะมืดแล้ว พวกเราพานางไปด้วยก่อนเถิด” เฮยชีเอ่ยขึ้นอย่างอดใจไม่ไหว
เขามิได้คิดมาก เมื่อครู่เห็นเด็กคนนี้ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย เกือบตกลงไปในปากเสือ จนตอนนี้คิดดูแล้วคงจะยังหวาดกลัวอยู่เล็กน้อย
มู่จื่อหลิงพยักหน้า “สหายตัวน้อย พวกเราจะพาเ้าไปด้วยก่อน แต่ป่ากว้างใหญ่เพียงนี้ ้าหาพ่อแม่เ้าคงไม่ใช่ง่ายๆ บอกพี่สาวได้หรือไม่ว่าเ้ากับพ่อแม่มาที่นี่เพราะเหตุใด และพลัดหลงได้อย่างไร?”
ใบหน้ามู่จื่อหลิงนิ่งสงบไร้คลื่นอารมณ์ แต่ในใจลอบเพิ่มระดับความระแวดระวังขึ้นหลายส่วน
ก่อนที่พวกเขาจะเข้ามา ทั่วทั้งป่าสายหมอกปกคลุมไปด้วยพิษ ก่อนหน้านี้จะมีคนรอดชีวิตเข้ามาถึงที่นี่ได้อย่างไร?
ถ้ามีเพียงแค่เด็กน้อยผู้นี้หลงเข้ามาเพียงลำพัง นางก็ไม่สงสัยแล้ว
เด็กหญิงตัวน้อยผู้นี้สูงเท่าเอวนางเท่านั้น มิอาจััพิษได้เลย
แต่ถ้ามีคนรอดชีวิตเข้ามาที่แห่งนี้ได้จริงๆ เช่นนั้นก็เท่ากับว่าเข้ามาหลังจากที่พวกเขาแก้พิษได้ไม่นาน
แต่นั่นก็บังเอิญเกินไป เลือกได้ถูกเวลาเหลือเกิน
เพียงแต่คำพูดต่อมาของติงติงก็ทำให้มู่จื่อหลิงสลายความสงสัยในใจไป
“สองวันก่อนพี่ชายข้ามาล่าสัตว์ที่นี่ยังไม่กลับไป ท่านพ่อท่านแม่ข้ากังวลใจนัก แต่ก็ไม่วางใจให้ข้าอยู่บ้าน จึงพาข้ามาหาพี่ชายด้วย แต่ระหว่างทางข้ามัวแต่ห่วงเล่น ไล่ตามกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง ตามไปตามมาก็พลัดหลงกับท่านพ่อท่านแม่แล้ว แล้วข้าก็มาเจอเสือตัวใหญ่นี้”
ติงติงพูดไป น้ำตาจากดวงตาก็พรั่งพรูลงมาไม่หยุดราวกับน้ำพุ
น้ำตาสองสายเล็กๆ นี้ ดูไปแล้วน่าสงสารเป็ที่สุด
และเสียงร้องนี้ก็สมจริงยิ่งนัก ใบหน้าเล็กเสียใจจนมิอาจบรรยายได้ ทำให้คนสงสารเป็อย่างมาก เพียงชั่วพริบตาก็ทำให้มู่จื่อหลิงใจอ่อนยวบ
“ไปเถอะ ไม่ต้องร้องแล้ว พวกข้าจะหาพ่อแม่เ้าให้เจอ” มู่จื่อหลิงเอ่ยอย่างไม่ลังเล ยืนขึ้นยื่นมือไปหาติงติง
มู่จื่อหลิงยามนี้ไม่สงสัยแล้ว ถ้าพี่ชายของติงติงเข้ามาล่าสัตว์ในป่าสายหมอกจริงๆ ก็ปล่อยผ่านไปได้แล้ว
บางทีอาจจะบังเอิญเช่นนี้จริงๆ กระมัง!
แต่เหตุผลนี้ของติงติงทำให้คนหาข้อผิดสังเกตใดไม่ได้ เหมือนจะพอดีจนเกินไป พอดีจนผิดปกติ
นี่ทำให้มู่จื่อหลิงรู้สึกคับข้องในใจเล็กน้อย ทว่าถูกนางมองข้ามไป
ติงติงคนนี้แค่เจ็ดแปดขวบเท่านั้น และความไร้เดียงสาจากก้นบึ้งหัวใจก็หลอกคนไม่ได้แม้แต่น้อย
และเสือที่ดุร้ายตัวนั้นก็เป็ของจริง หากเด็กคนนี้มีปัญหา จะเอาชีวิตไปล่อเสือรอให้พวกนางมาช่วยได้อย่างไร
อีกอย่าง พวกเขาคงไม่มีทางปล่อยนางไว้ในป่าจริงๆ เพราะนางปรากฏตัวขึ้นมาอย่างมหัศจรรย์และเหมาะเวลา
ก่อนไปมู่จื่อหลิงใช้ระบบซิงเฉินตรวจสอบเสือที่ตายไปแล้ว หลังจากแน่ใจว่าไม่มีกู่ปรสิตอยู่ ถึงได้นำคนทั้งกลุ่มมุ่งไปที่ส่วนลึกของป่าต่อ
-
สีท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง เงาจันทร์สลัวบนท้องฟ้ายามราตรีที่มองเห็นผ่านสายหมอกนั้นดูลึกลับเป็พิเศษ
เพราะเกรงว่าจะไปทำให้ฝูงสัตว์ตื่นตระหนก พวกเขาจึงมิได้จุดคบเพลิง เดินคลำความมืดไปอย่างไม่ช้าไม่เร็ว
ระหว่างทางมิได้พบเจอสถานการณ์ผิดปกติ แต่ยิ่งเข้าไปลึกก็ยิ่งวังเวง
“บรู้ว~~~บรู้ว~”
ในเวลานี้เอง ก็มีเสียงหอนของหมาป่าและเสียงคำรามของเสือลอยมาจากทุกสารทิศของป่า สลับกันดังขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย ทำให้คนอดสะพรึงกลัวขึ้นมาไม่ได้
“ทุกคนระวังหน่อย ยามนี้พวกเรากำลังไปทางที่มีสัตว์ร้ายร้องอยู่ ไปอย่างเงียบๆ” มู่จื่อหลิงชี้ไปทิศทางหนึ่ง สั่งด้วยน้ำเสียงแ่เบา
ตลอดทางมานี้ ่เวลากลางคืนเป็่เวลาที่เป็ประโยชน์ต่อพวกเขาที่สุด และก็เป็่เวลาที่อันตรายเหลือเกิน!
“ขอรับ” ทหารไม่กี่คนนั้นผงกศีรษะพร้อมกัน เพิ่มการระวังภัยเป็เท่าทวีคูณ
“พี่สาว ข้ากลัว” ติงติงที่อิงแอบอยู่ข้างกายมู่จื่อหลิงก้าวตามฝีเท้านาง พูดอย่างขลาดกลัว
มู่จื่อหลิงตบบ่าเล็กบางของติงติงอย่างปลอบประโลม “ไม่ต้องกลัว พวกเราตั้งมากเพียงนี้”
ระหว่างทางเด็กคนนี้ติดตามพวกเขามาอย่างเชื่อฟัง ไม่มีการกระทำผิดแปลก และไม่พูดมาก ตอบแค่ยามที่ถาม ตอนนี้มู่จื่อหลิงเองก็วางความระมัดระวังที่มีต่อนางลงทั้งหมดแล้ว
“หวางเฟย อีกเดี๋ยวพวกเรายังต้องจัดการสัตว์ร้ายให้ล้มอีกหรือไม่?” เฮยชีกระซิบถาม
“ไม่ต้อง ขอแค่ห่างจากพวกมันไม่กี่เมตร ข้าก็รู้สึกถึงหนอนกู่ได้ จำเอาไว้ อย่าได้ถูกพวกมันพบหรือลงมือโดยเด็ดขาด สรุปแล้ว รอฟังคำสั่งของข้าก็พอ” มู่จื่อหลิงเข้มงวดจริงจัง กล่าวเตือนอย่างแ่เบา
ไม่ต้องเข้าไปใกล้สัตว์ร้าย ระบบซิงเฉินก็สามารถตรวจจับกู่ปรสิตได้
ดังนั้นถ้าพวกเขาไม่พบกู่ปรสิตก็ไม่จำเป็ต้องใช้ไม้แข็งกับสัตว์ร้าย สู้กันอย่างเ้าตายข้าจึงรอด
ถ้าไปยั่วยุฝูงสัตว์ร้ายเข้า ต่อให้วรยุทธ์ของพวกเขาร้ายกาจขึ้นไปอีก ไม่ระวังเพียงครั้งเดียวก็อาจถูกกัดเป็ชิ้นเล็กชิ้นน้อย
เพียงแค่หากู่ปรสิตเท่านั้น ไม่จำเป็ต้องเอาชีวิตเข้าแลก เื่ได้ไม่คุ้มเสียไม่จำเป็ต้องทำ
ทหารไม่กี่คนนั้นได้ยินคำของมู่จื่อหลิงแล้วในใจก็ลอบตื่นตระหนก
ใน่เวลานี้เองก็เข้าใจขึ้นมา พวกเขารู้แล้วว่าฉีหวางเฟยผู้นี้ร้ายกาจ คิดไม่ถึงว่าจะร้ายกาจถึงเพียงนี้ อยู่ห่างไม่กี่เมตรก็สามารถรู้สึกถึงกู่ปรสิตในท้องของสัตว์ร้ายได้
ระหว่างที่พูดอยู่นั้น เสียงร้องคำรามของสัตว์ป่าก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
เพราะกลัวจะเกิดสถานการณ์ไม่คาดฝัน มู่จื่อหลิงจึงให้เฮยลิ่วอยู่ที่เดิมคอยดูแลติงติง
แต่นางกลับนำคนอื่นๆ อำพรางตัวอยู่ในพุ่มหญ้า คลานขึ้นไปข้างหน้าอย่างเงียบเชียบ
โฮกๆๆ!
เสียงเสือร้องคำรามอย่างดุร้ายดังขึ้นต่อเนื่องไม่หยุดมาจากรอบสารทิศ
สิ่งที่พวกเขาเห็นเป็เพียงแค่ความมืดมิดไปหมด มู่จื่อหลิงคาดเดาจากเสียงได้ว่าในบริเวณไม่ไกลน่าจะมีเสืออยู่สามถึงสี่ตัว
“คนของพวกเรามากไปอาจจะถูกพบเห็นได้ พวกเ้ารออยู่ตรงนี้ก่อน ข้าขึ้นไปอีกนิดเดียวก็พอ” มู่จื่อหลิงกดเสียงให้ต่ำลง
ทหารเ่าั้พยักหน้าอย่างเข้าใจ แม้จะกังวลแต่ก็มิกล้าฝ่าฝืน
อย่างไรเสียก็มีเพียงมู่จื่อหลิงเท่านั้นที่มีความสามารถตรวจจับกู่ปรสิต และสิ่งที่พวกเขาทำได้ก็คือรอสนับสนุนนางอยู่ด้านหลัง
มู่จื่อหลิงกดลมหายใจลง ค่อยๆ คลานไปยังทิศทางที่มีเสือไม่กี่ตัวนั้นอย่างเชื่องช้า...
ใกล้แล้ว ค่อยๆ ใกล้เข้ามา
สิบเมตร...
แปดเมตร...
หกเมตร...
ระยะห่างที่ใกล้เข้าอย่างช้าๆ ตามมาด้วยเสียงคำรามเสือที่เสมือนดังอยู่ข้างหูจนสั่นะเืแก้วหู
ถ้าพูดว่าในใจมู่จื่อหลิงไม่หวาดกลัว นั่นคือเื่โกหกแน่ๆ
ถ้าไม่ระวัง นางก็คงกลายเป็อาหารเข้าปากเสือ
ในยามนี้ก็สามารถมองเห็นได้อย่างลางๆ ว่ามีเสือสี่ตัวหมอบอยู่ใต้ต้นไม้โบราณที่สูงเสียดฟ้า กำลังส่งเสียงคำรามใส่กันอยู่
มู่จื่อหลิงกัดฟันแน่น พยายามขึ้นไปข้างหน้าอีกหนึ่งเมตรสุดท้าย
ในที่สุดระบบซิงเฉินก็สามารถตรวจสอบได้แล้ว น่าเสียดาย...ที่ไม่ได้อันใดแม้แต่น้อย
งานอกสั่นขวัญแขวนกินแรงเช่นนี้ ในใจมู่จื่อหลิงก็สิ้นหวังเกินกว่าจะจินตนาการได้
น่าเสียดายนัก นี่เพิ่งเป็เพียงการเริ่มต้นเท่านั้น
มู่จื่อหลิงกลั้นลมหายใจ ข่มความหวาดกลัวที่ผนวกรวมกับความผิดหวังน้อยๆ ในใจลง ค่อยๆ ถดกายถอยต่อ
และในเวลานี้เอง
“อ๊าย!” เสียงแหลมใสก็ดังขึ้นด้านหลังนางอย่างฉับพลัน
ใจของมู่จื่อหลิงสั่นขึ้นมาในทันใด สีหน้าเคร่งขรึม จู่ๆ ก็มีลางสังหรณ์ไม่ดีพุ่งขึ้นมาในหัวใจ
ในขณะนี้ มู่จื่อหลิงที่กำลังหลบอยู่ด้านหลังต้นไม้โบราณ นางไม่สนใจสถานการณ์ด้านหลัง ลอบย้ายสายตาไปมองข้างหน้า
จริงดังคาด เสือตัวใหญ่ดุร้ายทั้งสี่ตัวที่เดิมทีหมอบอยู่ใต้ต้นไม้โบราณก็ยืดกายขึ้นมาพร้อมกัน เยื้องย่างเข้ามาทางนางอย่างเชื่องช้า
ชั่วขณะนั้นสีหน้ามู่จื่อหลิงก็เปลี่ยนไปทันที ถอยก็ไม่ได้ ไม่ถอยก็ไม่ได้
และสิ่งที่นางกังวลที่สุดก็เป็พวกทหารด้านหลังไม่ไกลนั่น ถ้าเห็นเสือจนตื่นตระหนกเข้า จะจู่โจมบุกเข้ามาหรือไม่
ทว่า...สิ่งที่นางกังวลก็ถูกต้อง
“หวางเฟย!” เฮยชีพาคนด้านหลังพุ่งมาทั้งหมด
ตามด้วยเสียงอันดัง ไม่รอให้พวกเฮยชีบุกมา มู่จื่อหลิงก็ถูกฉากตรงหน้าทำให้ตกตะลึงไปแล้ว!
‘ข้าบอกว่าอย่า!’ มู่จื่อหลิงลอบก่นด่าในใจหนึ่งประโยค
ถูกพบเข้าจนได้!
ในใจมู่จื่อหลิงโอดครวญ มองเสือดุร้ายทั้งสี่ตัวที่อยู่ห่างจากนางไปสามเมตรไม่ไกลอย่างอยากร่ำไห้ไร้น้ำตานัก
นางพลันมีความรู้สึกอยากชนต้นไม้โดยพลัน
สิ่งใดคือยิ่งช่วยยิ่งยุ่ง?
เสียงร้องดังอันรีบร้อนของเฮยชีนี้ แน่ใจหรือว่าไม่ได้ยิ่งเพิ่มความวุ่นวาย?
“โฮก!” เสียงคำรามะเืฟ้าสะท้านดิน
เสือตัวหนึ่งกระโจนเข้าใส่มู่จื่อหลิงอย่างไม่รอช้า อ้าปากใหญ่โตที่เปื้อนเื ฟันแหลมคมราวกับมีด และตาอำมหิต ข่มขวัญคนได้เป็พิเศษ
มู่จื่อหลิงออกแรงวิ่งไปข้างหลังสุดชีวิตตามสัญชาตญาณ
ตามมาด้วยพยัคฆ์ตัวอื่นๆ ที่กระโจนจู่โจมเข้ามา
ในเวลาเดียวกันพวกเฮยชีก็วิ่งมาข้างกายมู่จื่อหลิงอย่างรวดเร็ว
ทั้งสี่คนยืนรวมกันเป็หน้ากระดาน ยกกระบี่คมสะท้อนแสงในมือขึ้น ปกป้องมู่จื่อหลิงไว้ด้านหลังอย่างมุ่งมั่น
พยัคฆ์ทั้งสี่ตัวเหมือนจะรับรู้ถึงอันตราย ชะงักฝีเท้าไปโดยพลัน สายตาเต็มไปด้วยความดุร้าย แสยะเขี้ยวยิงฟัน แผ่ไอกดดัน ร้องคำรามไม่หยุดดังก้องไปทั่วป่า
“หวางเฟย ท่านหนีไปก่อน ตรงนี้ส่งต่อให้พวกข้า” เฮยชีสีหน้าเย็นเยียบ ยกกระบี่ในมือขึ้นสูง เตรียมโจมตี
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้