นี่เป็ครั้งแรกที่เหยียนชิงได้เห็นตระกูลฝั่งมารดาของเสวียซื่อเช่นกัน ในชาติก่อนยามที่เหยียนิฮ่วนสมรสกับเว่ยซูหานนอกจากคนในจวนของฮูหยินถังแล้วก็ไม่มีผู้ใดมาเข้าร่วมอีก แม้ว่าในชาติที่แล้วจะเป็การแต่งงานกะทันหัน แต่หลังจากนั้นตระกูลเสวียก็ไม่ได้ปฏิบัติตามมารยาท เมื่อเทียบกับภาพที่ได้เห็นในตอนนี้ มันก็ช่างน่าขายหน้ามากจริง ๆ
แต่ว่าในชีวิตก่อนเหยียนิฮ่วนได้เข้ามามีส่วนในกิจการของตระกูลเหยียน และค่อย ๆ กลายเป็ผู้ที่มีอำนาจของตระกูลเหยียน สิ่งที่ขาดไม่ได้ย่อมเป็ตระกูลเสวียที่คอยสุมไฟอยู่เื้ั จนกระทั่งเหยียนิฮ่วนสามารถก่อเหตุยึดครองทรัพย์สินและจวนตระกูลเหยียนได้สำเร็จ ตระกูลเสวียที่แอบอยู่เื้ัก็ยังไม่เคยเผยตัวออกมา ค่อนข้างระวังในการปรากฏตัวเป็อย่างมาก อาจกล่าวได้ว่ามีการวางกลยุทธ์ไว้อย่างลึกซึ้งทำให้ผู้คนคาดเดาได้ยาก เทียบกับผู้ที่อยู่ในที่สว่างและตรงไปตรงมาแล้ว ตระกูลเสวียถนัดในการลงมือลับหลังมากกว่า
เสวียหรงนายท่านแห่งตระกูลเสวียมีหน้าตาที่ดูดุร้ายมีคิ้วที่หนาและดวงตาคมดุจเหยี่ยว ดูสูงตระหง่านและสง่างาม อีกทั้งเขายังเป็ลุงของเหยียนิฮ่วน กิริยาท่าทางสูงส่งมากดูมีพลังอำนาจโดดเด่นแผ่กระจายออกมาโดยรอบ เพียงแต่มองลงไป ภายใต้แขนเสื้อข้างขวาที่ว่างเปล่าทำให้ดูน่าเสียดายอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนหน้านี้ท่านแม่เคยเล่าว่าตระกูลเสวียก็เคยท่องไปในยุทธภพ ได้มาเห็นในวันนี้ดูเหมือนว่าเื่เล่าจะเป็ความจริง
และด้วยอดีตที่เคยข้องเกี่ยวกับยุทธภพอาจเป็สาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้ตระกูลเสวียจำเป็ต้องกระทำการต่าง ๆ อย่างระมัดระวัง
เสวียหรงเป็คนอายุน้อยกว่าห้าสิบปีที่มีความกล้าหาญ พูดจาเสียงดัง ภายใต้บรรยากาศที่มีแต่เสียงแหบแห้งฟังดูน่าเบื่อ ยามที่เขาเปิดปากพูดออกมาจะมีเสน่ห์ที่สามารถดึงดูดความสนใจได้ คำพูดของเขาช่างดูดีน่าฟัง อีกด้านหนึ่งยังมีเด็กหนุ่มสองคนที่อยู่ข้างกายเขาด้วยท่าทางที่สุภาพอ่อนโยนทั้งหล่อเหลาและอ่อนน้อมถ่อมตน ซึ่งทั้งสองก็คือบุตรชายของเขา
กล่าวได้ว่าทุก ๆ สิ่งที่แสดงออกล้วนเกิดขึ้นจากความรู้สึกนึกคิดของจิตใจที่ส่งออกมา ั้แ่แวบแรกที่เหยียนชิงได้พบ ก็รู้สึกประทับใจบุตรชายทั้งสองคนของเสวียหรงไม่น้อยเลย
ั้แ่ได้เกิดใหม่จนถึงตอนนี้ เขามัวแต่ใส่ใจอยู่กับตระกูลเหยียนกับตี้จวิน โดยละเลยฝั่งของฮูหยินถัง และเนื่องจากในชีวิตก่อนตระกูลเสวียสนับสนุนเหยียนิฮ่วน เช่นนั้นก็ควรที่จะต้องใส่ใจพวกเขา ั้แ่เขาแต่งงานกับเว่ยซูหาน เหยียนิฮ่วนก็ได้รับความเดือดร้อนมากมายจากพวกเขา จากลักษณะการกระทำที่ผ่านมาของฮูหยินถังแล้ว นางจะต้องใช้โอกาสนี้บอกตระกูลฝั่งมารดาอย่างแน่นอน พวกเขาต้องเตรียมตัวให้พร้อม
แม้ว่าในวันนี้จะเป็วันแห่งการเฉลิมฉลองของจวนถัง ตัวเอกเป็คู่สามีภรรยาใหม่ทั้งสองคน แต่แขกผู้มาเยือนกลับยังมีความคิดของตัวเอง เมื่อเห็นคุณชายทั้งสามแห่งตระกูลเหยียนสายหลักล้วนมาถึงสถานที่จัดงานพร้อมกันย่อมไม่ยอมพลาดโอกาสที่จะแสดงเจตนาดี ดังนั้น ยกเว้นผู้มาใหม่ ในสามคนพี่น้องเหยียนลั่วเป็ผู้ที่สะดุดตาที่สุด ไม่ว่าจะไปที่ใดก็ล้วนถูกจับตามอง
หากว่าก่อนหน้านี้ตระกูลเหยียนทั้งร่ำรวยและมีอำนาจ เช่นนั้นหลังจากที่อิ้งหลีได้ขึ้นเป็ราชครูแล้วตระกูลเหยียนจึงยิ่งทรงพลังทั้งมั่งคั่งและมีอำนาจบารมีมากขึ้น ทุกคนล้วนกระตือรือร้นเป็อย่างมากในการสานสัมพันธ์ โดยเฉพาะกับคุณชายใหญ่และคุณชายรองที่กำลังอยู่ใน่วัยรุ่งโรจน์ทั้งยังไม่ได้แต่งงาน แม้แต่บุตรชายคนแรกที่แต่งงานอย่างเหยียนชิงก็ยังแต่งภรรยาชายเข้ามา จึงมีคนอีกจำนวนมากที่กระตือรือร้น
สำหรับผู้คนที่กระตือรือร้นนั้น การเลือกเข้าหาเหยียนลั่วและอิ้งหลีที่ยังคงมีพื้นที่ว่างนั้นเหมาะสม ส่วนเหยียนชิงผู้ร่าเริงนั้นไม่มีพื้นที่เหลืออยู่แล้ว ด้วยเขาใช้โอกาสที่หาได้ยากทอดทิ้งพี่ชายทั้งสองไปอย่างไร้ความปรานี
หลีกเลี่ยงฝูงชนที่วุ่นวายไปยังซุ้มทางเดินที่เงียบสงบ เหยียนชิงรู้สึกว่าเสียงในหัวที่ดังกำลังหึ่ง ๆ กำลังดีขึ้นเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมายาว ๆ เขายกมือขึ้นมาถูแก้มพร้อมกับแอบบ่นเบา ๆ ว่า หากสามารถเรียนรู้ทักษะของเว่ยซูหานที่แสดงออกอย่างเฉยชาราวกับเป็อัมพาตได้ก็คงจะดี...
“ดูเหมือนว่าคุณชายสามจะไม่เก่งในเื่การรับมือกับความวุ่นวายของฝูงชนเท่าไรนัก”
จู่ ๆ ก็มีเสียงทุ้มต่ำดังขึ้น เหยียนชิงที่เพิ่งผ่อนคลายอารมณ์ลงได้ก็ใขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อหันกลับไปเห็นเป็เสวียหรงในชุดผ้าสีน้ำเงินเข้มกำลังเดินเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ดวงตาไม่อาจซ่อนร่องรอยของความเฉียบขาดได้
“ท่านเ้าตระกูลเสวีย”
เหยียนชิงทักทายอย่างสุภาพ ในใจแอบรู้สึกแปลก ๆ อยู่บ้าง ตรงนี้มีเพียงซุ้มทางเดินและเงาของต้นไม้ซึ่งไม่ง่ายที่จะถูกคนเข้ามาพบเห็น และผู้ที่ไม่ได้มาบ่อยปกติแล้วย่อมไม่รู้จักที่นี่ เมื่อยามที่เขาเดินออกมาก็เห็นว่าเสวียหรงกำลังสนทนาอย่างมีความสุขอยู่กับเหยียนิฮ่วนและคนอื่น ๆ เหตุใดจึงมาอยู่ตรงนี่ได้รวดเร็วและบังเอิญถึงเพียงนี้...
เสวียหรงก้าวไปข้างหน้าพร้อมโค้งคารวะ
“งานที่สำคัญต่อชีวิตของิฮ่วนในวันนี้ทางตระกูลสายหลักได้เข้ามาให้ความช่วยเหลืออย่างดีที่สุด ขอขอบคุณคุณชายสามในนามลุงของิฮ่วน และในนามของตระกูลเสวีย”
เหยียนชิงไม่รู้ว่าเขา้าสิ่งใดจากการกระทำเช่นนี้ แต่เขาก็ยังคงหัวเราะฮ่า ๆ ออกไป
“ท่านเ้าตระกูลเสวียเกรงใจเกินไปแล้ว งานสำคัญในชีวิตของญาติผู้พี่ เดิมก็เป็เื่ที่ตระกูลหลักสมควรให้ความช่วยเหลืออยู่แล้ว ไม่มีสิ่งใดต้องขอบคุณ”
“ฮ่า ๆ ๆ...” เสวียหรงหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี จากนั้นก็ตบลงบนหน้าผากของตนเองแล้วพูดว่า
“คุณชายสามหมายความว่า เป็ข้าเองที่เป็คนนอก ตระกูลเหยียนก็คือตระกูลเหยียน คนนอกก็คือคนนอก คนในตระกูลย่อมมีหน้าที่ที่จะต้องช่วยเหลือคนในตระกูลของตนอยู่แล้ว ฮ่า ๆ ๆ...”
“ย่อมเป็เช่นนั้น”
เหยียนชิงยิ้ม รับรู้ถึงสถานการณ์อยู่ในใจ นั่นเป็ความจริง แต่ในบางครั้งก็มีผู้ที่คิดว่าตระกูลสายรองไม่ใช่เื่ของตนเอง และไม่จำเป็ต้องปกป้องพวกเขา
คนสองคนนั่งรวมกันถามตอบไปมาอยู่ที่โต๊ะหินของศาลา เหยียนชิงให้ความเคารพต่อผู้ที่าุโกว่าเขาเสมอ ตราบใดที่อีกฝ่ายไม่ล้ำเส้นมากจนเกินไป เขาก็จะถ่อมตัวเป็อย่างมาก อีกทั้งไม่ควรประมาทเสวียหรงที่มีฐานะเป็ถึงเ้าตระกูล คำพูดค่อนข้างเฉียบคมและมีไหวพริบ ต่อให้ผู้ที่ได้ยินสิ่งที่เขาพูดรู้สึกอยากจะพูดบางอย่างก็ยังไม่ดีที่จะหักหน้าเขาในตอนนี้
สามารถกล่าวได้ว่าจังหวะในการเดินหน้าและถอยหลังของเขานั้นอยู่ในระดับที่ดีมาก เหยียนชิงแอบชื่นชมอยู่ในใจ ตระกูลเสวียนี้ไม่ใช่ตะเกียงที่ประหยัดน้ำมัน[1] อย่างแน่นอน
หลังจากพูดคุยกันไปเล็กน้อย ั้แ่เื่กิจการของตระกูลไปจนถึงเื่ส่วนตัว เสวียหรงจึงเริ่มถามถึงเว่ยซูหานอย่างเป็ธรรมชาติ
“ได้ยินมาว่าคุณชายสามแต่งงานแล้ว เพียงแต่ยังไม่มีโอกาสได้มาเยี่ยมเยียน ยังไม่เคยได้พบกับฮูหยินลิ่ง[2]มาก่อน ไม่ทราบว่าในวันนี้ฮูหยินน้อยมาหรือไม่?”
เหยียนชิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบไปว่า
“ฮูหยินของข้าเป็คนขี้อายและไม่ถนัดรับมือกับงานรื่นเริง วันนี้เป็วันสำคัญของญาติผู้พี่ของข้า แเื่เดินทางมาเข้าร่วมจากทั่วทุกสารทิศ ด้วยเกรงว่าจะเผลอทำตัวเสียมารยาท... ข้าจึงไม่ให้เขามาร่วมงาน”
หากเว่ยซูหานมาเข้าร่วมอาจจะเป็จวนถังเองที่ต้องนำความอับอายมาให้เหยียนิฮ่วน
“โอ้...” เสวียหรงพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“ที่แท้ก็เป็เช่นนี้ เื่นี้ทำให้คนรู้สึกแปลกใจไม่น้อย... ข้าได้ยินมาว่าฮูหยินลิ่งมีวรยุทธ์ที่สูงส่ง เมื่อปีก่อนก็ได้ตามกองคาราวานไปชายแดนเหนือแล้วบังเอิญได้มีโอกาสสร้างผลงาน กล่าวได้ว่าพร์ของคนหนุ่มช่างน่ายกย่องจริง ๆ คิดไม่ถึงว่าจะเป็คนขี้อายผู้หนึ่ง”
จากข้อมูลที่ได้รับมาจากน้องสาวและิฮ่วนแล้ว เหยียนชิงให้เกียรติภรรยาชายผู้นี้ของตนเป็อย่างมาก เว่ยซูหานมีวรยุทธ์ที่สูงส่งทั้งยังเกิดในตระกูลขุนนางระดับสูง ประกอบกับได้รับการคุ้มครองจากเหยียนชิง สามารถอยู่ในจวนตระกูลเหยียนได้อย่างเย่อหยิ่ง หลังจากแต่งเข้ามาแล้วก็ทำให้ิฮ่วนเหี่ยวเฉาลงไปไม่น้อย เป็คนขี้อายนั้นย่อมไม่สมเหตุสมผล
ยิ่งไปกว่านั้น คราวที่แล้วเพื่อช่วยน้องสาวของตน เขาจึงได้แอบไปที่เมืองเฮยเยี่ยเพื่อออกเงินรางวัลค่าหัวของเว่ยซูหาน น่าเสียดายที่เว่ยซูหานมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ไม่เพียงแต่ทำให้นักล่ายอมแพ้ได้เท่านั้น ยังถูกใส่เข้าไปในรายชื่อบุคคลต้องห้ามที่ทางกลุ่มจะไม่รับงานไปตลอดกาล มองแวบแรกก็รู้ว่าเป็ไปไม่ได้ที่จะเป็คนอ่อนโยน เขามาที่นี่ก็เพื่อใช้โอกาสนี้พบกับเว่ยซูหานเพียงชั่วขณะหนึ่ง
เหยียนชิงรู้ดีว่าในใจของเขาย่อมไม่มีทางเชื่ออย่างแน่นอน แต่ก็ไม่มีการอธิบายอะไรมากไปกว่านี้ อย่างไรก็ไม่มีใครกล้ามาหักหน้าเขา เขาจะปกป้องภรรยาแล้วใครจะทำไม! เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาจึงหัวเราะออกมา
“ท่านเ้าตระกูลเสวียยกย่องเกินไปแล้ว ภูมิหลังของภรรยาของข้าคาดว่าท่านเ้าตระกูลเสวียก็ทราบดีเช่นกัน อย่ามองว่าเขาแข็งแกร่งมากเพียงใด ด้วยในแง่ของมนุษยสัมพันธ์แล้วเขาค่อนข้างเป็คนน่าเบื่อมาก ข้าเองก็ไม่สามารถบังคับเขาให้ทำในสิ่งที่ไม่ถนัดได้”
“เป็เช่นนี้นี่เอง เช่นนั้นหากมีโอกาสคงต้องของพบเป็การส่วนตัว ข้าขอฝากคุณชายสามทักทายฮูหยินลิ่งแทนข้าด้วย”
เสวียหรงไม่ได้รบกวนอะไรมาก และจบการสนทนาลงได้อย่างน่าสนใจ
เหยียนชิงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณท่านเ้าตระกูลเสวีย”
เสวียหรงสนทนากับเหยียนชิงเป็เวลานานก่อนจะลุกขึ้นกล่าวคำอำลา เหยียนชิงที่ยืนอยู่ในศาลามองเขาเดินจากไปด้วยคิ้วที่ค่อย ๆ ขมวดเข้าหากัน ดวงตาของเขามืดครึ้มลงเป็อย่างมาก
แม้ว่าเื่เมื่อปีก่อนที่เว่ยซูหานนำกองคาราวานไปชายแดนเหนือจะไม่เป็ความลับ อย่างไรก็ตาม ในยามที่เขาอยู่ที่ชายแดนเหนือได้มีโอกาสสร้างผลงานโดยบังเอิญแต่ก็ไม่เคยมีข่าวลือเล็ดลอดออกมา ไม่ว่าอย่างไรทุกคนย่อมรู้ดีว่าการทำความดีภายใต้ตัวตนในยามนี้ของเว่ยซูหานนั้นเป็เื่ที่ขัดต่อกฎบ้านเมือง แม้แต่ท่านแม่ก็ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงยิ่งเป็ไปไม่ได้ที่จะบอกฮูหยินถัง
แล้วเสวียหรงไปรู้เื่นี้มาจากที่ใด?
เมื่องานเลี้ยงฉลองงานแต่งเริ่มขึ้นเหยียนชิงถึงได้เดินกลับมาที่ลานด้านหน้า พบว่าเสวียหรงกำลังนั่งอยู่กับเหยียนลั่วและอิ้งหลี ครั้นหันมาเห็นเขาก็ยังยกมือขึ้นโบกมาให้อีกด้วย เหยียนชิงทำได้เพียงเดินเข้าไปด้วยรอยยิ้ม
มองเหยียนิฮ่วนแล้วยกเหล้าขึ้นดื่มอวยพรให้กับพวกเขาด้วยรอยยิ้มเสแสร้ง หลังจากรับมือกับงานเลี้ยงฉลองแล้ว เหยียนชิงจึงหาข้ออ้างเพื่อออกจากจวนถัง หากไม่มีความทรงจำของชาติก่อนบางทีเขาอาจจะอยู่กับคนอื่น ๆ อีกสักหน่อย แต่ยามนี้เขาต้องแบกความทรงจำของชาติก่อนเอาไว้ อยู่ที่นั่นเพียงครู่เดียว เขาก็รู้สึกอึดอัดที่ต้องมองหน้าฮูหยินถังแล้วเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของพวกเขา หัวใจมันรู้สึกอัดอั้นไปหมด
เขาอดทนต่อความไม่พอใจที่อยู่ภายในใจและได้จัดการช่วยเหลือในเื่นี้อย่างมีน้ำใจต่อเหยียนิฮ่วนที่สุดแล้ว เมื่อมันสิ้นสุดลงเขาก็ควรกลับไปหาภรรยาให้เร็วขึ้นสักหน่อย
เมื่อเหยียนชิงและเฉินเซียงกลับมาถึงจวนตระกูลเหยียนกลับมีเพียงหลินชวนเท่านั้นที่อยู่ที่นั่น เว่ยซูหานไปจวนท่านเ้าเมืองและยังไม่กลับมา เหยียนชิงส่งสารถึงจิงโม่ที่ไม่ได้ติดต่อกันมานานแล้วบอกให้เขากลับมา
หลังจากส่งสารแล้ว เฉินเซียงมองคนที่ขมวดคิ้วแน่นและก้าวมาข้างหน้าก่อนจะถามออกไปว่า “คุณชาย มีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่เ้าคะ?”
เหยียนชิงที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะหนังสือขมวดคิ้วไปมา หันกลับมามองพวกเขาก่อนถามว่า
“หลินชวน เฉินเซียง ข้าขอถามพวกเ้า เื่เหตุการณ์เมื่อปีก่อนเกี่ยวกับเื่ที่ฮูหยินน้อยเดินทางไปชายแดนเหนือแล้วได้มีโอกาสช่วยเหลือแม่ทัพฮั่วโดยบังเอิญ พวกเ้าได้บอกเื่นี้กับผู้อื่นบ้างหรือไม่?”
“ไม่เ้าค่ะ”
ทั้งสองตอบพร้อมกัน แม้ว่าจะไม่ได้รับคำเตือนจากเหยียนชิงพวกเขาก็ไม่พูดจาออกไปพล่อย ๆ ตัวตนของเว่ยซูหานไม่อาจสร้างอาชีพหรือผลงานอันทรงคุณค่าได้ การเปิดเผยเื่นี้ออกไปจะทำให้เกิดปัญหาตามมา
“คุณชาย เกิดอะไรขึ้นเ้าคะ?”
หลินชวนรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
“เสวียหรงนายท่านแห่งตระกูลเสวียรู้เื่ที่ซูหานสร้างผลงานที่ชายแดนเหนือ”
เหยียนชิงสูดหายใจเข้าลึกๆ
“พวกเ้าคิดว่าอย่างไร เหตุใดเขาถึงรู้ได้?”
“ตระกูลเสวีย...”
“พวกเขารู้ได้อย่างไร?...”
ทั้งหลินชวนและเฉินเซียงต่างก็งุนงง ฮูหยินถังไม่รู้เื่นี้ แล้วตระกูลเสวียรู้ได้อย่างไร? นอกจากความสัมพันธ์ของฮูหยินถังแล้ว ตระกูลเหยียนและตระกูลเสวียก็แทบจะไม่มีสิ่งใดข้องเกี่ยวกัน หากรู้เื่ทั่วไปของตระกูลเหยียนก็คงไม่เป็ไร แต่รู้แม้กระทั่งสิ่งที่จงใจปกปิดไว้เช่นนี้ ถือเป็เื่ผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด
“คุณชายคิดเห็นเช่นไรเ้าคะ?”
เฉินเซียงไม่กล้าที่จะเดาสุ่ม ส่วนหลินชวนกำลังขมวดคิ้วครุ่นคิดอย่างจริงจัง คิดหาสาเหตุไม่พบเลยแม้แต่น้อยจึงทำได้เพียงเงียบไป
เหยียนชิงยกนิ้วขึ้นเคาะลงไปเบา ๆ บนโต๊ะแล้วพูดว่า
“เื่ที่เสวียหรงไร้แขนคิดว่าพวกเ้าก็คงรู้อยู่แล้ว ว่ากันว่าเมื่อครั้งที่ยังหนุ่มเขาเคยท่องไปในยุทธภพ และได้ทำบางสิ่งเป็การยั่วยุให้เกิดบุญคุณความแค้นขึ้นในยุทธภพ ที่งานเลี้ยงเมื่อครู่ข้าได้ทำการทดสอบบางอย่าง เขายังพูดออกมาว่าแขนที่หักคือราคาที่ต้องจ่ายในการสิ้นสุดความสัมพันธ์กับยุทธภพ”
“คนในยุทธภพ… รู้ว่าฮูหยินน้อยสร้างผลงานที่ชายแดนเหนือ นั้นก็คือการรู้ความเคลื่อนไหวของฮูหยินน้อย...”
หลินชวนพึมพำกับตนเอง ทันใดนั้นก็คิดบางอย่างขึ้นมาได้ ก่อนจะมองเหยียนชิงด้วยความประหลาดใจ
“คุณชาย... ท่านคิดว่าการลอบสังหารฮูหยินน้อยจะเกี่ยวข้องกับตระกูลเสวียหรือไม่?”
เชิงอรรถ
[1] ไม่ใช่ตะเกียงที่ประหยัดน้ำมัน (不是省油的灯) สามารถแปลได้สองแบบแล้วแต่สถานการณ์ อย่างแรกคือคำชมบุคคลนี้ไม่ธรรมดาและไม่ใช่เื่ง่ายที่จะลงมือกับเขา สองคือคำด่า แปลว่าบุคคลนี้มักมีปัญหา
[2] ฮูหยินลิ่ง (令夫人) เป็คำเรียกภรรยาของผู้อื่นอย่างเคารพ “ลิ่ง” ในที่นี้จะหมายถึงความสวย งดงาม
