บทที่ 85 เศษลูกแก้วิญญา
ขุนพล์เทียนเผิงคือผู้ที่อยู่ในแวดวงนักกินบน์ แสดงว่าเขาไม่เป็สองรองใครแน่นอน
เจริญอาหารที่สุด
ก็เหมือนกับครั้งที่เขาแข่งกินผลไม้กับซาเซิง ที่ซาเซิงเพิ่งจะกินไปได้คำเดียว เขากลับโยนทั้งหมดเข้าปากไปในคราวเดียว แถมยังไม่รู้รสชาติอีกต่างหาก
ถ้าในอนาคตได้มาอยู่กับเย่จื่อเฉินมันจะต้องเป็พลังที่แข็งแกร่งแน่นอน
เมื่อเห็นน้ำเสียงที่รีบร้อนในข้อความของขุนพล์เทียนเผิงที่แสดงอยู่บนหน้าจอ เย่จื่อเฉินก็ระบายยิ้มเล็กน้อยก่อนตอบกลับไป
เย่จื่อเฉิน : ขุนพลเทียนเผิงทักมาหาข้าด้วยเื่อันใด?
ขุนพล์เทียนเผิง : แหะๆ ความจริงที่ข้าทักมาหาท่านเง็กเซียนก็เพราะว่ามีธุระนิดหน่อย
ขุนพล์เทียนเผิงหัวเราะเขินๆ แถมข้างหลังยังมีสติกเกอร์ทำหน้าเขินส่งมาอีกหลายอัน
พอเห็นประโยคนี้ ในใจของเย่จื่อเฉินก็เดาได้ทันที
เย่จื่อเฉิน : ว่ามา
ขุนพล์เทียนเผิง : วันนั้นท่านแย่งเศษลูกแก้วิญญาจากาาัมาได้เยอะเลยใช่ไหม?"
เมื่อได้เห็นข้อความที่ตอบกลับมา เย่จื่อเฉินก็อึ้งไปทันที ทำไมถึงได้เป็เศษลูกแก้วิญญาล่ะ ถ้าตามที่เขาคิด สิ่งที่ขุนพล์เทียนเผิงน่าจะพูดถึงมันควรเป็เครื่องดื่มสิถึงจะถูก
หรือว่าขุนพล์เทียนเผิงจะสนใจของล้ำค่าชิ้นนี้?
ถ้าเขาอยากได้ก็ให้ได้ไม่ถือว่าเป็อะไร แต่แน่นอนว่าก่อนอื่นต้องเอาสมบัติมาแลกกัน
ตอนนี้เย่จื่อเฉินค่อนข้างเหมือนกับนักธุรกิจที่แสวงหาผลกำไร มุ่งเน้นแต่กำไรเท่านั้น
สมบัติในกำมือของเทพเซียนกลุ่มนี้มีเยอะแยะไป ไม่ให้รีดไถพวกเขาแล้วจะให้ไปรีดไถใครล่ะ
เย่จื่อเฉิน : ขุนพล์เทียนเผิง้าเศษลูกแก้วิญญา? เอ่อ...ท่านน่าจะรู้นะ ว่าเศษลูกแก้วิญญานี้เป็สมบัติโบราณ อันที่จริงข้า...
เย่จื่อเฉินแสร้งทำทีว่าไม่อยากให้ เพื่อที่จะได้ขึ้นราคาในภายหลัง
ถ้าขุนพล์้าจริงๆ ก็ต้องเสียเืเยอะหน่อย
แต่ว่า เขาคิดผิด
ขุนพล์เทียนเผิง : แหะๆ ความจริงแล้วท่านเง็กเซียน้าเศษลูกแก้วิญญาใช่ไหม? ข้ามีอยู่ชิ้นหนึ่ง ท่านว่ามันมีค่าพอที่จะให้ข้าแลกเอาเครื่องดื่มที่ท่านแจกวันนั้นสักร้อยกว่าขวดได้หรือไม่
พรูดดด!
พอเห็นข้อความที่ตอบกลับมา เย่จื่อเฉินก็อดที่จะหน้าเหวอไม่ได้
ที่ไหนได้ตัวเองยังไม่ใช่นักธุรกิจที่แสวงหาผลกำไร กลับยกก้อนหินทับเท้าตัวเองแทนเสียอย่างนั้น
เทพเซียนกลุ่มนี้รับมือไม่ง่ายเลยจริงๆ ต่อไปจะต้องระวังเทพเซียนกลุ่มนี้ไว้สักหน่อยแล้ว
ให้ตายเถอะ หลอกฉันเหรอ!
ถ้าขุนพล์เทียนเผิงรู้ต้องร้องขอความเป็ธรรมแน่นอน เขาเป็ถึงผู้ที่เที่ยงตรงบน์เลยนะ
เหลือบมองดูข้อความบนหน้าจอ…
เครื่องดื่มร้อยกว่าขวด
ถึงจะตีเขาให้ตายก็ให้ไม่ได้
เย่จื่อเฉิน : ขุนพล์เทียนเผิง ข้า้าเศษลูกแก้วิญญาก็จริง แต่ต่อให้ท่านจะมีเศษลูกแก้วิญญามาให้ข้า ข้าก็ไม่สามารถเอามารวมกันให้เป็ลูกแก้วิญญาได้ เอ่อ…มูลค่าของมันจะลดลงมาก
เวลาขายของก็ขึ้นราคาจนสูง พอซื้อของก็กดราคาจนต่ำ
นี่แหละคือนักธุรกิจที่แสวงหาผลกำไร
เห็นได้ชัดว่าขุนพล์เทียนเผิงก็เห็นด้วยกับคำพูดของเย่จื่อเฉิน หรือบางทีเขาอาจจะรีบร้อนอยากได้น้ำอัดลมเกินไป…
ขุนพล์เทียนเผิง : ท่านเง็กเซียน ท่านคิดว่าท่านสามารถให้ข้าได้กี่ขวด
เย่จื่อเฉิน : สามสิบขวด
ขุนพล์เทียนเผิง : หนึ่งร้อยขวด
เย่จื่อเฉิน : ห้าสิบขวด
ขุนพล์เทียนเผิง : แปดสิบขวด
เย่จื่อเฉิน : เรามาเจอกันตรงกลางดีกว่า หกสิบขวดพอ ไม่มากไปกว่านี้แล้ว ขุนพล์เทียนเผิง ท่านต้องเข้าใจนะว่านี่เป็ของหายาก
น้ำอัดลมหกสิบขวดเขาก็แทบกระอักเืแล้ว
คิดคำนวณราคาดูแล้วทั้งหมดนี่เกือบสองร้อยหยวนเลยนะ
นั่นหมายความว่า ถ้าเขาขายเขาก็จะสามารถขายได้ถึงสองหมื่นวิทยายุทธ
สองหมื่นวิทยายุทธแลกกับเศษลูกแก้วิญญาพังๆ อันเดียว เขายังรู้สึกว่ามันไม่คุ้มค่า
ขุนพล์เทียนเผิง : ได้ เอาตามที่ท่านเง็กเซียนว่า
ติ๊ง!
ขุนพล์เทียนเผิงส่งเศษลูกแก้วิญญามาทันที
เขาไม่กลัวว่าเย่จื่อเฉินจะกลับคำสักนิด ถึงยังไงข้อความที่ทั้งคู่คุยกันมันก็สามารถแคปเอาไว้ได้ อีกอย่างไม่ว่ายังไงเย่จื่อเฉินก็คือเง็กเซียนที่อยู่กับไท่ไป๋จินซิงอยู่ดี
จะไปหลอกเขาแค่เื่เศษลูกแก้วิญญาชิ้นเดียวทำไม
เมื่อกดรับเศษลูกแก้วิญญาแล้ว จำนวนของเศษลูกแก้วิญญาในหีบสมบัติก็กลายเป็ห้าชิ้น
ขาดอีกแค่ชิ้นเดียวก็จะรวบรวมเศษลูกแก้วิญญาได้ครบแล้ว ดูเหมือนอยู่ใกล้มาก แต่ความจริงกลับห่างไกล
เขาก็ไม่รู้ว่าเศษชิ้นส่วนอันสุดท้ายอยู่ที่ไหน ถ้าหาได้ไม่ครบ…
นั่นก็แปลว่าไร้ประโยชน์
ขุนพล์เทียนเผิง : ท่านเง็กเซียนน่าจะ…
ขุนพล์มีอาการลังเล ดูจากท่าทางรีบร้อนของเขา เย่จื่อเฉินก็อดที่จะกลอกตาไม่ได้ ก่อนจะตอบกลับไป
เย่จื่อเฉิน : รอเดี๋ยว ข้าต้องกลับไปเอาที่วิหาร
ให้ตายสิ เขาต้องไปซื้อของมาตุนไว้แล้วสินะ
เย่จื่อเฉินวิ่งลงไปซื้อเครื่องดื่มมาหลายแพ็กจากซูเปอร์มาร์เก็ตข้างล่างตึก และอดที่จะเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมาไม่ได้
ต่อไปอาหารขยะเหล่านี้ของเขาต้องกลายเป็ที่นิยมบน์แน่นอน ดังนั้นในทุกวันเขาต้องมาซื้อของเพื่อกักตุนที่ซูเปอร์มาร์เก็ต
สู้เขาเปิดซูเปอร์มาร์เก็ตเองไม่ดีกว่าเหรอ
เมื่อถึงตอนนั้นถ้ามีใครบน์้าอะไร เขาก็แค่สแกนส่งไปให้
อีกทั้งยังลดความวุ่นวาย และลดความเสี่ยงที่ความลับจะถูกเปิดโปงได้อีกด้วย
ทำการส่งเครื่องดื่มไปให้ขุนพล์เทียนเผิง เพิ่งจะส่งไปฝั่งนั้นก็กดรับทันที
เห็นได้ชัดว่า ขุนพล์เทียนเผิงผู้อยู่ในแวดวงนักกินได้เฝ้าหน้าจอโทรศัพท์อยู่ตลอดเวลา
ขุนพล์เทียนเผิง : ท่านเง็กเซียน ทำไมถึงมีขนมแป้งติดมาด้วยล่ะ
เย่จื่อเฉิน : นั่นคือโดรายากิ ข้าให้ท่าน ถ้าท่านคิดว่ามันอร่อย ก็ช่วยโฆษณาบน์ให้ข้าด้วย
ขุนพล์เทียนเผิง : เข้าใจแล้ว ขอบคุณท่านเง็กเซียนมาก
ติ๊ง!
ระดับความสนิทของคุณกับขุนพล์เทียนเผิงเพิ่มขึ้น 20 ระดับความสนิทปัจจุบันอยู่ที่ 120
เมื่อหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา รอยยิ้มพึงพอใจก็ประดับอยู่บนใบหน้าของเย่จื่อเฉิน
ดูท่าแล้ว อีกไม่นานกิจการของเขาต้องสามารถขยับขยายไปทั่วทั้ง์ได้แน่ เมื่อถึงเวลานั้นวิทยายุทธก็จะไหลมาเทมา
แต่ก่อนจะถึงตอนนั้น เขาต้องหาเวลาทำใบปลิวเสียก่อน
ก็เหมือนกับเมนูในร้านอาหาร ที่จะแสดงรายการอาหารไว้บนใบเมนู เมื่อถึงตอนนั้นถ้าเซียนคนไหนอยากได้อะไรก็แค่ส่งวีแชทมา
ของก็จะส่งไปทันที
ถึงตอนนั้น
ที่รัก อย่าลืมกดห้าดาวให้เขาด้วยล่ะ
เดินยิ้มร่ากลับมาที่ห้องของหวงเซิงเหม่ย คุณหมอหวงคนนี้กำลังนั่งนิ่งรอเย่จื่อเฉินอยู่บนเก้าอี้
“หมอหวง”
หวงเซิงเหม่ยรีบลุกออกจากเก้าอี้ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอู้อี้
“คุณเลิกเรียกฉันว่าหมอหวงได้แล้ว คุณเรียกฉันว่าเซิงเหม่ยก็แล้วกัน”
...
ในตอนนี้เย่จื่อเฉินถึงได้รู้สึกตัว ระดับความรู้สึกดีของทั้งคู่ใกล้จะแตะถึงเส้นระดับคนรักแล้ว
“เซิงเหม่ย”
“อื้ม”
ความหวานในใจของหวงเซิงเหม่ยพลุ่งพล่านยุ่งเหยิง เธอไม่รู้เลยว่าทำไมเธอถึงตกอยู่ในสถานการณ์ที่ควบคุมไม่ได้แบบนี้
ราวกับว่าได้มีเชือกเส้นหนึ่งดึงรั้งเธอเอาไว้ตลอดเวลา ทำให้เธอเข้าใกล้เย่จื่อเฉินขึ้นเรื่อยๆ
“จริงสิ อาการของคุณก็ดีขึ้นมากแล้ว เดี๋ยวฉันจะไปจัดการเื่ออกจากโรงพยาบาลให้คุณก็แล้วกัน อยู่ที่โรงพยาบาลมันค่อนข้างแพง เปลืองเงินเกินไป แล้วถ้าจะล้างแผลครั้งต่อไปก็ไปที่บ้านฉันเลยก็ได้ เดี๋ยวฉันอยู่ล้างแผลให้คุณที่บ้าน”
ความสัมพันธ์ที่ก้าวหน้าแบบติดจรวดนี้ เย่จื่อเฉินก็ยังรู้สึกว่ามันไม่เหมาะสมอยู่ดี
ต้องบอกเลยว่าด้ายแดงของเย่จื่อเฉินนั้นเจ๋งมากจริงๆ เมื่อระดับความรู้สึกดีได้ที่ ความรู้สึกของคนสองคนก็จะเปลี่ยนอย่างเป็ธรรมชาติ โดยไม่ต้องบ่มเพาะความรู้สึกเลย
“ได้ ถ้าตอนที่ผมไปล้างแผลครั้งหน้าผมจะถือโอกาสไปดูขาของน้องชายเราด้วย ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมไปแล้วนะ”
“โอเค กลับดีๆ นะ”
ั้แ่ที่ออกมาจากห้องทำงานของหวงเซิงเหม่ย เย่จื่อเฉินก็ยืนพิงผนังอ้าปากหอบหายใจ
คำว่าสมเพชสลักอยู่บนใบหน้าเล็กจิ้มลิ้มของหลิวฉิง ผีสาวที่ลอยวนอยู่รอบตัวเขาก็เอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม
“คนสารเลว”
“ฉันสารเลวยังไง” เย่จื่อเฉินกลอกตาพูด “จะบอกอะไรให้นะ โชคดีไปที่เธอเป็ผี ถ้าเธอเป็คนล่ะก็ แม้แต่เธอฉันก็ไม่ปล่อยไปหรอกนะ เข้าใจไหม? จะควบคุมเธอให้อยู่ในกำมือของฉันซะเลย”
“เชอะ ผีน่ะสิถึงจะปล่อยให้นายมาควบคุม”
หลิวฉิงพึมพำเบาๆ แต่เย่จื่อเฉินกลับหัวเราะ
“เธอก็ผีไม่ใช่หรือไง?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้