พวกเขาจำต้องแย่งชิงสิบอันดับแรก เพราะเป็โอกาสหาได้ยากที่พวกเขาจะได้ก้าวไปข้างหน้า อีกอย่างถ้าเป็หนึ่งในสิบอันดับแรก พวกเขาจะได้เป็ตัวแทนของสำนักยุทธ์เทียนเสวียน เพื่อเข้าร่วมงานชุมนุมหวงปั่งที่ทางราชวงศ์จ้าวจะจัดขึ้นในอีกไม่กี่เดือน
งานชุมนุมหวงปั่งเป็งานที่จะรวบรวมอัจฉริยะขั้นรวมชี่ทั่วทั้งอาณาจักรจ้าว ถึงยามนั้นทุก ๆ กองกำลังในอาณาจักรจะส่งผู้ฝึกยุทธ์เข้าร่วม รวมทั้งกองกำลังของเมืองหลวง ถือได้ว่าเป็ยุครุ่งเรืองอย่างแท้จริง
ผู้คนต่างอยากแสดงฝีมือของตนบนเวทีประลองในงานชุมนุมหวงปั่ง แต่โอกาสดังกล่าวมีไว้สำหรับอัจฉริยะที่เก่งที่สุด ดังนั้นงานประลองสำนักยุทธ์จึงมีความหมายมาก ในอีกแง่หนึ่ง งานประลองนี้ก็ถือว่าเป็การแข่งขันคัดเลือกสำหรับงานชุมนุมหวงปั่ง ซึ่งงานชุมนุมหวงปั่งเป็เวทีของอัจฉริยะแท้จริง แม้งานประลองสำนักยุทธ์เทียนเสวียนจะน่าตื่นตาตื่นใจ แต่ถึงอย่างไรก็เป็เพียงกองกำลังหนึ่ง จะเทียบเคียงกับทั่วทั้งอาณาจักรจ้าวได้อย่างไร
ผู้คนคิดในใจ พร้อมกับดวงตาฉายแววอย่างมุ่งมั่น
“การประลองรอบที่สามเริ่มขึ้นแล้ว ซึ่งกฎเรียบง่ายมาก อย่างแรกพวกเ้า 48 คนจะจับฉลากก่อน บนฉลากจะมีสัญลักษณ์ 24 แบบ ใครได้สัญลักษณ์เหมือนกันคือคู่กัน 24 คนที่แพ้จะสูญเสียสิทธิ์ในการเลือกคู่ต่อสู้และจะกลายเป็ผู้ถูกเลือก ส่วนผู้ชนะ 24 คนจะได้สิทธิ์เลือกคู่ต่อสู้ในรอบต่อไป ใครเสร็จสิ้นการต่อสู้เป็คนแรกและเอาชนะคู่ต่อสู้ คนนั้นจะได้สิทธิ์เลือกคู่ต่อสู้ก่อน ในรอบที่สองก็เหมือนกัน ใครแพ้ก็จะไม่ได้เลือกคู่ต่อสู้และกลายเป็ผู้ถูกเลือก เมื่อครบสามรอบ หากใครแพ้ทั้งสามตาถือว่าตกรอบทันที ส่วนคนที่เหลือจะสู้ตามกฎข้างต้นต่อไป ส่วนสิบคนที่เหลือรอดจะได้เข้าสู่การจัดอันดับสุดท้าย มีใครคัดค้านกฎดังกล่าวหรือไม่?”
เสียงของเฉินเซี่ยงเทียนดังกังวาน ทำให้ผู้คนในที่แห่งนั้นได้ยินชัดเจน และดวงตาของพวกเขาแต่ละคนล้วนทอประกายคมกริบ
เฉินเซี่ยงเทียนอธิบายกฎได้ชัดเจนมาก ก่อนอื่นคือศึกจับฉลาก ผู้ชนะจะได้สิทธิ์เลือกคู่ต่อสู้ในรอบต่อไป ส่วนผู้แพ้เป็ผู้ถูกเลือก ใครชนะก่อนได้เลือกคู่ต่อสู้เป็คนแรก ในรอบที่สองก็เหมือนกัน หากผู้แพ้ในรอบที่แล้วยังคงเอาชนะคู่ต่อสู้ไม่ได้ก็จะเป็ผู้ถูกเลือกต่อไป เมื่อเ้าอ่อนแอ ผู้แข็งแกร่งก็จะเลือกเ้าอย่างไม่ลังเล และได้รับชัยชนะไปอย่างง่ายดาย
แต่หากผู้ถูกเลือกเอาชนะผู้เลือก เช่นนั้นสถานการณ์จะพลิกผัน ผู้ถูกเลือกจะกลายเป็ผู้เลือก ส่วนผู้เลือกก็กลายเป็ผู้ถูกเลือก กฎเช่นนี้จะวนไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะมีคนพ่ายแพ้ถึงสามตาและตกรอบ สุดท้ายก็จะเหลือ 10 คนจาก 48 คน และกลายเป็สิบอันดับแรกของงานประลองครั้งนี้
“รับทราบ!” ผู้คนเข้าใจกฎจึงพยักหน้าตอบรับ แต่สำหรับผู้อ่อนแอกลับแคลงใจเล็กน้อย
“ผู้าุโเฉิน ข้าอยากถามเื่หนึ่งจะได้หรือไม่?” จู่ ๆ คนผู้หนึ่งใน 48 คนเอ่ยถามขึ้นมา
“ว่ามา!” เฉินเซี่ยงเทียนหันไปมองคนผู้นั้น
“เื่กฎไม่มีปัญหาและยุติธรรมมาก แต่ว่าระดับการบ่มเพาะของทุกคนแตกต่างกันมาก เช่นนี้แล้วการต่อสู้เหมือนจะไม่ยุติธรรมนะขอรับ?” ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นกล่าวพร้อมโค้งคำนับให้เฉินเซี่ยงเทียน เขาอยู่ขั้นรวมชี่ที่ 5 เขาย่อมเป็ฝ่ายถูกกระทำเมื่อเผชิญหน้ากับผู้อยู่ขั้นรวมชี่ที่ 6 ขึ้นไป
“ยุติธรรม?” เฉินเซี่ยงเทียนได้ยินเช่นนั้นก็แค่นเสียงหัวเราะ
“หากเ้าพบเจอศัตรู อีกฝ่ายมีระดับการบ่มเพาะสูงกว่าเ้าและอยากฆ่าเ้า มีหรือเขาจะคำนึงถึงความยุติธรรม? งานประลองสำนักยุทธ์แข่งกันที่ความสามารถ พร์คือเื่รอง ระดับการบ่มเพาะต่ำต้อย ฝีมือใช้ไม่ได้ เช่นนั้นก็ทำได้เพียงโทษพวกเ้าที่ฝึกช้าเกินไป แล้วใครจะโทษเื่นี้ได้เล่า?”
เมื่อกล่าวจบ เฉินเซี่ยงเทียนหันไปมองเย่เฟิงด้วยสายตาเย็นเยียบ และััได้ว่าแผนที่วางไว้จะประสบความสำเร็จ
“ข้าเข้าใจแล้ว!” เมื่อผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นได้ยินคำพูดเฉียบคมของเฉินเซี่ยงเทียน สีหน้าก็ดูไม่ค่อยดี ก่อนจะถอยกลับไปที่เดิม
“การประลองรอบที่สองโหดมากจริง ๆ ดูท่าผู้อ่อนแอเ่าั้จะเจอหายนะเข้าแล้ว ภายใต้ความได้เปรียบของระดับการบ่มเพาะ ทุกอย่างล้วนต้องถูกบดขยี้” ผู้คนคิดในใจ ดูเหมือนกฎในงานประลองสำนักยุทธ์ครั้งนี้จะต่างจากครั้งก่อน ๆ มันโหดร้ายขึ้น จนทำให้ผู้แข็งแกร่งได้เปรียบ
ส่วนเย่เฟิงได้ยินคำพูดของเฉินเซี่ยงเทียนก็เหยียดยิ้มอย่างเยือกเย็น คำพูดของอีกฝ่ายดูคล้ายมีเหตุผล แต่นี่ตั้งใจจะกำจัดผู้อ่อนแอไม่ใช่หรือ?
ฝึกช้า? ผู้ที่สามารถผ่านเข้ารอบสุดท้ายได้ล้วนแต่เป็อัจฉริยะมากฝีมือ ส่วนระดับการบ่มเพาะต่ำต้อย นั่นเพราะว่าผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นอายุยังน้อย เวลาฝึกก็ย่อมสั้น
เมื่อฉุกคิดได้เช่นนี้ ในใจของเย่เฟิงก็เต็มไปด้วยความเย็นะเื แม้จะรู้อยู่แก่ใจ แต่เย่เฟิงก็พูดอะไรไม่ได้ เพราะถึงพูดออกไป แล้วจะทำอะไรได้? เฉินเซี่ยงเทียนคือผู้าุโที่ดูแลงานประลอง ส่วนเขาเย่เฟิงเป็เพียงศิษย์ธรรมดาก็เท่านั้น แล้วทางสำนักยุทธ์จะเปลี่ยนกฎเพราะเขาอย่างนั้นหรือ?
หากเ้ามีพลังไม่พอแต่อยากให้ผู้อื่นให้ความสำคัญกับเ้า เช่นนั้นเ้าก็จงอย่าหวังว่าคนอื่นจะทำเพื่อเ้า
จากนั้นเริ่มการจับฉลาก ทุกคนต่างเข้าแถวไปจับฉลาก เมื่อถึงตาเย่เฟิง จู่ ๆ สายตาหลายคู่มองมาที่เขาด้วยความเย็นเยือก ในนี้มีตู๋กูหลง นี่จ้านเทียน และเฉินอ้าวเทียน หากรอบนี้หนึ่งในสามคนนี้เจอเย่เฟิง แน่นอนว่าไม่มีทางเมตตาปรานีใด ๆ
“แสดงสัญลักษณ์ที่พวกเ้าจับได้ขึ้นมา!” เมื่อการจับฉลากเสร็จสิ้น เฉินเซี่ยงเทียนก็กล่าวเช่นนั้นทันที จากนั้นทุกคนก็แสดงสัญลักษณ์ในฉลากที่จับมา และมองหาสัญลักษณ์ที่ตรงกับของตัวเอง ซึ่งบางคนชอบแต่ก็มีบางคนไม่ชอบ และไม่รู้ว่าเป็ความบังเอิญหรือไม่ การจับฉลากรอบนี้ไม่มีผู้ฝึกยุทธ์ในรายนามขั้นรวมชี่ปะทะกันเลยสักคน
ไม่นานนักการประลองก็เริ่มขึ้น 20 กว่าสนามปะทุพร้อมกัน เคล็ดวิชาต่าง ๆ นานาถูกปลดปล่อย ทำให้เหล่าผู้คนต่างมองการประลองตรงหน้าอย่างไม่ละสายตา
“ดูสิ ทางนั้นคือตู๋กูหลง เขาเป็ถึงอัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักยุทธ์เทียนเสวียน อีกฝ่ายจบเห่เป็แน่!” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งกล่าวขณะหันไปมองตู๋กูหลงที่อยู่ใจกลางเวทีประลอง
“ใช่ ไม่ว่าใครที่เจอกับตู๋กูหลงล้วนต้องเจอกับหายนะ อันดับที่ 1 ของงานประลองเป็ของตู๋กูหลง ใครจะแข่งกับเขาได้?” ผู้ฝึกยุทธ์อีกคนกล่าว พวกเขารู้ดีว่าไม่มีใครเป็คู่ต่อสู้ของตู๋กูหลงได้ อันดับที่ 1 ตกเป็ของเขาแล้ว
“ข้ายอมแพ้!”
เป็ไปตามที่ทุกคนคาดการณ์ไว้ ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นที่เผชิญหน้ากับตู๋กูหลงยอมรับความพ่ายแพ้โดยไร้ซึ่งความกล้าที่จะต่อสู้
ตู๋กูหลงกวาดตามองผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นโดยไร้ซึ่งคำพูด ก่อนจะเดินกลับไปยังขอบเวที นี่แหละตู๋กูหลง อัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งสำนักยุทธ์เทียนเสวียน ไร้ซึ่งผู้ใดต่อต้าน แต่หากเผชิญหน้ากัน การยอมรับความพ่ายแพ้จึงเป็ทางเลือกที่ดีที่สุด
ศึกต่อสู้ของนี่จ้านเทียนเริ่มแล้วเช่นกัน คู่ต่อสู้ของเขาคือผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ที่ 6 อีกฝ่ายโดนหมัดเดียวของนี่จ้านเทียนซัดจนกระอักเืทั้งที่ศึกเพิ่งเริ่มเท่านั้น ทำให้นี่จ้านเทียนเป็ฝ่ายชนะ ส่วนเฉินอ้าวเทียนก็เอาชนะคู่ต่อสู้ในหนึ่งกระบวนท่า และได้รับสิทธิ์เลือกคู่ต่อสู้ในรอบถัดไป
คู่ต่อสู้ของเย่เฟิงคือผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ที่ 4 เป็ศิษย์สายตรงของผู้าุโสายในท่านหนึ่งของสำนักยุทธ์เทียนเสวียน มีพลังแกร่งกล้า และสามารถผ่านเข้ามาถึงรอบนี้ได้ ย่อมไม่ใช่ผู้อ่อนแอ
“อันดับหนึ่งในการประลองรอบที่สอง ข้าอยากแลกเปลี่ยนวิชากับเ้าสักครั้ง” ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นกล่าวขณะมองเย่เฟิง แม้เขาจะมองระดับพลังของเย่เฟิงไม่ออก แต่จากลมปราณที่แผ่ออกจากร่างเย่เฟิง ระดับพลังของเขาน่าจะสูงกว่าเย่เฟิง ถึงอย่างไรการปีนขึ้นบันไดก็ต้องอาศัยความรู้ที่มีต่ออำนาจฟ้าดิน ไม่เกี่ยวข้องกับพลังต่อสู้
“เ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า ข้าขอแนะนำให้เ้ายอมแพ้ซะ!” เย่เฟิงกล่าวเสียงเรียบพร้อมเอาสองมือไพล่หลัง
“ยังไม่ต่อสู้แล้วจะรู้ได้อย่างไรเล่า!” ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นได้ยินก็แสยะยิ้ม และคิดว่าเย่เฟิงโอหังมากเกินไป จากนั้นเห็นเขาปลดปล่อยพลังปราณพร้อมกับเหวี่ยงหมัดโจมตีเย่เฟิง ส่วนเย่เฟิงปลดปล่อยพลังแห่งคัมภีร์หล่อกายาเทพาโดยไม่ขยับเขยื้อนตัว พลันเกราะเทพาห่อหุ้มร่างพร้อมปลดปล่อยพลังที่น่าสะพรึงกลัว
“รนหาที่ตาย!” ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นเห็นเย่เฟิงไม่หลบหนีก็เหยียดยิ้มอย่างกระหายเื เย่เฟิงผู้นี้ใจกล้ามาก แม้เผชิญหน้ากับหมัดของเขาก็ยังไม่หนี รนหาที่ตายเสียแล้ว
“ปัง!” เสียงะเิดังขึ้น นาทีต่อมาเห็นรังสีหมัดของผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นโจมตีร่างเย่เฟิงเต็มแรง ก่อนจะมีพลังทำลายล้างแพร่กระจายไปทั่วร่างเย่เฟิง ทว่าเย่เฟิงนิ่งเฉยดุจภูผา ส่วนผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นรู้สึกว่าหมัดของตนโจมตีกำแพงเหล็ก แม้แต่พลังของเขาก็ยังสั่นคลอนไม่ได้
นาทีนี้สีหน้าของผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นเปลี่ยนไป ในใจเกิดความผันผวน เขาอยากถอยหลังหนี แต่ว่าสายเกินไปแล้ว
เย่เฟิงเหวี่ยงหมัดโจมตีผู้ฝึกยุทธ์คนนั้น ทำให้อีกฝ่ายส่งเสียงร้องโอดครวญ ร่างต้องกระเด็นออกไปพร้อมกับกระอักเื เขาจ้องมองเย่เฟิงด้วยความใและไม่กล้าเชื่อว่าเย่เฟิงจะแข็งแกร่งได้ถึงขนาดนี้
“ข้าพูดแล้วไง ว่าเ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า” เย่เฟิงกล่าวเสียงเรียบขณะมองผู้ฝึกยุทธ์คนนั้น จากนั้นเดินกลับไปที่ขอบเวที
มีหลายคนสังเกตเห็นการต่อสู้ทางด้านเย่เฟิง จึงอดประหลาดใจไม่ได้ คาดไม่ถึงว่าร่างกายของเย่เฟิงผู้นี้จะแข็งแรงทนทานขนาดนี้ แม้แต่การโจมตีของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ที่ 4 ก็ยังทำอะไรไม่ได้ ทั้งยังเอาชนะอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย