องครักษ์คุ้มครองคฤหาสน์ยิ้มชั่วช้ายามง้างแส้ขึ้นมาอีกครั้ง
ทันใดนั้นเอง องครักษ์อีกคนก็วิ่งกุลีกุจอเข้ามาถึงตรงหน้าติงข่ายเสวียน เขาก้มหัวยกมือเคารพแล้วรายงาน “เรียนนายท่าน ด้านนอกมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งอยากพบท่านขอรับ...”
“เด็กหนุ่ม? เด็กหนุ่มอะไร?” ติงข่ายเสวียนปัดป่ายมืออย่างรำคาญ “ไล่เขาไป ข้าไม่มีกะใจจะมาพบกับพวกเศษเดนมั่วสุม”
องครักษ์ลังเลครู่หนึ่งก็ตอบกลับ “นายท่าน เด็กคนนี้เป็ศิษย์สำนักกวางขาวขอรับ”
ศิษย์สำนักกวางขาวโดยพื้นแล้วเป็นักยุทธ์ มีสถานะแน่นอนในเมืองลู่ิ ฐานันดรไม่ธรรมดาสามัญ
“สำนักกวางขาว?” ติงข่ายเสวียนชะงักไป แววตาตื่นเต้น สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย “อายุเท่าไรแล้ว...ถามหรือยัง แล้วแซ่อะไร?”
“น่าจะประมาณสิบสี่ขอรับ ข้าน้อยถามแล้ว ได้ความว่าเขาแซ่เย่ ชื่อเ่ิูขอรับ” เขาตอบทั้งก้มหน้า
จึงมิได้มองเห็นว่าเมื่อประโยคนี้พูดจบแล้ว ติงข่ายเสวียนพลันสีหน้าเปลี่ยน แววใและโกรธขึ้งลับหายไปในส่วนลึกของดวงตา สีหน้าแปรเป็ร้อยแปดอย่าง ก่อนจะมืดมัวลง
ติงข่ายเสวียนไม่นึกมาก่อนว่า คนที่ควรมา...จะมาเอาไวขนาดนี้
ใช่ว่าไม่เคยคิดว่าตระกูลเย่จะกลับมาในสักวัน ทว่าไม่นึกว่าจะมาเร็วเหลือเกิน เ่ิูเข้าสำนักกวางขาวไปไม่น่าจะห้าเดือนแท้ๆ ตามทฤษฎีแล้ว มีแต่จะต้องหนึ่งปีขึ้นไปหรือขึ้นปีสองแล้วจึงออกจากสำนักมาได้นี่...
หลายวันมานี้ ติงข่ายเสวียนก็ได้ส่งคนไปฟังข่าวว่าเ่ิูอยู่ในสำนักกวางขาวเป็อย่างไรบ้าง สุดท้ายก็ได้ข่าวลับมาถึงหู โดยเฉพาะเื่ที่ทำผิดต่อฉินอู๋ซวง ถูกกักตัวในหอพิจารณ์ เขาจึงค่อยเบาใจลงได้บ้าง...
รวมทุกข่าวคราวที่ได้ยินทำให้ติงข่ายเสวียนตัดสินเอาว่า ทายาทตระกูลเย่ผู้นั้น ในเวลาอันสั้นเพียงนี้ไม่อาจทำอันตรายใดๆ ต่อคนอย่างเขาได้แน่
แต่ปัญหาก็คือ ทำไมเขาถึงมาวันนี้เล่า?
ในพริบตานั้น สมองของเขาผุดความคิดมากมาย
เขากำลังจะเอ่ยบางอย่าง พลันร่างเด็กหนุ่มในชุดยาวสีดำก็ปรากฏกายขึ้นมา ราวกับกำลังเดินเล่น เขาก้าวเข้ามาจากที่ไกลๆ ทีละก้าวละก้าว ผ่านเข้ามาทางประตูบานใหญ่ ตรงสู่ห้องโถงอย่างเชื่องช้า...
เด็กหนุ่มผู้นี้อายุคงราวสิบสี่สิบห้า รูปร่างสูงแข็งแรง ผมดำหนายาวราวน้ำตก ผ้าผูกผมสีขาวเคลียแผ่นหลัง ยาวระถึงบั้นเอว คิ้วคมตาเป็ประกาย ใบหน้าคมมีเหลี่ยมมุม โดยเฉพาะดวงเนตรคู่นั้น ดั่งดาราโดดเดี่ยวบนเวหายามค่ำคืน มีแววราวกับฟ้าแลบ
ด้านหลังเขาแบกปลอกหอก หอกยาวดั่งแขนเล็กเผยโฉมอยู่หลังไหล่ หอกสองด้ามล้วนยาวหนึ่งเมตรเจ็ดถึงแปด ตัวหอกสีดำดั่งมีอณูหนาหนัก ความดุร้ายกระหายเือบอวล
บุรุษผู้นี้ก้าวเดินเข้ามาทีละก้าว ทอดถอนใจอย่างหวนนึกถึงอดีตยามมองสิ่งปลูกสร้างโดยรอบ ไม่เห็นใครอื่นอยู่ในสายตา...
“เด็กเถื่อนนี่มาจากไหน กล้าบุกเข้าคฤหาสน์ตระกูลติง...” องครักษ์คนหนึ่งหลุดจากภวังค์แล้วเข้าจู่โจมทันที
เด็กหนุ่มอาภรณ์ขาวสะบัดมือเบาๆ
ฟ้าว!
องครักษ์วรยุทธ์อาณาพิภพระดับห้าปลิวลิ่วเหมือนว่าว แล้วเกลือกกลิ้งบนพื้น ทุรนทุรายทว่าลุกไม่ขึ้น
ต่างคนต่างก็ตะลึงลาน
“เ้า...เ้าคือเ่ิูหรือ?” ติงข่ายเสวียนไม่ต้องถามก็นึกชื่อเด็กหนุ่มผู้นี้ออก
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองเขา แววเนตรมีความแปลกใจและไม่พอใจอยู่เมื่อถามกลับ “ทำไมเ้ายังอยู่ที่นี่อีก?”
ติงข่ายเสวียนนิ่งงัน
พูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร?
ทำไมข้าจะอยู่ที่นี่ไม่ได้กันล่ะวะ?
เขาเก็บความโกรธในใจ มององครักษ์ด้านข้างด้วยสีหน้าส่งสัญญาณ หลังจากนั้นก็เหยียดยิ้มแสร้งยินดี “ไม่ทราบว่าคุณชายเย่มาหาข้าที่นี่มีธุระอะไรหรือขอรับ?”
“ที่นี่?” เ่ิูหัวเราะเยาะเย้ย “ที่นี่เป็ของตระกูลเย่ ทำไมข้าจะมาไม่ได้”
ติงข่ายเสวียนใบหน้าเปลี่ยนสี ค่อยๆ ขรึมขึ้นทีละนิด เขาว่า “เด็กๆ ยังอายุน้อยนัก ไม่รู้เื่อะไรข้าไม่ว่า ที่นี่เมื่อก่อนคือคฤหาสน์ตระกูลเย่ แต่ตอนนี้คือตระกูลติงแล้ว เ้าบุกเข้าที่ของข้าโดยพลการ ทำผิดต้องกฎหมายของแคว้นเสวี่ย เห็นอายุเ้าแล้วข้าจะไม่ถือสา รีบไปเถอะไป!”
ครั้นยินเสียงเคร่งของเ้านาย องครักษ์หลายสิบคนก็หยิบอาวุธออกจากฝัก พลันรายล้อมเข้ามาจากทั่วทิศ จิตสังหารเดือดพล่าน ใบหน้าโเี้
เ่ิูหัวเราะผะแ่ เขาเงยหน้าขึ้นมองติงข่ายเสวียนเ้ากรรม ก่อนเอื้อนเอ่ยทีละคำทีละประโยคชัดๆ “ข้าไม่อยากให้เืของคนนอกแปดเปื้อนคฤหาสน์ของตระกูลเย่ของข้า ให้เวลาเท่าเทียนหอมดับ รีบไสหัวไปให้ข้าดีๆ ได้แล้ว ไม่งั้น...”
พูดยังไม่ทันจบดี
พลันพลังมหาศาลไม่อาจควบคุมก็ะเิจากในกายเ่ิู ครอบคลุมทุกร่างของนักยุทธ์องครักษ์ ท่ามกลางเสียงอุทานลั่นระงม ถูกแรงกระแทกจนซวนเซออกไป จะยืนยังยืนไม่อยู่!
ติงข่ายเสวียนถอยหลังตึงตังไปสามสี่ก้าว หน้าเปลี่ยนเป็รอบที่สี่
“เหลยหง ยังไม่ลงมืออีก?” เขาตวาดเสียงต่ำ
สุ้มเสียงเงียบลง กระทาชายเหมือนหมีร่างโตราวหอคอยพลันเดินออกมาจากมุมมืดด้านข้าง
คนๆ นี้อายุตกสามสิบกว่า ส่วนสูงเกินสองเมตร กล้ามเนื้อเป็มัดๆ เสมือนหมีั์ตัวเป้ง ไม่อาจรู้ว่าทำไมเขาถึงแอบอยู่ในมุมมืดของผนังได้ ก่อนหน้านี้ไม่ได้สังเกตเห็นมาก่อน ราวกับว่าไม่ได้มีตัวตนอยู่เลย...
เมื่อเขายืนขึ้นมา ท่าทีป่าเถื่อนจากร่างใหญ่ั์ ชวนให้ทุกชีวิตที่มองรู้สึกเหมือนถูกหินหนักหมื่นจินหล่นทับ และยังหายใจติดขัดดั่งเมฆดำบดขยี้ก็ไม่ปาน
“เฮอะๆ เด็กต๊อกต๋อยรู้วิชายุทธ์แค่ขี้ประติ๋ว ยังกล้ามาอวดเบ่งอีกหรือ?” เหลยหงร่างดั่งหอคอย หัวเราะเหมือนนกฮูก “สำนักกวางขาวตกต่ำจริงๆ เสื่อมลงมันทุกรุ่น!”
ใบหน้าของติงข่ายเสวี่ยนปรากฏยิ้มโฉดชั่ว
เหลยหงเป็นักยุทธ์ขั้นอาณาพิภพที่เขาเสียเงินไปมากมายเพื่อจ้างมา ชื่อเสียงเื่ความโเี้เป็ที่โจษจันกันทั่ว เขาลงมืออำมหิตเผ็ดร้อน วันธรรมดาน้อยครั้งจะใช้สอยได้ จนวันนี้แหละที่มีเหลยหงอยู่ ต้องกำราบเ้าทายาทตระกูลเย่นี่อยู่หมัดแน่
อีกด้าน
เ่ิูเพียงมองเหลยหงปราดหนึ่งก็ไม่สนใจ
เขาสูดจมูกฟุดฟิด พอได้กลิ่นคาวโลหิตลอยมาก็รู้ต้นสายปลายเหตุ สายตามองไปทางกลุ่มคนแถวแล้วแถวเล่า ที่สุดก็เห็นสตรีน่าสังเวชถูกมัดห้อยไว้กลางอากาศกลางห้องโถงไกลๆ
“นั่นมัน...” เ่ิูใจเต้นโครมคราม รู้ในบัดดลถึงตัวตนของหญิงที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยเื “น้าหลันนี่!”
ฟิ้ว!
คนมากมายรู้สึกเหมือนตาพร่า
เ่ิูที่อยู่ห้องโถงมาตลอดพลันขยับกายเหมือนสายฟ้าแลบ พริบตาก็มองไม่เห็น แวบต่อมาถึงปรากฏตัวอยู่หลังห้องโถง
ฉับ!
เชือกถูกสายลมตัดขาด
เ่ิูยื่นมือรับร่างนางไว้ในอ้อมกอด มือซ้ายแบออกเสกพลังภายในไร้รูปร่างท้วมท้นออกมา ดึงเก้าอี้นอนปูด้วยหนังสัตว์จากส่วนลึกของห้องโถงเข้ามา วางร่างนางไว้บนนั้น
“แม่ แม่ข้า...” เสียวฉ่าวพุ่งปรี่เข้ามา ยังมีมารดาอยู่ตรงหน้า
สาวใช้ตื่นขึ้นมาอย่างทรมาน รู้สึกเพียงทั้งร่างเ็ปเหมือนถูกมีดแทง สายตามองเห็นดวงหน้าหล่อเหลาอ่อนเยาว์ พลันรู้สึกถึงความคุ้นเคยน้อยๆ นางกัดฟันถามสู้กับความรวดร้าว “เด็กน้อยเอ๋ย เ้า...เ้าคือ...”
“น้าหลัน ข้าเอง ข้าคือเสี่ยวหยูไง น้าหลัน ขอโทษนะ ข้ามาช้าเกินไป...” เ่ิูใจโศกสลดยิ่งนัก
หญิงนางนี้นามว่าฉินหลัน เป็แม่นมของเ่ิู ข่าวว่ามารดาของเ่ิูไม่มีน้ำนม เป็แม่นมคนนี้เองที่ให้นมเขาจนเติบโต สามีของฉินหลันเคยเป็หัวหน้าองครักษ์ของตระกูลเย่ จากนั้นเมื่อสมรภูมิสี่ปีก่อน เขาก็สิ้นใจไปร่วมกับพ่อแม่ของเด็กหนุ่ม
หลังจากนั้นคฤหาสน์และธุรกิจของตระกูลเย่ก็ถูกยึดด้วยเล่ห์กล ฉินหลันและลูกสาวถูกติงข่ายเสวียนบังคับเป็คนรับใช้ เ่ิูอยู่ภายนอกไม่มีทางต่อต้าน แม้ยามนั้นเขาจะเยาว์วัยนัก ทว่าด้วยคำสั่งเสียของบิดาก่อนตาย และได้ข่าวลับๆ มาบ้าง เพื่อมิให้ลำบากแม่นมฉินหลัน สี่ปีมานี้เขาถึงไม่เคยติดต่อนางเลย
จนบัดนี้เมื่อเขาเข้าสำนักกวางขาว พลังมากพอแล้ว เ่ิูรีบรุดมาที่คฤหาสน์ตระกูลเย่ ก็เพื่อทวงคืนบ้านกลับมา และ้าพบหน้าสตรีที่เป็เหมือนแม่คนที่สองของเขา คือน้าหลันอีกครั้งหนึ่ง ช่วยเหลือทุกคนที่ถูกตระกูลติงกดขี่ออกมา...
ไม่นึกเลย ว่าเมื่อกลับมาแล้วจะได้เห็นภาพบาดตานี่
โทสะลุกไหม้ โหมกระพือรุนแรงในอกเ่ิู!
“ไอ้เด็กสวะ ข้ากำลังพูดกับเ้าอยู่ เ้ากล้าไม่สนข้า...” เหลยหงย่างสามขุมเข้ามาด้านใน สีหน้าละอายเล็กน้อย เมื่อครู่เขาไม่อาจยับยั้งเ่ิูมิให้เข้าโถงใหญ่ได้ น่าขายหน้าจริง
“เสี่ยวหยู...เ้ารีบไป...เ้า” ฉินหลันเข้าใจทุกสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้า นางรีบผลักเ่ิู ในมุมมองของนางแล้ว เด็กหนุ่มที่เพิ่งอายุสิบสี่ปีไม่มีทางต่อกรกับเหลยหงที่โฉดชั่วและดุดันนั่นได้แน่
“พี่เสี่ยวหยู ท่านรีบไปเถอะ ไม่ต้องห่วงพวกข้า...” เสี่ยวฉ่าวก็ไม่รู้เอาความกล้ามาจากไหน แต่นางกลับพูดอย่างหนักแน่นออกไปได้
“น้องเสี่ยวฉ่าว” เ่ิูมองเด็กหญิงผู้ดื่มนมจากแม่เดียวกันแต่เล็ก อดมิได้ที่จะเศร้าใจ
ผ่านไปสี่ปี เ่ิูคิดว่าตนผ่านความลำบากยากเข็ญมามากมาย ทำได้แต่อดทน ทนรับคำเหยียดหยามเยาะเย้ย กลายเป็ตัวอัปลักษณ์ของทั้งเมืองลู่ิ คือหน้าที่ที่ต้องแบกรับความอัปยศอดสู ทว่าเมื่อมาคิดอีกทีในตอนนี้ สิ่งที่เขาได้รับในตอนนั้นไม่ใช่เื่ใหญ่โตอะไรเลย น้าหลันและเสี่ยวฉ่าวที่ติดอยู่ที่นี่ต่างหาก ที่ต้องทรมานเหมือนอยู่ในคุกทั้งเป็ ทนรับความยากแค้น!
ตัวเขาช้าไปจริงๆ!
เ่ิูรู้สึกผิดยิ่งนัก
อีกด้าน
ใบหน้ามีจอนเล็กน้อยของเหลยหงเผยยิ้มร้ายอำมหิต “จะหนีเรอะ? ช้าเกินไปแล้ว...ไอ้โง่สามานย์ กล้าบุกมาคนเดียวมันรนหาที่...นายท่านติง ข้าจะกำจัดไอ้เด็กนี่ทิ้งซะ ป้องกันไม่ให้ก่อหวอดได้อีก”
“นั่น...” ติงข่ายเสวียนทั้งใจเต้นและลังเล
ฆ่าศิษย์สำนักกวางขาวคนหนึ่งทิ้ง ต้องแบกรับความเสี่ยงอยู่มาก เขาเองก็เป็แค่ชนชั้นสูงชั้นสามเท่านั้น ไม่อาจละเลยการพิจารณาเื่นี้ได้
“ฮ่าๆ นายท่านติง กลัวอะไรเล่า ท่อระบายน้ำของเฉิงเป่ยไม่เคยขาดศพเลยสักครั้ง สับให้ละเอียดก่อนแล้วเอาไปทิ้ง ใครมันจะไปรู้เล่า?” เหลยหงหัวเราะร่วน เขาอยากฆ่าจนแทบบ้า “ข้าเหลยหงผู้นี้มือเคยฉีกเนื้อพวกเผ่ามารมาแล้ว แล้วก็เคยฆ่าพวกทหารชายแดนด้วย เฮ้ยๆ ฆ่าไอ้เด็กเดนจากสำนักกวางขาวแค่คนเดียว จะไปกลัวอะไร?”
“ถ้าเื่รั่วไหลแม้แต่นิดเดียวล่ะก็...” ติงข่ายเสวียนยังลังเลอยู่
“ฮึ ใครกล้าแพร่งพรายออกไปแม้แต่ครึ่งคำข้าก็จะฆ่ามันซะ” เหลยหงจิตสังหารเอ่อท่วม ก้าวเข้ามาทีละก้าวเหมือนหมีคลั่ง พื้นห้องะเืเลือนลั่น
เหล่าข้าทาสบริวารล้วนใกลัวจนตัวสั่นเทา