“เป็อะไร? ทำไมถึงกลับมาทำหน้าอมทุกข์อีกแล้ว”
“เปล่านะ ไม่มีอะไร”
“อาการออกขนาดนี้เนี่ยนะ ไม่มีอะไร?”
“…”
“งั้นกูก็จะไม่ถามแล้วกันว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะกูเองก็ไม่อยากอารมณ์เสียั้แ่เช้าเหมือนกัน” อรเอ่ยพร้อมหันหน้าไปทางอื่นคล้ายกับไม่อยากคุยด้วย ส่วนเจแปนเองก็ทำเพียงแค่เหลือบมองหน้าเพื่อนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ก่อนที่เขาจะกลับมาจมอยู่กับความคิดของตัวเองต่อ
ความคิดที่ว่า…เขาควรจะเอายังไงกับคนรักของตัวเองดี
ตอนแรกเจแปนคิดว่าคนอื่นจะไม่สามารถเข้ามาเป็ปัญหาสำหรับพวกเขาได้ เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างเขาและพอร์ตในเวลานี้มันค่อนข้างดีมาก แต่พอเขาได้มีการพูดคุยกับบัว ได้มีเวลาขบคิดเื่นี้มากขึ้น นั่นก็ทำให้เจแปนรู้สึกหวั่นใจอยู่ไม่น้อย กลัวคนอื่นจะเข้ามามีอิทธิพลต่อความสัมพันธ์ระหว่างเขาและพอร์ตจริง ๆ
“เฮ้อ… นี่มันจะมีสักสัปดาห์ไหมที่กูเห็นมึงมาเรียนด้วยใบหน้าที่สดชื่นเนี่ย”
“บัว” เจแปนเรียกชื่อคนที่เพิ่งมาถึงใหม่เสียงแ่ ซึ่งเขาก็รอเจอเพื่อนคนนี้อยู่แล้ว เพราะบัวเป็เพื่อนคนเดียวที่เจแปนชอบนำเื่ส่วนตัวไปปรึกษาอีกฝ่าย
“รอเจออยู่หรือไง?” เธอถามกลับ
“อือ รออยู่”
“แล้วตกลงมึงได้คำตอบหรือยังว่าจะเอายังไงเื่นี้?” หญิงสาวถามกลับมาพร้อมทิ้งตัวนั่งข้างกันที่เก้าอี้ใต้ตึกคณะ ซึ่งในระหว่างที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น เจแปนก็มีการชำเลืองมองเพื่อนในกลุ่มคนอื่น ๆ เล็กน้อย เนื่องจากเขาอยากให้บัวเป็คนเดียวที่รู้เื่นี้
“ตอนนี้กูอยากกินน้ำว่ะ มึงเดินไปซื้อเป็เพื่อนกูหน่อยสิ” เจแปนทำทีพูดขึ้นพร้อมสบตากับบัว เพื่อส่งสัญญาณบางอย่างให้
“อ๋อ ได้สิ งั้นเดี๋ยวกูพาไป” บัวตอบกลับมาอย่างรู้กัน จากนั้นทั้งคู่ก็เดินออกมาจากใต้ตึกคณะ ตั้งใจจะเดินไปซื้อน้ำดื่มและคุยเื่ส่วนตัวไปด้วย
“พูดมาได้แล้ว ตกลงจะเอายังไงหรือว่าจะแกล้งทำเป็ไม่ได้รู้สึกอะไร”
“กูอาจจะต้องเตือนพอร์ตแหละว่าให้เว้นระยะห่าง” เจแปนตอบ ซึ่งวิธีนี้มันก็เป็วิธีเดียวที่เขาพอจะคิดออกในตอนนี้
“แล้วมึงคิดว่ามันจะเชื่อฟังมึงเหรอ?” บัวถามกลับมา “อีกอย่างพอร์ตมันต้องถามเหตุผลแน่ว่าทำไมมึงถึงต้องให้มันเว้นระยะห่างกับเพื่อนที่คณะ”
“ก็ถ้ากูบอกว่ากูรู้สึกไม่สบายใจเวลาที่กูเห็นมันอยู่กับผิง มึงว่าเหตุผลนี้พอจะฟังขึ้นไหมวะ”
“แล้วมึงไม่คิดว่ามันจะถามต่อเหรอว่าอะไรที่ทำให้มึงรู้สึกไม่สบายใจตอนที่มันอยู่กับผิง”
“…”
“ไม่เอาน่า มึงอย่าทำเหมือนไม่รู้จักนิสัยแฟนของตัวเองได้ไหม ขนาดกูเป็แค่เพื่อนมึงยังพอจะเดาออกเลยว่ามันจะถามอะไรต่อไป” บัวเอ่ยพร้อมกลั้วหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ
“แล้วถ้าอย่างนั้นกูควรพูดอะไรต่อดี หรือว่ากูควรจะอ้างเหตุผลไหนกับมัน” เจแปนถามเพื่อน
“อ้างเหตุผลงั้นเหรอ…” บัวทวนคำพูดและเงียบไปพักหนึ่งเพื่อคิดบางอย่าง ก่อนที่เธอจะให้คำตอบกลับมา “มึงว่าไม่ต้องอ้างหรอก บอกเหตุผลแบบตรง ๆ ไปเลยดีกว่า”
“…”
“มึงเคยเล่าให้กูฟังว่าทะเลาะกันหนก่อน มึงเป็ฝ่ายเอ่ยปากขอเลิกกับพอร์ตเองไม่ใช่เหรอ แต่ว่ามันไม่ยอมเลิกเอง ถึงตอนนี้มันจะยังดูแข็ง ๆ ใส่มึงอยู่บ้างก็เถอะ ไม่ได้ยอมอ่อนข้อให้มึงไปเสียทุกเื่ แต่ยังไงตอนนี้มึงก็เหนือกว่าอยู่ดี”
“…”
“งั้นมึงก็บอกไปเลย และถ้าท้ายที่สุดแล้วมันรับข้อเสนอของมึงไม่ได้ ยอมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อมึงไม่ได้ งั้นก็แยกย้ายให้จบ ๆ” หลังจากที่บัวบอกเช่นนั้น เจแปนก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เขาเปิดใจรับฟังวิธีการแก้ไขปัญหาของเธอเอาไว้ แต่จะจัดการยังไงต่อนั้น เจแปนก็อาจต้องดูสถานการณ์อีกที
หลังพูดคุยเื่ส่วนตัวกับบัวและซื้อน้ำเหมือนอย่างที่พูดเรียบร้อยแล้ว เวลาต่อมาเจแปนกับเพื่อนสนิทก็เดินขึ้นมาบนตึกเรียนของคณะต่อ เมื่อมันถึงคราวที่พวกเขาจะต้องเข้าเรียนกันแล้ว โดยระหว่างที่กำลังนั่งคอยอาจารย์กัน ทั้งหมดก็ใช้่เวลานั้นสนทนา ราวกับไม่ได้เจอกันมาแรมปี
“เจแปน”
“ว่า?”
“เมื่อคืนนี้มึงได้ไปเที่ยวกับแฟนมึงปะ”
“หืม ไม่นะ เมื่อวานนี้กูอยู่ห้องของตัวเอง ส่วนพอร์ตมันก็อ่านหนังสืออยู่ที่ห้องมันเหมือนกัน”
“…”
“มีอะไรหรือเปล่า” เจแปนถามกลับอย่างใคร่รู้ เมื่อในระหว่างที่เขากำลังนั่งไถโทรศัพท์แก้เบื่ออยู่นั้น จู่ ๆ เพื่อนในกลุ่มที่ไม่ค่อยได้สนทนากันนักก็ถามขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“งั้นไม่มีอะไรหรอก สงสัยกูคงจำคนผิดเอง” อีกฝ่ายตอบกลับมาพลางหันหน้าหนีไปทางอื่น เหมือนไม่อยากคุยเื่นี้ต่อ เมื่ออีกฝ่ายได้รับคำตอบกลับไปอย่างนั้น แต่เจแปนเองก็ไม่ยอมเช่นกัน
“มึงไปเห็นอะไรมาเหรอ ช่วยเล่าให้กูฟังหน่อยสิ” เขาตัดสินใจถามออกไป และนั่นก็ทำให้อีกฝ่ายหันกลับมามองหน้ากันอีกครั้ง
“แล้วถ้าบอกไปมึงจะโกรธกูไหมล่ะ?” อีกฝ่ายถามกลับมาแล้วพูดต่อ “ถ้ามึงมั่นใจว่าเมื่อคืนนี้แฟนมึงนอนอ่านหนังสืออยู่ที่ห้องจริง ๆ กูว่ามึงก็ไม่ต้องรับรู้ให้เกิดความระแวงหรือหงุดหงิดน่าจะดีกว่า”
“แต่ว่ากูอยากรู้ไง” เจแปนเอ่ยเสียงนิ่งพร้อมใช้นิ้วมือปิดหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองลง เพื่อที่เขาจะได้คุยกับเพื่อนในกลุ่มได้ถนัด ๆ
“…”
“เพราะงั้นช่วยเล่าให้กูฟังหน่อยสิว่าไปเห็นอะไรมาเหรอ” หลังจากที่เจแปนพูดออกไปเช่นนั้น ทุกคนในกลุ่มก็ต่างหันมองเจแปนและเพื่อนอีกคนอย่างเงียบ ๆ ก่อนที่จะมีการเล่าบางอย่างให้ฟัง โดยในระหว่างการเล่าอีกฝ่ายก็มีการพูดย้ำเสมอว่าเ้าตัวอาจจะจำคนผิดก็ได้ เพราะภายในร้านค่อนข้างมืด คนที่เห็นอาจเป็แค่คนหน้าคล้ายเท่านั้น ไม่ใช่คนรักของเจแปนจริง ๆ
เมื่อการเรียนวิชาใน่เช้าเสร็จสิ้นลง เจแปนที่สติไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวั้แ่ที่ฟังเื่นั้นจบก็ค่อย ๆ เดินออกมาจากห้องเรียนอย่างเงียบ ๆ ดวงตากลมโตแดงก่ำเหมือนคนที่พร้อมจะร้องไห้ออกมาอยู่ตลอดเวลา แต่ทว่ามันกลับไม่มีหยดน้ำตาไหลออกมาให้เห็นเลยสักหยด
“มึง…ไหวหรือเปล่า” อรที่เดินประกบอยู่ไม่ห่างถามถึงสภาพจิตใจของเจแปนด้วยท่าทีเป็ห่วง
“ไหวดิ เื่แค่นี้เอง” เจแปนตอบกลับไป ทั้งที่ท่าทางเขาในตอนนี้มันกำลังสวนทางกันกับสิ่งที่เจแปนเพิ่งพูดมันออกมา
“สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนนะมึง อย่าเพิ่งร้องไห้”
“กูไม่ร้องอยู่แล้ว”
“…”
“แต่กูก็แค่ไม่รู้ว่าตัวเองควรต้องทำยังไงต่อ” เจแปนบอกเพื่อนพร้อมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ หลังก้อนนี้มันจุกอยู่ที่คอมานาน ั้แ่ที่เขาได้ฟังเื่เล่าจากเพื่อนแล้ว
อันที่จริง สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้มันเป็เหตุการณ์หนที่สองแล้วที่เจแปนได้พบเจอ…
มันไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนเข้ามาบอกเขาว่าเจอพอร์ตที่นั่นที่นี่ และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกเหมือนกันที่มีคนมาบอกกันว่าเห็นแฟนหนุ่มของเขาอยู่กับใครบ้าง ซึ่งในตอนแรกเจแปนก็ไม่เคยเก็บเอาเื่นี้มาหนักหัวเลย เพราะเขาเชื่อจริง ๆ ว่ากลุ่มคนพวกนั้นน่าจะจำคนผิด แต่พอมีคนเข้ามาทักท้วงหลาย ๆ คนเข้า นั่นก็ทำให้เจแปนเริ่มจะไม่มั่นใจแล้วว่าคนรักที่เขาคบหากันมานานยังสามารถเชื่อใจกันได้หรือเปล่า
ท่ามกลางข้อเสียมากมายที่อีกฝ่ายมี ข้อดีหนึ่งเดียวที่เจแปนพอจะมองเห็นชัด คือ พอร์ตไม่เคยนอกใจเขาเลยสักครั้ง แต่ในเวลานี้มันยังเป็เช่นนั้นจริง ๆ หรือเปล่า
หรือว่าเจแปนแค่คิดไปเองว่าคนรักของเขายังซื่อสัตย์ต่อกัน
“ถ้าสมมติตอนนี้แฟนของมึงนอกใจไปแล้วจริง ๆ มึงจะทำยังไงต่อ?”
“บัว นี่มึงถามอะไรของมึงเนี่ย ไม่เห็นเหรอว่าตอนนี้มันเป็ยังไง”
“แล้วถ้าไม่ถามตอนนี้จะให้ไปถามตอนไหน? หรือจะให้ถาม ตอนที่จับได้แบบคาหนังคาเขาแล้วว่าถูกนอกใจ” ่เที่ยงวัน ระหว่างที่กำลังนั่งกินข้าวอยู่ที่โรงอาหารประจำคณะ บัวกับอรที่มานั่งกินข้าวเป็เพื่อนเจแปนก็พูดคุยกันเสียงจริงจัง หลังบัวที่นั่งกินข้าวอยู่ฝั่งตรงข้ามกันได้ถามเจแปนว่าเขาจะเอายังไงต่อกับเื่นี้
“ก็คงต้องเลิก” เจแปนบอกกลับไป
“…”
“ต่อให้กูรักมันมากแค่ไหน ไม่อยากเลิกกับมันมากแค่ไหนแต่ก็คงต้องเลิก เพราะเื่การนอกใจนอกกายมันเป็เื่เดียวที่กูรับไม่ได้และั้แ่ก่อนคบ กูก็บอกมันแล้วว่าถ้าจะเลิกกัน…ก็ขอให้เลิกกันด้วยเหตุผลอื่น อย่าเลิกกันด้วยเหตุผลนี้เลย” เจแปนเอ่ย เนื่องจากเื่นี้มันเป็ปมที่อยู่ในใจเขามาั้แ่วัยเด็กแล้ว พอเติบโตเป็ผู้ใหญ่และได้รับรู้แล้วว่าอะไรเป็อะไร เจแปนก็คอยภาวนามาโดยตลอดว่าขออย่าให้เขาได้เจอชีวิตรักแบบแม่ของตัวเอง
เพราะมันใจร้ายเกินไป
“แล้วถ้ามันขอโอกาสล่ะ” บัวถามต่อ
“ไม่รู้สิ” เจแปนพูดเสียงแ่ด้วยสายตาสับสน แล้วค่อยว่าต่อ “ในอนาคตกูอาจจะให้โอกาส อาจจะให้อภัยมันได้แหละมั้ง แต่ความเชื่อใจมันน่าจะไม่มีเหมือนเดิมแล้ว”
“กูเข้าใจมึงนะ” อรพูดขึ้นมาบ้าง “ถ้าอย่างนั้นมึงก็ถามเลยไหม ถามให้จบ ๆ ไปเลย”
“นี่พวกมึงจะให้กูถามเลยเหรอ”
“ทำไมล่ะ? ถามวันนี้หรือถามวันไหน ยังไงมันก็ต้องถามอยู่ดีเว้นเสียแต่ว่ามึงไปจับได้ซะก่อน” บัวเอ่ย “กูว่ามึงถามเลยเถอะ จะได้ไม่เสียเวลาไปมากกว่านี้”
เพราะทั้งอรและบัวต่างมีความคิดเห็นตรงกันว่าเจแปนควรจะถามคนรักให้จบ ๆ ไปเลย เวลาต่อมาหลังจากที่แยกกับเหล่าเพื่อนแล้ว เจแปนจึงตัดสินใจมานั่งรอพอร์ตที่ใต้ตึกคณะทันตะฯ รอคอยที่จะเจอคนรักและเดินทางกลับด้วยกัน
ซึ่งเจแปนก็คิดว่าเขาจะใช้เวลานั้นในการสอบถามพอร์ตแบบเปิดอกว่าอีกฝ่ายกำลังมีใครอื่นนอกเหนือจากเขาหรือเปล่า…
“ไหนตอนแรกแปนบอกว่าเย็นนี้จะแยกกลับใครกลับมัน”
“อ๋อ พอดีเพื่อนเรายกเลิกนัดกะทันหันน่ะ” หลังนั่งรอพอร์ตอยู่ที่ใต้ตึกคณะนานพักใหญ่ จนในที่สุดอีกคนก็เรียนเสร็จและเดินลงมาหากันเสียที บทสนทนาสั้น ๆ ระหว่างคู่รักมาราธอนก็ดังขึ้นเบา ๆ โดยระหว่างการพูดคุย เจแปนก็มีการหันไปส่งยิ้มทักทายให้เพื่อนของพอร์ตที่เดินผ่านไปผ่านมาด้วย
“งั้นเรากลับกันเถอะ เพราะเดี๋ยวฝนจะตกแล้ว” พอร์ตตอบกลับมาเสียงปกติ พลางเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ไม่ค่อยสดใสนัก คล้ายกับ้าดูท่าทีว่าฝนจะเทกระหน่ำลงมาในตอนนี้เลยหรือเปล่า จากนั้นอีกฝ่ายก็หันกลับไปโบกไม้โบกมือร่ำลาเพื่อนของตัวเอง แล้วค่อยเดินนำเจแปนไปยังรถของเ้าตัว
โดยในขณะที่เจแปนกำลังเดินตามคนรักของตัวเองไปยังรถอย่างเงียบ ๆ ดวงตากลมโตของเขาก็คอยจับจ้องแผ่นหลังกว้างอย่างใช้ความคิด เนื่องจากเขาไม่รู้ว่าเขาควรจะเริ่มเข้าประเด็นนั้นตอนไหนดี
เจแปนรู้ว่าการเข้าประเด็นนั้นมันอาจจะเป็ต้นเหตุที่ทำให้พวกเขามีปากเสียงกันอีกหน แต่ถ้าจะให้เจแปนแสร้งทำเป็ไม่ใส่ใจ เขาก็ไม่สามารถทำได้เช่นกัน เพราะมันจะทำให้เขาจมอยู่กับความทุกข์
“ยังไม่อยากให้ฝนตกลงมาตอนนี้นะ เพราะไม่งั้นรถติดแน่”
“…”
“แปนว่าพวกเราจะทันปะ” คราวนี้พอร์ตหันหน้ามาถามความคิดของเจแปน ระหว่างที่ทั้งสองกำลังอยู่บนรถด้วยกันและติดอยู่ที่สี่แยกไฟแดงหน้ามหาลัย
“ไม่แน่ใจแฮะ พอร์ตอาจจะไปส่งเราทัน แต่ระหว่างทางที่พอร์ตกลับห้อง ฝนอาจจะเทตอนนั้นก็ได้มั้ง” เจแปนพยายามตอบกลับไปด้วยท่าทีปกติ เหมือนคนไม่ได้มีเื่อะไรที่รบกวนจิตใจอยู่ แต่เพราะเขากับพอร์ตคบกันมานาน ต่อให้ไม่ได้หวานชื่นหรือตัวติดกันตลอดเวลาคล้ายคู่อื่น แต่ยังไงพอร์ตก็ต้องรู้สึกอยู่ดีว่าเจแปนเปลี่ยนไป
“แล้วนี่กำลังเครียดเื่อะไรอยู่?” อีกฝ่ายถาม
“…”
“เรารู้สึกแปลก ๆ ั้แ่ตอนที่เห็นเจแปนนั่งอยู่ใต้ตึกคณะเราแล้ว แต่ที่ไม่ได้ถาม เพราะตรงนั้นคนอยู่เยอะ” พอร์ตว่า และนั่นก็ทำให้เจแปนนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนที่ต่อมาเขาจะหันกลับไปมองคนรักอย่างชั่งใจแล้วถามบางอย่าง
“พอร์ตมีคนอื่นหรือเปล่า”
“…”
“ช่วยตอบเรามาแบบตรง ๆ เลยว่านอกใจเราไหม”
“ใครมาพูดอะไรเข้าหูอีกล่ะ ถึงได้มาถามแบบนี้กับเรา” อีกฝ่ายถามกลับมาทั้งคิ้วขมวด ซึ่งเจแปนก็ชักสีหน้ากลับไปเช่นกัน เนื่องจากเขาอยากได้คำตอบ ไม่ได้้าให้อีกฝ่ายถามกลับมา
“เราให้พอร์ตตอบคำถามของเรานะ ไม่ได้ให้ถามกลับ”
“เราไม่ได้นอกใจ” พอร์ตตอบกลับมาทั้งหน้านิ่ง ไม่แสดงออกถึงพิรุธอะไรทั้งนั้น
“…”
“เราคบกันมาหกปีจนจะเข้าปีที่เจ็ดแล้วนะแปน ระยะเวลาที่เราคบหากันมามันเป็คำตอบให้ไม่ได้เลยเหรอ? แล้วอีกเื่…ทำไมพักหลังมานี้แปนถึงคอยจับผิดคิดว่าเราไปมีคนอื่นจังวะ มันเป็อะไรนัก”
“ก็…”
“เรารู้นะว่าเพื่อนแปนไม่ชอบขี้หน้าเรา” ยังไม่ทันที่เจแปนจะได้พูดอะไร พอร์ตก็ดันสวนขึ้นมาเสียก่อนแล้วพูดต่อ “เพื่อนของแปนอยากให้เราสองคนเลิกกันไง พวกนั้นก็เลยคอยเป่าหูยุแยงให้ทะเลาะกันอยู่เรื่อย หัดรู้ทันเพื่อนตัวเองบ้างเถอะ”
นี่เป็ครั้งแรกที่พอร์ตมีการพูดถึงเพื่อนของเจแปนในทางไม่ดี เพราะงั้นเจแปนจึงมีการโต้ตอบกลับไปบ้าง เพื่อปกป้องเพื่อนของตัวเองอย่างที่ควรจะทำ
“ก็เพราะพอร์ตชอบทำตัวไม่น่ารักกับเราไง เพื่อนเราก็เลยไม่ชอบขี้หน้า” เจแปนเอ่ย
“ไม่น่ารักยังไง เราก็เป็แบบนี้มาั้แ่ไหนแต่ไรแล้วนะ”
“ไม่อ่ะ”
“…”
“แต่ก่อนพอร์ตเคยน่ารักกว่านี้” เจแปนยังคงยืนกรานคำพูดของตัวเองด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เพราะถ้าเขารู้ว่าพอร์ตนิสัยเป็แบบนี้ั้แ่แรก เจแปนก็คงไม่มีทางตกหลุมรักอีกฝ่ายแน่ “ลืมไปแล้วเหรอว่าพอร์ตเป็คนเข้าหา เป็คนเข้ามาจีบเราก่อนนะ พอร์ตเคยน่ารักขนาดไหน พอร์ตลืมตัวเองในอดีตไปแล้วหรือไง”
หกปีก่อน…
เพราะเป็เด็กต่างจังหวัดมาโดยตลอด พอต้องเข้ามาเรียนในกรุงเทพและใช้ชีวิตอยู่ที่นี่เพียงลำพัง นั่นจึงทำให้เจแปนในวัยสิบห้าย่างเข้าสิบหกรู้สึกเครียดอยู่ไม่น้อย เนื่องจากมันคือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
[อยู่ได้ใช่ไหม แปนขึ้นรถไฟฟ้าเป็หรือยัง?]
“อยู่ได้ แต่น่าจะต้องใช้เวลาอีกสักพักในการปรับตัว”
[แล้วใครพาแปนขึ้น?]
“ไม่มีครับ ผมก็อาศัยมองคนอื่นแล้วทำตามเขาเอา” ขณะที่กำลังกอดเข่านั่งมองวิวตึกอยู่ที่ริมหน้าต่างห้อง เจแปนในวัยสิบหกปีก็คุยโทรศัพท์กับแม่ของตัวเองไปด้วย หลังเธอโทรมาหาเพื่อสอบถามความเป็ไปของเขาในเมืองหลวง
[แล้วเื่เพื่อนที่โรงเรียนล่ะ เป็ยังไงบ้าง? เพราะสัปดาห์ก่อนแปนไปเรียนเป็สัปดาห์แรกไม่ใช่เหรอ] เธอถามต่อ โดยนั่นก็ทำให้คนที่กำลังนั่งมองวิวตึกมีท่าทีชะงักไปเล็กน้อย
“ก็ดีแหละมั้งครับ แต่น่าจะต้องปรับตัวอีกสักระยะ” เจแปนตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยหนักแน่นนัก ดวงตากลมโตฉายความสับสนออกมาอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเขาเกิดความไม่มั่นใจในคำตอบของตัวเอง
[เพื่อนไม่ดีเหรอ?] แม่ของเขาถามต่อตามประสาคนที่เลี้ยงดูกันมาั้แ่แบเบาะ
“ถามอะไรของแม่เนี่ย” เจแปนถามกลับไปพลางกลั้วหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ เพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกของตัวเอง เพราะไม่อยากให้คนปลายสายเกิดความเป็ห่วงกัน
[ฟังแค่เสียง แม่ก็เดาออกแล้วว่าแปนกำลังมีเื่ไม่สบายใจ]
“…”
[สังคมเพื่อนที่โรงเรียนมันไม่ดีเหรอลูก?]
“ดีครับ เพื่อนหลายคนก็น่ารักกับแปนแหละ แต่ว่าแปนก็ยังต้องปรับตัวอะไรหลาย ๆ อย่างไง”
[…]
“สังคมเพื่อนที่นี่กับที่บ้านเรามันไม่เหมือนกันนะแม่ แปนก็ไม่รู้จะบอกยังไงเหมือนกัน” คราวนี้เจแปนไม่พูดเปล่า แต่เขายังมีการระบายความเครียดนั้นด้วยการพ่นลมหายใจออกมาแรง ๆ หนึ่งหน
[ถ้าปรับตัวหรืออยู่ไม่ไหว งั้นแปนก็กลับมาอยู่ที่นี่ไหมล่ะ? กลับมาอยู่ที่เดิมที่เราคุ้นเคย] นานเกือบนาทีกว่าที่แม่ของเจแปนจะถามกลับมา และคำถามจากเธอก็ทำให้เจแปนชะงักไปอีกครั้ง
“ถ้าแม่ให้แปนเลือกระหว่างที่นี่กับที่นั่น แปนขอเลือกอยู่ที่นี่ดีกว่า”
เพราะรู้ว่าหากฝืนใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านเกิดต่อไปจนถึงอายุสิบแปด เจแปนอาจต้องทนเจอกับปัญหาเดิม ๆ ที่ไม่มีทางจบสิ้น นั่นจึงทำให้เขาเลือกที่จะแบกรับความเสี่ยงแล้วย้ายมาเรียนที่กรุงเทพดีกว่า ต่อให้เขาไม่รู้ว่าอนาคตมันจะเกิดอะไรขึ้นบ้างก็ตาม
ในที่สุด… เช้าแห่งการไปโรงเรียนก็ถูกเวียนมาถึงอีกครั้ง
หลังลงมาจากรถจักรยานยนต์รับจ้างเรียบร้อยแล้ว เจแปนก็มาเสียเวลานั่งทานข้าวเช้าอยู่หน้าโรงเรียนต่อพักหนึ่งตามประสาคนที่ยังไม่ได้กินอะไรมาเลย โดยเขาก็เสียเวลานั่งกินข้าวเช้าราว ๆ สิบห้านาทีเห็นจะได้ เจแปนถึงค่อยเดินเข้าไปข้างในโรงเรียน ตั้งใจจะเอากระเป๋าขึ้นไปไว้ที่ห้องเรียนก่อน แล้วค่อยเดินลงมาเข้าแถว ร่วมทำกิจกรรมอันแสนจะน่าเบื่อพร้อมกับนักเรียนคนอื่น ๆ ใน่สาย
ซึ่งในระหว่างที่เจแปนกำลังเดินผ่านสนามฟุตบอลอย่างไม่รีบเร่งอะไรนั้น จู่ ๆ คนในสนามก็ะโมาทางเขาเสียงดังลั่นและเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
“ระวัง!”
ผลั้วะ!
ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก ยังไม่ทันที่เจแปนจะได้รู้ว่าอะไรเป็อะไร เขากลับต้องขมวดคิ้วโดยพลัน เมื่อรับรู้ได้ถึงแรงกระแทกบางอย่างที่ถูกอัดเข้ามาตรงบริเวณข้างแก้ม จนทำให้เจแปนเสียหลักล้มลงกับพื้น
เจแปนถูกลูกบอลอัดหน้าั้แ่เช้าตรู่ นั่นคือสิ่งที่เจแปนรู้ตัว หลังจากที่เขาล้มไปกองกับพื้นแล้ว
“มึงนี่ไม่ดูตาม้าตาเรือเลยนะ ไม่เห็นเหรอวะว่าที่ข้างสนามกำลังมีคนเดินผ่าน!”
“ก็กูไม่เห็นจริง ๆ เลยไม่ทันได้ระวัง”
“แล้วตาบอดหรือไง!” คนที่พูดในตอนแรกตะคอกกลับทันที ก่อนที่ต่อมาอีกฝ่ายจะหันกลับมาให้ความสนใจกับเจแปน ช่วยพยุงร่างเขาขึ้นจากพื้นและถามบางอย่างด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด “เป็ยังไงบ้าง ไหวไหม?”
“เราไหว ม—ไม่เป็ไร” เจแปนตอบกลับไปเสียงแ่ แม้ในเวลานี้เขาจะยังมึนงงและรู้สึกชาตรงบริเวณข้างแก้มก็ตาม
“เราขอโทษแทนเพื่อนเราด้วยนะ เมื่อกี้มันไม่ทันได้มองน่ะ”
“…”
“นี่ต้องไปห้องพยาบาลหรือเปล่า ถ้างั้นเดี๋ยวเราพาไปนะ” อีกฝ่ายว่าและตั้งท่าจะพยุงร่างเจแปนให้ลุกขึ้นยืน แต่เจแปนกลับขืนแรงเอาไว้ก่อนพร้อมให้เหตุผลกลับไป
“ไม่ต้องถึงขั้นไปห้องพยาบาลก็ได้ เื่แค่นี้เอง”
“แต่เมื่อกี้มันแรงมากเลยนะ” อีกฝ่ายท้วง
“อือ… ช่างมัน ไม่เป็ไรหรอก” เจแปนยังคงยืนกรานคำเดิม ทว่าคำพูดของเขาก็ยังทำให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี
“แต่ยังไงเราก็ยังรู้สึกผิดอยู่ว่ะ เอางี้แล้วกัน…ให้เราพานายไปล้างหน้ากับแบกกระเป๋าไปส่งนายที่ห้องเรียนนะ” อีกฝ่ายื่นข้อเสนอกลับมาให้ คล้ายกับการที่ให้เ้าตัวได้ทำแบบนี้ มันจะช่วยทำให้อาการรู้สึกผิดที่กำลังเป็อยู่ลดน้อยลง แต่ถึงยังไงเจแปนก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี เนื่องจากอีกฝ่ายไม่ใช่คนที่เตะบอลอัดหน้าเขาสักหน่อย แต่เป็เพื่อนของเ้าตัวต่างหาก
“ว่ายังไง โอเคหรือเปล่า?” คนตรงหน้าเร่งเร้าเอาคำตอบ เมื่ออีกฝ่ายเห็นว่าเจแปนนิ่งไป
“ก็ถ้ามันจะช่วยทำให้นายรู้สึกผิดลดลง งั้นก็ได้…ตามใจแล้วกัน” สิ้นเสียงของเจแปน อีกฝ่ายก็ทำการดึงกระเป๋านักเรียนของเขาไปถือเอาไว้เหมือนอย่างที่บอกในตอนแรกทันที
ซึ่งการเดินไปยังห้องน้ำเพื่อล้างหน้าเอาเศษคราบดินที่ติดออก จนถึงการพาเดินไปยังห้องเรียน ทั้งสองก็ไม่ได้พูดคุยกันเลยสักประโยค ต่างฝ่ายต่างเงียบและมีแค่เจแปนนักเรียนใหม่เท่านั้นที่เป็คนคอยเดินนำทางว่าจะไปที่ไหนบ้าง ส่วนอีกคนก็รับหน้าที่เป็คนถือกระเป๋าให้แบบไม่มีบ่นสักคำ
จนกระทั่งทั้งสองเดินมาหยุดที่หน้าห้องเรียนของเจแปนแล้ว
“ถึงแล้ว ส่งกระเป๋ามา” เจแปนหันไปบอกและเป็ฝ่ายเอื้อมมือไปดึงกระเป๋านักเรียนมาจากมือของอีกฝ่ายเสียเอง โดยหลังจากที่เจแปนได้กระเป๋ากลับมาแล้ว คนตรงหน้าที่ควรจะเดินลงไปจากตึกได้แล้วก็มีท่าทีอึกอัก เหมือนอยากพูดอะไรบางอย่างด้วย
“มีอะไรหรือเปล่า” เจแปนตัดสินใจถามออกไป
“นายชื่อเจแปนใช่ไหม?” อีกฝ่ายกลั้นใจถามกลับมา
“อือ เราชื่อเจแปน” เขาพยักหน้ารับ
“เราชื่อพอร์ตห้องสี่นะ”
“…”
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ” อีกฝ่ายว่า และนั่นก็เป็จุดเริ่มต้นที่ทำให้ทั้งคู่ได้รู้จักกัน