เวลากลางคืนในฤดูร้อนค่อนข้างสั้น ตอนที่ใกล้จะเช้า คนงานที่เคาะเวลาในตอนกลางคืนตามถนนต่างก็แยกย้ายกันไปแล้ว
ในเวลานี้ท้องฟ้าก็เริ่มมีแสงสว่างเล็กน้อย แต่ความจริงแล้ว แม้แต่หน้าตาของคนที่ยืนอยู่ตรงข้ามก็ยังมองเห็นไม่ชัด ณ ตอนนี้ทุกครอบครัวยังคงนอนหลับสนิท
บนถนนใหญ่ ตรอกซอกซอยในเมืองหลวงก็พลันมีคนชุดดำมากมายปรากฏตัวออกมาทุกทิศ พวกเขาเข้าๆ ออกๆ ตามตรอกซอกซอยมากมาย
ในยามเหม่าท้องฟ้าก็สว่างขึ้น
ตามถนนก็เริ่มมีคนออกมาเดินกันครึกครื้น ออกมาตั้งร้าน และเริ่มทำธุรกิจกันอย่างล้นหลาม
แต่วินาทีที่ทุกคนเปิดประตูออกมานั้น บนถนนด้านนอกก็มีกระดาษหลายใบร่วงอยู่เต็มไปหมด
ซูิเยว่ที่นอนหลับจนถึงตอนนี้ก็เพิ่งจะตื่นขึ้น เสี่ยวอวี่คอยดูแลนางอาบน้ำและทานอาหารจนเสร็จ จากนั้นก็ไปที่ห้องตัดเสื้อเพื่อเอาเสื้อผ้าที่สั่งทำเสร็จแล้วกลับมาเริ่มลงมือปัก
แต่ในตอนนี้เอง หนิงหยวนก็เข้ามาข้างในด้วยท่าทางร้อนรน สีหน้าจริงจังมาก
ก่อนหน้านี้หนิงหยวนถูกซูิเยว่สั่งให้อยู่ช่วยหวังซวินทำธุรกิจอยู่ด้านนอกจวน และอบรมเด็กพวกนั้นไปด้วย
ซูิเยว่ขมวดคิ้ว ลางสังหรณ์บอกนางว่าเกิดเื่ไม่ดีขึ้น
หนิงหยวนมองไปรอบๆ ก่อนสองสามทีแล้วกดเสียงเบา “แย่แล้วขอรับคุณหนู ด้านนอกเกิดเื่ใหญ่แล้ว”
เขาพูดพร้อมกับล้วงกระดาษที่มีตัวอักษรเต็มแผ่นออกมายื่นให้ซูิเยว่
นางรับมาดู สีหน้าก็เ็าขึ้นมา
บนกระดาษเขียนเอาไว้ว่า องค์ชายสามจี๋โม่หานร่วมมือกับศัตรูและทรยศแคว้น เมื่อสิบกว่าปีก่อนได้จงใจแพ้าให้กับตงฉือ และมอบที่ดินในเมืองหลวงให้กับคนอื่น อีกทั้งยังแอบฝึกทหารเอาไว้เพื่อหวังจะฏ
ซูิเยว่รู้แค่ว่าเืของตนั้แ่หัวจรดเท้าเย็นเยียบ นิ้วมือเริ่มสั่นอย่างไม่อาจควบคุมได้ มีคนคิดอยากจะใส่ร้ายจี๋โม่หานอย่างชัดเจน เหตุใดคนคนหนึ่งถึงจงใจทำให้ตัวเองตาบอดและพิการมาหลายสิบปี
แต่ยิ่งในเวลาแบบนี้นางก็ยิ่งลนลานไม่ได้ “เสี่ยวหยวน กระดาษแผ่นนี้มีประมาณเท่าไหร่”
สีหน้าของหนิงหยวนย่ำแย่มาก “ตอนนี้มีเต็มทั่วทั้งถนนเมืองหลวงเลยขอรับ”
มีอยู่เต็มถนน เช่นนั้นหมายความว่าทุกคนก็เห็นกันหมดแล้ว จากการบอกต่อและความคิดที่ยากจะคาดเดาของคน เื่นี้จะต้องเป็เื่ใหญ่อยู่แล้ว ถึงตอนนั้นอีกไม่นานเื่นี้ก็คงไปถึงหูฮ่องเต้
หนิงหยวนมองสีหน้าย่ำแย่ของซูิเยว่ก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย “คุณหนู ข้าไม่รู้ว่าระหว่างท่านกับองค์ชายสามมีการแลกเปลี่ยนอะไรกัน แต่ตอนนี้พวกท่านจะไปมาหาสู่กันไม่ได้อีก”
ซูิเยว่เงยหน้าไปมองหนิงหยวนด้วยสายตาเย็นเยียบ ไม่ได้มีความรู้สึกเลยสักนิด นางรู้ว่าหนิงหยวนหมายความว่าอย่างไร
ในตอนนี้ ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จก็ต้องรักษาตัวเองเอาไว้ก่อนเป็ยอดดี อีกทั้งพวกหนิงหยวนตอนนี้ก็ยังไม่รู้เื่ความสัมพันธ์ของนางกับจี๋โม่หาน เขาพูดเช่นนี้ออกมาก็เพื่อนาง แต่จะให้นางทำแค่ยืนมองอยู่ด้านข้างได้อย่างไร
“หนิงหยวน” ซูิเยว่เบือนสายตาออกก่อนจะถอนหายใจออกมา “เื่นี้ข้าจะไม่ยุ่งก็ไม่ได้ ข้าจะคิดหาวิธีด้วยตนเอง”
“คุณหนู” หนิงหยวนชะงักไป ขอบตาแดงและพูดเสียงสั่น “ท่านเห็นข้าเป็ใครกันขอรับ หากคุณหนูตัดสินใจจะทำอะไร ข้าน้อยก็ยินดีที่จะตายตามไปขอรับ”
ซูิเยว่เดินเข้าไปในห้อง นางเอากระดาษไปวางไว้ที่เทียนและเผากระดาษนั้นทิ้ง หนิงหยวนกับเสี่ยวอวี่เองก็ตามเข้าไปโดยไม่พูดอะไร
ซูิเยว่หันกลับมามองสองคนที่ทำท่าทางเหมือนจะไปตาย ใบหน้าที่ตึงเครียดมาตลอดถึงได้ผ่อนคลายลง “เอาล่ะ ข้าเป็พวกที่ทำอะไรก็ไม่ใช่คนที่จะพาตัวเองไปตายเสียหน่อย เื่นี้ข้าจะระวัง”
“คุณหนู ตอนนี้จะทำอย่างไรดี?”
ซูิเยว่ส่ายหน้า “ข้าเองก็ไม่รู้ ตอนนี้ยังไม่แน่ใจกับสถานการณ์ ที่สำคัญไม่รู้ว่าด้านนอกสถานการณ์เป็อย่างไรบ้าง พวกเราทำได้แค่คอยจับตาดูสถานการณ์ไปเงียบๆ ก่อนแล้วค่อยวางแผน”
เมืองหลวง
ตอนนี้ด้านนอกวุ่นวายกันไปหมด แทบทุกคนต่างเก็บกระดาษแผ่นนั้นได้ และรู้ว่าบนกระดาษนั้นเขียนอะไรเอาไว้บ้าง พวกเขาจึงเริ่มพูดคุยวิจารณ์กัน
ข่าวที่องค์ชายสามจี๋โม่หานฏนั้นเริ่มจะลือกันไปทั่ว
ทุกคนต่างใกันมาก ไม่รู้ว่ากระดาษแผ่นนี้มาจากไหน แล้วก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่เขียนอยู่ในกระดาษนั้นจริงหรือเท็จแค่ไหน แต่ทุกคนมักจะชอบการคาดเดา ตอนที่ความคิดของคนส่วนใหญ่เบนไปทางไหน พวกเขาก็จะเริ่มเบนไปตามกันทุกคนและหนักแน่นกับความคิดของตัวเอง
ณ โถงราชวัง ฮ่องเต้นั่งอยู่บนบัลลังก์ั สีหน้าเคร่งขรึม ข้างเท้าของเขายังมีกระดาษหลายแผ่นร่วงอยู่
เหล่าขุนนางต่างก้มหน้ายืนอยู่ด้านล่างโดยไม่พูดอะไร
บรรยากาศหนักอึ้ง
เื่นี้ที่เริ่มลือกันั้แ่ตอนเช้าจนถึงตอนนี้ก็สองชั่วยามแล้ว ข่าวลือด้านนอกก็ยิ่งลือกันไปไกล
สายตาร้อนแรงดั่งไฟของฮ่องเต้กวาดมองใบหน้าของขุนนางใหญ่ แล้วถามเสียงเข้ม “เื่ที่องค์ชายสามก่อฏ ทุกท่านมีความคิดว่าอย่างไร?”
ไม่มีใครพูดอะไร อย่างไรเื่การร่วมมือกับศัตรูและทรยศแคว้นนั้นไม่อาจนำมาพูดได้ตามใจชอบ
สีหน้าของฮ่องเต้ก็คล้ำขึ้นมาอีกหลายส่วน จนกระทั่งเอ่ยเรียกชื่อ “ใต้เท้าสกุลซูคิดว่าอย่างไร?”
ซูโม่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ก้าวมาด้านหน้าหนึ่งก้าว “กระหม่อมคิดว่า เื่นี้จะต้องมีเหตุ ฮ่องเต้สามารถส่งคนไปตรวจสอบให้ชัดเจนแล้วค่อยตัดสินพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม” ฮ่องเต้โบกมือ ใบหน้ามีความรำคาญใจ
“เช่นนั้นผู้ตรวจการล่ะ คิดว่าอย่างไร?”
เฉินลู่ผู้ตรวจการที่ถูกเรียกก็ก้าวมาหนึ่งก้าวก่อนจะเอ่ย “จากความเห็นของกระหม่อม ต้องมีคนอยากใส่ร้ายองค์ชายสาม ตอนนั้นองค์ชายสามประจำการอยู่ที่สนามรบ เขาพลาดพลั้งระหว่างที่ต่อสู้กับตงฉือจนสองตามืดบอดและนั่งรถเข็นมาหลายสิบปี เช่นนั้นจะไปร่วมมือกับตงฉือได้อย่างไร เื่การจงใจแพ้นั้น ต้องขอให้ฝ่าาตรวจสอบคนที่ปล่อยข่าวลือนี้ให้ชัดเจนพ่ะย่ะค่ะ”
ต่อมาก็มีขุนนางหลายคนทยอยกันเข้ามารายงาน ส่วนมากต่างช่วยจี๋โม่หานและขอให้ฮ่องเต้ตรวจสอบให้ชัดเจน
สีหน้าของฮ่องเต้ก็ยิ่งเข้มมากขึ้นเรื่อยๆ เขานั่งนิ่งอยู่บนบัลลังก์ ไม่ปริปากใดๆ
ส่วนองค์ชายห้าที่ยืนอยู่ด้านล่างก็หน้าทะมึนเช่นกัน แววตาฉายความไม่พอใจออกมาวูบหนึ่งก่อนจะหายไป
“เสด็จพ่อ” องค์ชายห้าก้าวขึ้นไปหนึ่งก้าว “ตอนนี้ถึงแม้สถานการณ์จะยังไม่ชัดเจน แต่ว่า หากไม่มีลมก็ไม่มีทางมีคลื่น อีกทั้งเื่นี้ก็เื่ใหญ่ ขอเสด็จพ่อตรวจสอบให้ชัดเจน”
ก่อนหน้านี้องค์ชายห้าได้ตรวจสอบอย่างชัดเจนแล้ว ในจวนองค์ชายสามมีฐานทัพใต้ดิน ดังนั้นขอแค่ฮ่องเต้ส่งทหารไปตรวจสอบ จะต้องเจอเบาะแสแน่นอน
เื่ในครั้งนี้เขาวางแผนอยู่หลายวัน เขาทำไปเพื่อแก้แค้นที่จี๋โม่หานยื่นมือเข้ามาแทรกตอนเขาจะฆ่าซูิเยว่
“เอาล่ะ” ฮ่องเต้โบกมือ “รีบไปแจ้งทหารอวี้หลินให้ตามเจิ้นไปตรวจสอบจวนขององค์ชายสาม”
ขณะเดียวกัน ในจวนขององค์ชายสาม
จี๋โม่หานนั่งอยู่ในศาลา สีหน้าเ็า พวกหลิงชวนต่างก็คุ้มกันอยู่ด้านข้าง
โต๊ะหน้าจี๋โม่หานมีกระดาษที่เต็มไปด้วยตัวอักษรวางเกลื่อนกลาด
“องค์ชายสาม ตอนนี้จะทำเช่นไรดีพ่ะย่ะค่ะ?”
หลิงชวนเอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ตอนนี้ด้านนอกต่างกระจายข่าวกันเต็มไปหมด เื่นี้หากไม่หยุดมัน เกรงว่าจะรุนแรงขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”
พวกจื๋อหลันต่างมีสีหน้าตึงเครียด แม้แต่จิ่งฉือที่ปกติจะร่าเริงก็ทำหน้าเครียดไปด้วย
จี๋โม่หานไม่ได้พูดอะไร ปลายนิ้วเคาะลงไปที่โต๊ะเรื่อยๆ
“ท่านอ๋อง ให้ข้าไปตรวจสอบคนที่อยู่เื้ัข่าวลือหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” จื๋อหลันกล่าว
ในที่สุดจี๋โม่หานก็เอ่ยปากออกมา น้ำเสียงเ็าถึงขีดสุด “ไม่ต้อง เปิ่นหวังรู้ว่าจะเป็อย่างไร เพียงแต่เื่นี้คนคนนั้นจะต้องลงมืออย่างรอบคอบแน่นอน หาหลักฐานอะไรไม่เจอหรอก”