ลู่เป๋าเหยากัดฟันเอ่ย “ลูกสะใภ้ทำทั้งหมดนี้เพราะหวังดีกับจวนแม่ทัพนะเ้าคะ!”
ถ้อยคำนี้ทำให้ไป๋เหล่าฮูหยินแทบจะกัดลิ้น “หวังดีกับจวนแม่ทัพหรือ? ช่างน่าขายหน้าเสียจริง นึกไม่ถึงว่าเ้าจะยังมีหน้าเอ่ยถ้อยคำเช่นนี้ออกมา!”
“ทั้งหมดนี้ต้องโทษไป๋เซี่ยเหอเ้าค่ะ!” ลู่เป๋าเหยาถลึงตาใส่ไป๋เซี่ยเหอด้วยความเกลียดชัง “หากไม่ใช่เพราะนางไม่ได้อยู่ในห้องนั้น คงจะไม่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นหรอกเ้าค่ะ!”
การอ้างเหตุผลเช่นนี้ช่างฟังดูแปลกประหลาดเสียจริง!
แท้จริงแล้วไป๋เซี่ยเหอสมควรที่จะถูกคิดร้ายอย่างนั้นหรือ?
“โง่เง่านัก!” ไป๋เหล่าฮูหยินที่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของบุตรีผู้มีการศึกษาจากตระกูลใหญ่มาชั่วชีวิต ยังอดไม่ได้ที่จะสบถออกมา
“ท่านแม่ ท่านลองคิดดูสิเ้าคะ ไป๋เซี่ยเหอไม่ได้สนิทชิดเชื้อกับจวนแม่ทัพของเรา แม้ว่าจะตบแต่งเข้าจวนไท่จื่อแล้ว ก็เป็เพียงการสาดน้ำออกเท่านั้น แต่หนิงเอ๋อร์นั้นไม่เหมือนกัน หากนางกลายเป็บุตรสาวของภรรยาเอก กลายเป็ไท่จื่อเฟยและตบแต่งเข้าจวนไท่จื่อ เมื่อถึงเวลานั้นเราก็จะมีหนิงเอ๋อร์ที่ใจผูกพันกับจวนของเรา เมื่อมีนางคอยเป่าลมอยู่ข้างหมอน จิตใจของไท่จื่อจะไม่เอนเอียงมาหาเราได้หรือเ้าคะ?”
คำพูดของลู่เป๋าเหยานับว่ามีเหตุผล ไป๋เซี่ยเหอมีเพียงมารดาที่สลบไสลเท่านั้น ทั้งยังไม่มีความรู้สึกผูกพันกับจวนแม่ทัพ ไม่เหมือนหนิงเอ๋อร์ที่มีบิดามารดาเลี้ยงดูมาั้แ่เล็ก ทั้งยังเอาใจใส่ย่าคนนี้อย่างยิ่ง ส่วนมารดาก็ยังเป็นายหญิงของจวนอีก...
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ตราชั่งภายในใจก็เอนเอียงเสียแล้ว!
จิตใจมนุษย์นั้นตื้นเขิน ไป๋เซี่ยเหอมองออกตั้งนานแล้ว ทว่านางยังคงคลี่ยิ้มออกมา “อี๋เหนียงรอง ท่านไม่คิดหรือว่าหากเกิดเื่อื้อฉาวกับบุตรีของจวนสกุลไป๋ ก็ย่อมส่งผลกระทบต่อผู้อื่นด้วย?”
“หากวันนี้ข้าอยู่ในห้องนั้นจริงๆ วันหน้าสตรีคนใดก็ตามในจวนแห่งนี้ล้วนไม่อาจตบแต่งออกไปได้แม้แต่คนเดียว!”
ไป๋เหล่าฮูหยินใจนตัวสั่น ไป๋เซี่ยเหอพูดได้ถูกต้อง หากวันนี้ผู้ที่เกิดเื่เป็ไป๋เซี่ยเหอจริงๆ ผลที่ตามมาคงเลวร้ายจนไม่อาจคาดคิด!
“แต่ว่ามีเพียงหนิงเอ๋อร์ที่เอาใจใส่พวกเรานะเ้าคะ ท่านแม่ หัวใจของเราสามคนต่างหากที่รวมเป็หนึ่งเดียว มีเพียงหนิงเอ๋อร์ได้รับความมั่งคั่งรุ่งโรจน์เท่านั้น จวนของเราถึงจะสามารถเจริญรุ่งเรืองได้นะเ้าคะ!”
ไป๋เหล่าฮูหยินมีสีหน้าลำบากใจ ความคิดเริ่มสั่นคลอนอีกครั้ง!
“เช่นนั้นเ้าพูดมาสิว่าต้องทำอย่างไร!” ไป๋เหล่าฮูหยินกัดฟันถามลู่เป๋าเหยา
“สังหารไป๋เซี่ยเหอเสีย แล้วให้หนิงเอ๋อร์เป็ไท่จื่อเฟยเ้าค่ะ!”
นี่คือทางเลือกเดียวเท่านั้น!
ไป๋เซี่ยเหอต้องตาย!
เพราะนางเติบโตขึ้น จึงเริ่มที่จะหลุดจากการควบคุม หากนางไม่ตาย หายนะจะตามมาไม่จบไม่สิ้นในภายภาคหน้า!
“ต้องทำขนาดนี้เชียวหรือ?” สำหรับไป๋เหล่าฮูหยินแล้ว ฝ่ามือหรือหลังมือล้วนเป็เนื้อทั้งสิ้น แม้ว่าไป๋เซี่ยเหอจะไม่ได้สนิทชิดเชื้อกับนาง ทว่าจะให้นางสังหารลูกหลานของตนเองกับมือ นางก็ทำไม่ได้เช่นเดียวกัน
สายตาของลู่เป๋าเหยาเต็มไปด้วยความเ็า “ท่านแม่ ความจริงแล้วท่านก็รู้อยู่แก่ใจยิ่งกว่าผู้ใดว่าหนิงเอ๋อร์เหมาะสมที่จะเป็ไท่จื่อเฟยมากกว่า ไม่ใช่หรือเ้าคะ?”
ไป๋เหล่าฮูหยินเคลื่อนสายตาไปทางไป๋หว่านหนิง “หนิงเอ๋อร์ เ้าอยากตบแต่งให้ไท่จื่ออย่างนั้นหรือ?”
หัวใจของไป๋หว่านหนิงแทบจะโบยบิน ทว่ายังต้องสงวนท่าทีเหนียมอายเอาไว้ “เื่ใหญ่อย่างการสมรสต้องอาศัยการตัดสินใจของผู้าุโ ท่านย่าว่าอย่างไร หนิงเอ๋อร์ก็จะทำอย่างนั้นเ้าค่ะ!”
คนหนึ่งเชื่อฟังและเอาใจใส่ ส่วนอีกคนต่อต้านและร้ายกาจ
หลังผ่านไปครึ่งถ้วยชา นางก็ตัดสินใจได้
ไป๋เหล่าฮูหยินถอนหายใจยาว “ช่างเถิด เอาตามที่เ้าว่าก็แล้วกัน”
อย่างไรเสียนางก็ไม่ได้ผูกพันอะไรกับไป๋เซี่ยเหอ ตายแล้วก็ตายไป
ไม่รู้ว่าไป๋เซี่ยเหอไปหาม้านั่งมานั่งอยู่ด้านข้างั้แ่เมื่อใด นางนั่งฟังบทสนทนาของทั้งสามอยู่ตรงนั้นอย่างเชื่อฟัง ราวกับเป็คนนอกก็ไม่ปาน
ไม่มีท่าทีตื่นตระหนักแม้แต่น้อยเมื่อรู้ว่าตนเองถูกบีบอยู่ในกำมือของผู้อื่น
“พวกท่านปรึกษากันเสร็จหรือยัง?” ใบหน้าของไป๋เซี่ยเหอยังคงยิ้มแย้ม นางยิ้มให้กับความไร้เดียงสาของทั้งสาม ์ได้มอบทางออกไว้ให้กลับไม่เลือกเสียนี่!
นางผู้เป็จิ้งจอกน้อยและเป็ทหารรับจ้างที่สง่างาม จะถูกกลั่นแกล้งรังแกได้ง่ายดายปานนั้นเชียวหรือ?
เมื่อเผชิญกับรอยยิ้มอันเจิดจ้า ทั้งสามก็รู้สึกราวกับได้ตกลงไปในทะเลสาบน้ำแข็ง
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง แสงจากดวงอาทิตย์ย้อมท้องฟ้าจนเป็สีแดงครึ่งหนึ่ง ราวกับอบอวลไปด้วยกลิ่นคาวเือย่างไรอย่างนั้น
การเปลี่ยนแปลงกำลังจะเกิดขึ้น!
“เหอเอ๋อร์ ย่าทำเช่นนี้ก็เพื่อสกุลไป๋ หากชีวิตของเ้าคนเดียวสามารถแลกกับความเจริญรุ่งเรืองของสกุลไป๋ได้ เช่นนั้นก็คุ้มค่าแล้ว เมื่อถึงเวลาป้ายิญญาของแม่เ้าก็จะถูกวางไว้ในศาลบรรพชนสกุลไป๋อย่างมีเกียรติเช่นเดียวกัน!” ไป๋เหล่าฮูหยินกล่าวด้วยท่าทีที่องอาจอย่างยิ่ง
ตรรกะอันใดกัน? คนตายแล้วยังมีเกียรติกับผีสิ!
“ตกลง”
ทั้งสามคนชะงักราวกับคิดไม่ถึงว่าไป๋เซี่ยเหอจะตอบรับด้วยท่าทีสบายอกสบายใจปานนี้ ลางสังหรณ์อันเลวร้ายบางอย่างผุดขึ้นในใจของพวกนาง
“หวังว่าพวกท่านจะไม่เสียใจภายหลังแล้วกัน”
“ไม่เลย ไม่เลย!” ลู่เป๋าเหยาเอ่ยทันที “ข้ารู้อยู่แล้วว่าคุณหนูใหญ่เป็เด็กที่รู้ความและมีน้ำใจ เช่นนั้นเรามาปรึกษากันสักหน่อย เ้าจะตายวันไหนดีเล่า?”
ไป๋เซี่ยเหอส่ายศีรษะพลางทอดถอนใจ ก่อนจะมองลู่เป๋าเหยาด้วยสายตาที่เหมือนกับมองคนใกล้ตาย!
นางมองเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน!
ความกระวนกระวายในใจของลู่เป๋าเหยาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
“พระราชดำรัสของฮองเฮามาถึงแล้ว คุณหนูใหญ่สกุลไป๋รับราชโองการ!”
จู่ๆ ก็มีเสียงดังขึ้น ลู่เป๋าเหยาหน้าถอดสีทันที
นางไม่เข้าใจเอาเสียเลยว่าเหตุใดทุกคนถึงได้ดูเหมือนจะต่อต้านนางกันหมด!
ลู่เป๋าเหยาโมโหจนกัดฟัน แต่ใบหน้าของไป๋เซี่ยเหอกลับเปล่งประกายด้วยความมั่นใจและสดใส นางยืนขึ้นอย่างมีชีวิตชีวา ราวกับมีแสงส่องประกายอยู่ด้านหลัง
ไป๋เหล่าฮูหยินมีท่าทีเหม่อลอย นางมองผ่านร่างของไป๋เซี่ยเหอไปราวกับมองเห็นใครอีกคน
“คุณหนูใหญ่สกุลไป๋ ฮองเฮาทรงมีพระราชดำรัสว่า่นี้รู้สึกไม่สบายเล็กน้อย จึง้าให้คุณหนูใหญ่ไปตรวจดูหากมีเวลาว่าง” เมื่ออันกงกง[1]ได้พบไป๋เซี่ยเหอ ก็เปลี่ยนจากท่าทีเคร่งขรึมตามปกติเป็ท่าทีเป็กันเองทันที
“เป็ไปได้อย่างไร!” สีหน้าของลู่เป๋าเหยาย่ำแย่ลง เห็นอยู่ชัดๆ ว่าแผนการของนางใกล้จะสำเร็จแล้ว จะให้คนมาขัดขวางได้อย่างไร!
“ในวังหลวงมีหมอหลวงมากมายปานนั้น จะให้ไป๋เซี่ยเหอไปถวายการรักษาฮองเฮาได้อย่างไร? ไป๋เซี่ยเหอเป็เพียงเศษสวะที่ทำอะไรไม่เป็!”
“เ้าหุบปากเสีย!” ไป๋เหล่าฮูหยินใจนหน้าซีดเผือด นางใช้ไม้เท้าฟาดเข้าที่หลังของลู่เป๋าเหยาอย่างแรง ทำให้อีกฝ่ายเจ็บถึงขั้นพูดอะไรไม่ออก
อันกงกงคือใครกัน?
ย่อมเป็ผู้ที่ได้รับความโปรดปรานจากฮองเฮา เป็ผู้ที่ไป๋เหล่าฮูหยินเองยังต้องมีมารยาทด้วยถึงสามส่วนเมื่อพบเจอ!
หลักการที่ว่าตีสุนัขยังต้องดูเ้าของนั้น ใครจะไม่เข้าใจบ้างเล่า!
“โอ้ คุณหนูใหญ่สกุลไป๋ทำอะไรไม่เป็เลยหรือ? เช่นนั้นก็หมายความว่าคุณหนูรองหลอกลวงเบื้องสูงอย่างนั้นหรือ?”
ทุกคนล้วนทราบว่าในวันที่ไป๋เซี่ยเหอได้ช่วยชีวิตของฮ่องเต้เอาไว้นั้น ไป๋หว่านหนิงเป็ผู้ออกโรงแนะนำเอง
ทว่าตอนนี้กลับมาบอกว่าไป๋เซี่ยเหอเป็เศษสวะ เช่นนั้นไม่ได้หมายความว่าหลอกลวงเบื้องสูงหรือ!
“ทำให้กงกงหัวเราะเยาะเสียแล้ว วันนี้อี๋เหนียงรู้สึกไม่ค่อยสบาย จึงเลอะเลือนไปบ้าง หวังว่ากงกงจะไม่ถือสาเ้าค่ะ”
ไป๋หว่านหนิงเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงเดินเข้ามาด้วยใบหน้าอ่อนโยนมีเมตตา น้ำเสียงของนางฟังราวกับสายลมแ่เบาในวสันตฤดู ทั้งละเอียดอ่อนและละมุนละไม
อันกงกงปรายตามองไป๋หว่านหนิงแวบหนึ่งด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ ก่อนจะหันไปหาไป๋เหล่าฮูหยิน “ท่านอย่าได้ตำหนิที่ข้าพูดมากเช่นนี้เลย ทว่าถึงอย่างไรผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดในจวนสกุลไป๋ที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้ก็ยังคงเป็ท่าน”
เขาเหลือบมองสองแม่ลูกอีกคราด้วยแววตาที่ดูเหมือนมีอะไรบางอย่างแฝงอยู่ “แต่ท่านยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ก็มีคนรีบชิงพูดขึ้นมาก่อนเสียแล้ว หากไม่ได้เห็นกับตา ใครจะเชื่อว่าสกุลไป๋ที่เป็ตระกูลใหญ่ปานนี้ แต่กฎระเบียบกลับ...”
“หย่อนยาน!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ไป๋เหล่าฮูหยินก็โมโหจนตัวสั่น “ต้องโทษที่สังขารของข้าย่ำแย่ ไม่ได้อบรมสั่งสอนคนในจวนมานาน ทำให้กงกงหัวเราะเยาะเสียแล้ว”
นางหยิบถุงผ้าที่ปักอย่างวิจิตรออกมา ด้านในมีอะไรบางอย่างบรรจุอยู่จนเต็ม จากนั้นนางก็ยัดมันเข้าไปในมือของอันกงกงด้วยท่าทีสนิทสนม
“หวังว่ากงกงจะใจกว้างให้อภัย!”
ในที่สุดไป๋หว่านหนิงก็รักษาใบหน้าพระโพธิสัตว์นั้นไว้ไม่อยู่แล้ว นางคิดว่าอันกงกงจะไว้หน้านางที่เป็ถึงเสี้ยนจู่สักหลายส่วน เพราะเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม นางย่อมสามารถปีนป่ายไปได้สูงกว่านี้
ใครจะรู้ว่าการตบหน้าฉาดนี้จะทำให้นางเจ็บแสบนัก!
ทั้งหมดล้วนต้องโทษไป๋เซี่ยเหอที่เป็ดาวพิฆาตผู้นั้น!
อันกงกงพินิจพิจารณาถุงผ้าในมือเล็กน้อย จากนั้นก็เก็บมันเข้าไปในแขนเสื้อ แล้วหัวเราะอย่างมีความหมายลึกซึ้ง เมื่อเขาหันไปมองไป๋เซี่ยเหอ ใบหน้าก็แต่งแต้มไปด้วยความรักและเมตตา “คุณหนูใหญ่สกุลไป๋ ท่านจะว่าอย่างไร?”
------------------------
[1] กงกง หมายถึง สรรพนามเรียกขันที
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้