หลิงหลงและชุ่ยเชี่ยวทั้งสองคนรออยู่ที่หน้าประตูอย่างเงียบๆ ครู่หนึ่ง ก็ได้ยินเสียงเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเปิดประตูออกมา ทั้งสามรวมตัวกัน ได้ยินเพียงเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเอ่ยกำชับ “่นี้ท่านแม่ข้าอารมณ์ไม่ดี อย่าให้ถูกนางพบเข้าเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นชีวิตน้อยๆ ของพวกเ้าสองคน...” หลิงหลงและชุ่ยเชี่ยวได้ยินก็เข้าใจว่าเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วกำลังพูดจาไร้สาระ ดังนั้นพวกนางจึงพากันเบะปากโดยไม่ส่งเสียงใดๆ
เมื่อเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเห็นว่าคำพูดของตนไม่ทำให้เกิดปฏิกิริยาอะไรเลย จึงได้แต่เกาหัว แล้วเอ่ยประโยคต่อไปโดยไม่สนใจรอบข้าง “ก็คงจะต้องอยู่รับใช้อยู่ข้างกายข้าและเยวี่ยเยียนหรานให้ดีๆ ตลอดชีวิตก็อย่าได้คิดจะหนีไปไหนเลย ฮึ” หลิงหลงกับชุ่ยเชี่ยวพลันเอ่ยเร่งรัด “พอได้แล้วคุณชาย พวกเรารีบไปกันเถอะเ้าค่ะ!”
เมื่อพูดจบ หลิงหลงและชุ่ยเชี่ยวแต่ละคนพากันลากเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วให้รีบเดินไปข้างหน้ากันคนละข้าง เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วส่งเสียงฮึดฮัดแล้วเอ่ยขึ้น “ข้าก็แค่อยากทำให้บรรยากาศมีชีวิตชีวาขึ้นสักหน่อยเอง! พวกเ้าช่างไม่มีอารมณ์ขันเอาเสียเลย... นี่ๆ ช้าหน่อยสิช้าหน่อย! ข้าเป็คนป่วยอยู่นะ...”
แม้เงาร่างของทั้งสามคนจะหายลับไปอย่างรวดเร็ว แต่เสียงร้องอันน่าเวทนาของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วกลับยังคงดังก้องอยู่ในระเบียงทางเดินไม่หายไป แปลกประหลาดนัก คนที่บอกว่าต้องเงียบสงบห้ามส่งเสียงผู้นั้น ยามนี้กำลังเอะอะโวยวายที่สุดเลยไม่ใช่หรือ?
เยวี่ยเจาหรานที่อยู่ในศาลบรรพชนนั้น ไม่นานนักเขาก็ปรับตัวเข้ากับรสชาติของเศษผ้าที่อยู่ในปาก และความรู้สึกแปลกปลอมที่มีอะไรอุดอยู่ในลำคอเช่นนี้ ถึงอย่างไรครั้งนี้นั้นหมดหวังโดยสมบูรณ์ คาดว่าพวกพี่ชายสองคนนั้นคงไม่มีทางแก้มัดให้ตนแน่ ดังนั้นเยวี่ยเจาหรานจึงได้แต่ยอมชะตากรรมอย่างสงบ แล้วคุกเข่าอยู่บนเบาะสานโดยไม่ส่งเสียงใดๆ เงียบนิ่งอยู่อย่างนั้น
ในศาลบรรพชนอันเงียบสงบนอกจากเสียงของพี่ชายทั้งสองที่หาวกันคนละทีแล้ว ก็ไม่มีเสียงความเคลื่อนไหวอื่นใดอีก ทันใดนั้น ประตูของศาลบรรพชนกลับเปิดออก เสียงดังเอี๊ยดอ๊าดทำให้หนึ่งในพี่ชายที่กำลังง่วงงุนตื่นใจนลุกจากเก้าอี้ทันที
เดิมทีเยวี่ยเจาหรานนั้นไม่มีกะจิดกะใจจะสนว่าผู้มาเยือนนั้นคือผู้ใด เพราะไม่ว่าคนที่มาจะเป็ใคร ไม่มีทางที่จะมาปลดปล่อยตนไปแน่ ก็บอกว่าเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วป่วยไข้อาการหนักจนลุกจากเตียงไม่ได้เลยไม่ใช่หรือ? สามชั่วยามเองก็ไม่ได้เร็วขนาดนั้น คนที่มาคราวนี้ก็คงไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับตนแน่
ทว่า ในตอนที่คนผู้นั้นเอ่ยปากพูดขึ้น ดวงตาของเยวี่ยเจาหรานก็ได้เบิกกว้างขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว...
“พวกเ้า ออกไปสักครู่”
นั่นคือน้ำเสียงของสตรีที่เขาคุ้นเคยเป็พิเศษ เยวี่ยเจาหรานหลับตาลง ในที่สุดถึงได้เข้าใจว่าอะไรที่เรียกว่าความสิ้นหวัง ความสิ้นหวังก็คือท่ามกลางความหมดหวังที่ไร้กำลังจะพลิกสถานการณ์อยู่แล้วนั้น ก็ยังจะไร้ซึ่งความหวังเข้าไปอีกน่ะสิ! น้ำเสียงนี้การเคลื่อนไหวนี้ คาดว่าเยวี่ยเจาหรานคงไม่มีทางลืมเลือนไปได้ชั่วชีวิต...
เพราะผู้ที่มาเยือนนั้นก็คือคนที่คุ้นเคยกับเยวี่ยเจาหรานเป็อย่างยิ่ง คุณหนูสวี่ชิวเยวี่ย
หากว่าเป็ใครคนอื่นมาละก็ แม้เยวี่ยเจาหรานจะออกไปไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็คงไม่ต้องซวยซ้ำซวยซ้อนยิ่งขึ้น แต่หากคนที่มาคือสวี่ชิวเยวี่ย เช่นนั้นก็คงร้ายแรงแล้วล่ะ หากเป็เช่นนี้เยวี่ยเจาหรานไม่เพียงจะออกไปไม่ได้ แต่ยังเป็ไปได้มากว่าจะต้องทิ้งชีวิตเอาไว้ที่นี่ สิ้นบุญไปด้วยกันกับบรรพชนของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว
แม้ว่าฮูหยินเยี่ยนจะไม่ได้รื่นหูรื่นตากับเยวี่ยเจาหรานนัก แต่อย่างไรก็ะเิออกมาไม่บ่อย โดยเฉพาะตอนที่นางเล่นไพ่นกกระจอกแล้วเสียเงินมากเป็พิเศษความไม่เจริญตาถึงจะพลุ่งพล่านขึ้นมาใหญ่โต หากแต่สวี่ชิวเยวี่ยผู้นี้ต่างออกไป นั่นคือขอบเขตการปะทุของนางมีอยู่ตลอดเวลา อ้อไม่สิ นางปะทุอยู่ตลอดเวลาต่างหาก และไม่ได้มีขอบเขตอะไรมาจำกัดเลยด้วย...
เมื่อศัตรูมาพบกันย่อมต้องตาลุกแดงกันเป็พิเศษ ไม่เช่นนั้นเ้าว่าจะเผชิญกันตาต่อตาฟันต่อฟันมาได้นานขนาดนี้หรือ? เยวี่ยเจาหรานยังคงไม่หันมา นั่นเป็เพราะเยวี่ยเจาหรานรู้ว่าถึงตนจะหันหรือไม่หันไปก็ล้วนหมดหวังทั้งนั้น ยามนี้เวลานี้ เขาทำได้เพียงคาดหวังให้พวกพี่ชายที่รับหน้าที่เฝ้าดูตนทั้งสองคนนี้มีความเป็มืออาชีพสูง ไม่ละทิ้งงานของตนก็พอแล้ว
ขอแค่อย่าให้เยวี่ยเจาหรานที่ถูกมัดเอาไว้เผชิญหน้ากับยัยบ้าที่กำลังจะแผ่รังสีอำมหิตออกมาตามลำพังนั่นก็เป็โชคดียิ่งในเคราะห์ร้ายแล้วล่ะ... เยวี่ยเจาหรานภาวนาอยู่ในใจ หวังว่าพี่ชายทั้งสองที่เฝ้าจับตาดูตนอยู่นั้นจะยึดมั่นในบรรทัดฐานของจริยธรรมสัมมาชีพ
“เปี่ยวเสียวเจี่ย... ฮูหยินให้พวกเราเฝ้าดูนางอยู่ที่นี่ หากไม่มีคำสั่งของฮูหยิน พวกเราไม่ควรออกไปโดยไม่ได้รับอนุญาตขอรับ...” โชคดีที่พี่ชายทั้งสองคนนี้มีจริยธรรมสัมมาชีพอยู่บ้างจริงๆ เมื่อได้ยินการปฏิเสธแบบอ้อมๆ ของพวกเขา เยวี่ยเจาหรานก็อยากจะคายเศษผ้าในปากทิ้งไปแล้วช่วยพูดสมทบไล่สวี่ชิวเยวี่ยผู้น่ารังเกียจนี้ออกไปเสียจริงเชียว
“ไม่จำเป็ต้องเอ่ยมากความ แค่นี้พอไหม?”
น้ำเสียงของสวี่ชิวเยวี่ยมั่นใจเกินไปแล้ว! นี่นางนึกว่าทุกคนเป็พวกบูชาเงินทองที่สาบกลิ่นเงินหึ่งเหมือนตัวเองกันหมดหรือ เยวี่ยเจาหรานบ่นอยู่ในใจ น่าเสียดายที่ยังบ่นไม่ทันจบ ก็ได้ยินเสียงฟันกัดเงินของใครสักคนในพี่ชายสองคนนั้นเสียแล้ว...
เยวี่ยเจาหรานยามนี้หลับตาลงโดยสมบูรณ์ รู้สึกว่าชะตากรรมที่กำลังจะมาถึงของตนอาจจะเป็การตามเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่ป่วยเกินเยียวยาไปพบเ้าแห่งนรกด้วยกันหลังจากที่นอนรับความอดสูแล้ว
เสียงเอี๊ยดอ๊าดของประตูไม้ของศาลบรรพชนดังขึ้นอีกครั้ง เยวี่ยเจาหรานรู้ได้ว่า ยามนี้ในพื้นที่หนึ่งหมู่สามเฟิน [1] ก็เหลือเพียงตนและสวี่ชิงเยวี่ยสองคน
“เยวี่ยเยียนหราน ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” รอจนกระทั่งคนอื่นๆ ออกไปจากศาลบรรพชนหมดแล้ว สวี่ชิวเยวี่ยจึงเท้ามือสองข้างขึ้นแล้วเดินนวยนาดมาตรงหน้าเยวี่ยเจาหราน นางยกมือเชยคางของเยวี่ยเจาหรานขึ้นมา แล้วมองเยวี่ยเจาหรานที่ถูกอุดปากมัดมือมัดเท้าจาก้า
ลำคอที่ถูกบังคับจับชูขึ้นมาเช่นนั้นช่างเจ็บจริงๆ เยวี่ยเจาหรานคิดอย่างไม่เข้ากับสถานการณ์ ยิ่งกว่านั้นเขายังจินตนาการว่าอีกเดี๋ยวสวี่ชิวเยวี่ยคงจะดึงเศษผ้าที่อยู่ในปากของตนออกไปเพราะไม่ชอบทะเลาะกับคนที่ไม่สามารถออกปากเชือดเฉือนกันได้...
และก็เป็ไปตามคาด เมื่อเห็นสภาพน่าสลดใจของเยวี่ยเจาหรานเช่นนี้ สวี่ชิวเยวี่ยก็แสดงความเมตตาอันยิ่งใหญ่ช่วยเยวี่ยเจาหรานเอาของที่อยู่ในปากออก พร้อมเบะปากอย่างรังเกียจ “สกปรกขนาดนี้เ้ายังกล้าเอาเข้าปากอีกหรือ? ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าเปี่ยวเกอชอบเ้าตรงไหนกันแน่...”
เยวี่ยเจาหรานที่ในที่สุดก็กลับคืนสู่อิสรภาพในการพูดนั้นดีใจอย่างคาดไม่ถึง เขาแทบอยากจะจับมือคืนดีกับสวี่ชิวเยวี่ยที่ช่วยชีวิตตนส่วนหนึ่งเอาไว้เสียเดี๋ยวนี้เลย หลังจากผ่อนลมหายใจยาว จึงได้ยินเยวี่ยเจาหรานเอ่ยตำหนิอย่างช้าๆ “เ้าคิดว่าข้าเองอยากจะยัดมันหรือไรเจ๊ นี่เป็เพราะท่านป้าของเ้าใช้คนยัดมันเข้ามาให้ข้าต่างหากล่ะ เข้าใจหรือไม่?” เยวี่ยเจาหรานได้คืบจะเอาศอก ครู่หนึ่งเขาก็พูดขึ้นอีกครั้ง “หากเ้าอยากจะทะเลาะด้วยข้าก็ตามใจเ้า แต่เ้าต้องคลายเชือกให้ข้าก่อน...”
“เยวี่ยเยียนหราน เ้าเห็นข้าเป็คนโง่หรืออย่างไร? ท่าทีของเ้าเช่นนี้ หากข้าปล่อยเ้า ข้าจะเอาชนะเ้าได้หรือ?” สวี่ชิวเยวี่ยเลิกคิ้ว แล้วตอบกลับด้วยท่าทีเหมือนจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม “เ้าอย่าปากมากอีกจะดีกว่า หากเ้ายังพูดอีก ข้าจะเอาเศษผ้านี้ยัดเข้าไปให้เ้าอีกรอบ!”
“ก็ได้ๆ ข้าไม่พูดแล้วๆ ไม่ยัดมาก็พอแล้ว สกปรกยิ่งนัก มือของเ้าเองก็คงจะเปื้อนขี้เถ้าด้วยนะรู้หรือไม่!” เยวี่ยเจาหรานกลั้นยิ้ม พลันรู้สึกว่าแม่นางตรงหน้าผู้นี้แม้จะมีประสบการณ์ศึกในจวนมาโชกโชน ทว่าขาดแคลนเชาวน์ปัญญาไปหน่อยจริงๆ
ไปๆ มาๆ ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ลวดลายฝีปากของเยวี่ยเจาหรานและสวี่ชิวเยวี่ยได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างฉับพลัน และเริ่มจับอาวุธกันขึ้นมา แม้ว่าเยวี่ยเจาหรานจะคิดถึงความสุขสันต์ปรองดองของทั้งสองเมื่อครู่อยู่เหมือนกัน แต่ด้วยความที่ไม่อยากยอมรับความพ่ายแพ้จึงทำให้เขายิงปืนใหญ่ใส่สวี่ชิวเยวี่ยอย่างไร้ความปรานี!
เชิงอรรถ
[1] หนึ่งหมู่สามเฟิน (一亩三分) เป็มาตราวัดพื้นที่แบบจีน 1 หมู่ (亩) = 60 เฟิน (分) โดย 1 เฟินมีพื้นที่ประมาณ 20 ตารางเมตร
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้