ยากที่เขาจะฟังออก จุดนี้ทำให้หลิงเซียวแปลกใจทีเดียว
แต่หลิงเซียวไม่ได้ตอบเขาตรงๆ เพียงแต่บอกอย่างมีนัยแฝง “เ้ารู้หรือไม่ทำไมนักหลอมโอสถชั้นเหนือสุดถึงใช้สีรุ้งมาอธิบาย?”
โหยวเสี่ยวโม่วิเคราะห์ครู่หนึ่ง “หรือว่านักหลอมโอสถเกิดจากการรวมกันของเจ็ดสี?”
แต่ก็ไม่น่าใช่ เมื่อครู่สีที่แสดงออกมาจากหินทดสอบ มันไม่ใช่เจ็ดสี แม้สีจะแปลกอยู่สักหน่อย เขาก็บรรยายไม่ถูก แต่ไม่น่าใช่เจ็ดสี เขาไม่ได้ตาบอดสี ไม่มีทางดูไม่ออก
“เ้าตอบถูกเพียงครึ่งเดียว” หลิงเซียวลูบหินทดสอบแล้วหัวเราะ
“ท่านหมายความว่ายังไง?” โหยวเสี่ยวโม่ถามอย่างฉงน
“นักหลอมโอสถมีปราณิญญาสีรุ้งจริง แต่ปราณิญญาสีรุ้งก็มีแบ่งระดับ คนในแผ่นดินหลงเสียงรู้แค่ว่านักหลอมโอสถชั้นเหนือสุดมีสีรุ้งเจ็ดสี แต่ไม่ได้รู้ว่าสีรุ้งเจ็ดสีก็มีแบ่งสูงต่ำ แต่ระดับของโลกแผ่นดินหลงเสียงนั้นค่อนข้างต่ำ พวกเขาไม่รู้ก็ไม่แปลก” หลิงเซียวอธิบาย
โหยวเสี่ยวโม่มึนงงทันใด ช่างล้ำลึกซับซ้อน เขาไม่สามารถเข้าใจได้
หลิงเซียวเห็นลายวงกลมขดมึนงงในตาโหยวเสี่ยวโม่ ลูบหัวเขา เอ่ยอย่างเอ็นดู “ไม่เข้าใจไม่เป็ไร ตอนนี้เ้ายังไม่ได้ข้องแวะกับจักรวาลที่เหนือกว่านั้น แต่อีกหน่อยคงมีโอกาส”
โหยวเสี่ยวโม่มองรอยยิ้มบนหน้าเขา เขารู้สึกว่าหลิงเซียวในตอนนี้ไม่ค่อยเหมือนปกติ จู่ๆ ก็รู้สึกเอะใจ พลันคาดเดาแล้วเอ่ย “ศิษย์พี่หลิง จักรวาลที่เหนือกว่าที่ท่านพูด ใช่จุดที่ท่านเคยอยู่มาก่อนรึเปล่า?”
ั้แ่เริ่มรู้ถึงพลังของหลิงเซียว เขารู้สึกว่าหลิงเซียวไม่น่าใช่คนในแผ่นดินหลงเสียง เพราะพลังของเขาสูงส่ง บางทีก็มีความรู้เกี่ยวกับนักฝึกตนกับนักหลอมโอสถอย่างเหนือชั้น ล้วนเป็สิ่งที่เขาไม่เจอในตำรา ดังนั้นเมื่อได้ยินเขาพูด เขารู้สึกว่ามีความเป็ไปได้มากว่า ‘จักรวาลที่เหนือกว่า’ ก็คือตรงที่เขาเคยอยู่มาก่อน
หลิงเซียวขบปากล่าง ฟังออกถึงความเป็ห่วงและระมัดระวังในน้ำเสียง เผยรอยยิ้มออกมา “แน่นอน ไม่งั้นเ้าคิดว่าแผ่นดินหลงเสียงที่คับแคบแบบนี้จะสามารถให้กำเนิดคนที่เก่งกาจเช่นข้าได้หรือ?”
หลงตัวเอง นี่มันหลงตัวเองชัดๆ!
โหยวเสี่ยวโม่ทนไม่ไหวกลอกตาบน บรรยากาศดีๆ ถูกเขาทำลายหมด
“ศิษย์พี่หลิง ในเมื่อเป็เช่นนี้ ทำไมท่านต้องเดินทางจากที่นั่นมายังแผ่นดินหลงเสียงที่คับแคบนี้ล่ะ?” จู่ๆ โหยวเสี่ยวโม่ก็กะพริบตาปริบๆ มองเขาอย่างจับผิด ท่าทีเหมือนจิ้งจอกน้อยเ้าเล่ห์
เมื่อโดนจู่โจมรอยยิ้มของหลิงเซียวก็ยิ่งลึกขึ้น มองใบหน้ายิ้มของเขา ทันใดก็รู้สึกว่าคันไม้คันมือ ยื่นมือไปดีดหน้าผากเขาทีหนึ่ง โหยวเสี่ยวโม่รู้ตัวก่อนแล้วจึงรีบยกมือกุมหน้าผากตัวเองก่อน
เมื่อรับการโจมตีได้ โหยวเสี่ยวโม่แลบลิ้นแบร่ ดีดไม่โดน ดีดไม่โดน
หลิงเซียวหัวเราะ จึงดึงเข้ามาในอ้อมกอด จากนั้นก็ขยี้หัวเขาสุดแรง แผนแค่นี้ อย่าคิดว่ารับการโจมตีได้แล้วข้าจะจัดการเ้าไม่ได้ เ้ายังอ่อนหัดนัก
โหยวเสี่ยวโม่มองเขาตาโต บวกกับหัวรังนก ทั้งน่ารักและตลก
หลิงเซียวที่ไม่ได้รู้สึกผิดแต่อย่างใดแก้เชือกมัดผมออก จากนั้นจัดผมเขาใหม่ สิบนิ้วสางเข้าไปในผม ความรู้สึกนี้ช่างสบาย หลิงเซียวพลันโล่งอก แล้วกลับเข้าสู่หัวข้อเมื่อครู่
“ข้าน่ะ แน่นอนว่ามีธุระถึงมาที่นี่” หลิงเซียวเอ่ย
“ธุระอะไร?” โหยวเสี่ยวโม่ถาม ถามจบพึ่งรู้สึกได้ว่ามันละลาบละล้วงไป
ั้แ่หลิงเซียวมาแทนที่หลินเซียวและเป็ศิษย์เอกของสำนักเทียนซิน ในใจโหยวเสี่ยวโม่ก็มีคำถามหนึ่งซ่อนอยู่ในใจมาตลอด โดยเฉพาะตอนหลังที่เห็นฝีมือของหลิงเซียวที่ร้ายกาจ เขายิ่งสงสัยว่าสำนักเทียนซินมีอะไรน่าดึงดูด ในที่สุดวันนี้ก็ถามออกมาจนได้
แต่ว่า...
เขาไม่ได้ตั้งใจจะถามจริงๆ ใครใช้ให้คำพูดหลิงเซียวมันทำให้เขาถามออกมาอัตโนมัติ คนทั่วไปเมื่อได้ยินเื่แบบนี้ ก็ต้องถาม ‘ธุระอะไร’ ดังนั้นจะโทษเขาก็ไม่ได้
พูดจบ โหยวเสี่ยวโม่ก็ก้มหน้า ไม่กล้ามองหน้าหลิงเซียว
หลิงเซียวไม่ได้สังเกตเห็นท่าทีรู้สึกผิดของเขา เงยหน้าขึ้น สายตาล้ำลึกกว่าทุกที พักใหญ่ถึงส่งเสียงทุ้มลึกออกมา “ข้าตามหาใครคนหนึ่งอยู่”
ฟังจบ โหยวเสี่ยวโม่อดไม่ไหวเงยหน้ามองเขา พอดีกับจังหวะที่เห็นสายตาเหี้ยมโหดที่ไม่ทันลบออกไป ราวกับว่าใครคนนี้มีความแค้นฆ่าพ่อ ครู่เดียวเขาก็อดใจไม่อยู่ แล้วถามขึ้นว่า “มีความแค้นฆ่าพ่อ?”
น้ำเสียงมีความตื่นเต้นปนอยู่ สมองปะติดปะต่อภาพเื่ราวอนาถเป็ฉากเป็ตอน
เขาคิดว่า ที่หลิงเซียวอุตส่าห์ถ่อมาถึงแผ่นดินหลงเสียง มีเป็ความเป็ไปได้สูงว่ามาตามหาคนที่ฆ่าพ่อ แต่ใครคนนั้นก็มีพลังสูสีกับเขา หลิงเซียวไม่สามารถตามหาเขาได้ง่ายๆ ดังนั้นจึงต้องอยู่ต่อที่แผ่นดินหลงเสียง รอวันที่ตามหาตัวคนที่ฆ่าพ่อเขาเจอ แล้วแก้แค้น จากนั้นก็ไปจากที่นี่……
ปรากฏว่าคำพูดนี้พึ่งจบ ‘ตุ้บ’ เข้าที่กะโหลก ในที่สุดวันนี้โหยวเสี่ยวโม่ก็ทำลายสถิติ ถูกหลิงเซียวเคาะกะโหลกไปสี่ครั้ง
กระนั้น คนดวงซวยคนนั้นก็ได้แต่ซบอกหลิงเซียว น้ำตาเกือบเล็ด เคาะมาแต่ละทีทำไมแรงเยอะขนาดนี้นะ กะโหลกเขาไม่ได้ทำมาจากเหล็กกล้านะ เบาหน่อยไม่ได้รึไง?
คนต้นเื่ช่วยนวดหัวจุดที่ตัวเองมะเหงกไป เอ่ยเสียงนุ่มนวล “คิดบ้าอะไรกัน หาเื่โดนดีเอง!” อะไรคือความแค้นฆ่าพ่อ? สมองขี้เลื่อยนี่มันยังไงกันนะ?
โหยวเสี่ยวโม่พลางเช็ดน้ำตา แล้วด่าในใจ เ้าบ้าเอ๊ย!
กลับสู่หัวข้อหลัก โหยวเสี่ยวโม่เอ่ยถามต่ออย่างมุมานะ “ในเมื่อไม่ใช่ แล้วคนที่ท่านตามหาเขาเป็ใครกันแน่ เขาเกี่ยวอะไรกับเื่ที่ท่านต้องเข้าร่วมสำนักเทียนซิน?”
“เกี่ยวแน่นอน” หลิงเซียวผงกหัวรับ แต่ไม่ได้เผยอะไร
“งั้นเกี่ยวยังไง?” โหยวเสี่ยวโม่ถามต่อ
“ก็เพราะ...สำนักเทียนซินคนเยอะไง” หลิงเซียวเอ่ยยิ้มกริ่ม
“...” โหยวเสี่ยวโม่หน้ามืด
นี่มันคำตอบอะไรกัน? คนเยอะแล้วจะเจอคนที่ตามหาอยู่ แล้วทำไมไม่ไปที่เมืองชิงหรือเมืองฮุยจี๋เลยล่ะ ที่นั่นคนเยอะกว่าอีกไม่ใช่หรือ? คำถามว่าทำไมเป็ล้านอย่างวิ่งเข้าสู่สมองโหยวเสี่ยวโม่ จากนั้นก็มีคำว่าโธ่เอ๊ยตามมาอีกล้านหน
ความอยากรู้อยากเห็นประดังประเดเข้ามาไม่หยุด
โหยวเสี่ยวโม่คิดในใจ ไหนๆ ก็เปิดประเด็นแล้ว ต้องถามให้ถึงที่สุด ไม่เช่นนั้นคงอึดอัดตายเพราะความสงสัย
จากนั้นเขาก็ถามอย่างเร่งรีบ “ท่าน้าตามหาใครกันแน่? เกี่ยวข้องยังไงกับสำนักเทียนซิน?”
หลิงเซียวชำเลืองมองเขาอย่างกลั้วขำ
โหยวเสี่ยวโม่ที่รับสารมาเริ่มรู้ตัวว่าตัวเองถามเร่งรีบเกินไป เริ่มเก้ๆ กังๆ ถูจมูก จากนั้นโหยวเสี่ยวโม่ค่อยๆ กุมหัวตัวเอง ไหนๆ ก็ถามออกไปแล้ว ท่านก็รีบตอบสิ อย่างมากก็ เหอะๆ โดนท่านมะเหงกอีกสักที หากโดนมะเหงกทีเดียวเพื่อแลกกับความลับของหลิงเซียว เด็กน้อยโหยวเสี่ยวโม่รู้สึกว่า คุ้มสุดๆ ไปเลย!
หลิงเซียวรู้จักนิสัยเขานานแล้ว พูดให้ชัดก็คือเป็คนใจอ่อน เหมือนเมื่อครู่ที่ตำบลซื่อฟาง อะไรคือไม่เอาเปรียบ ดูก็รู้ว่าเขาสงสารสองแม่ลูกคู่นั้น ดังนั้นจึงเอ่ยขอซื้อราคาจริงเอง เสียดายเขาคงเป็มิตรได้แค่กับคนจำพวกนี้ กับพวกที่แข็งขึ้นมาหน่อยเขาคงไม่มีทางรับมือได้ แต่ว่า...โชคดีคนที่เขาเจอคนแรกคือตัวเอง
“ข้าน่ะ กำลังตามหานักหลอมโอสถคนหนึ่ง สำนักเทียนซินเป็สำนักใหญ่ มีนักหลอมโอสถมากมาย ทัั้งยังมีเครือข่ายความสัมพันธ์มากมาย สะดวกต่อการตามหา ส่วนเื่ที่ว่าทำไมต้องตามหาตัวคนคนนี้ ข้าจะยังไม่บอกเ้า เพราะยังไม่ถึงเวลา เมื่อถึงเวลาอันควรข้าจะบอกเ้าเอง” หลิงเซียวเอ่ย
ในที่สุดโหยวเสี่ยวโม่ก็เข้าใจ ว่าทำไมหลิงเซียวถึงต้องเข้าสำนักเทียนซิน เพราะเหตุผลเช่นนี้เอง สงสารก็แต่หลินเซียว โหยวเสี่ยวโม่เกือบอดไม่ไหวที่จะหลั่งน้ำตาเห็นใจเขา เขาต้องดวงตกแค่ไหนถึงมาพบกับหลิงเซียวเข้าได้?
“ท่าน้าตามหานักหลอมโอสถขั้นสูงรึ? หาเจอรึยัง?” โหยวเสี่ยวโม่ถาม
“ไม่ใช่นักหลอมโอสถขั้นสูง แต่ว่าตอนนี้หาเจอแล้ว” สายตาหลิงเซียวแฝงด้วยรอยยิ้มยากจะคาดเดา มองเขาท่าทียิ้มกริ่ม
“คนนั้นคือใคร?” โหยวเสี่ยวโม่ตาลุกวาว
แม้จะแปลกใจที่ไม่ใช่นักหลอมโอสถชั้นสูง แต่ประโยคหลังก็ทำให้ต่อมความอยากรู้อยากเห็นทำงานอีกครั้ง หาเจอแล้วหรือ เยี่ยมจริงๆ แต่หาเจอแล้วทำไมยังต้องอยู่ที่สำนักเทียนซินต่อล่ะ? ความคิดนี้ทำให้เขาความไม่สบายใจแปลกๆ แวบขึ้นมา แต่ไม่ทันคิดพินิจมันก็หายไปแล้ว
“เขาหรือ...” หลิงเซียวหยุดชะงัก แสร้งทำทีให้โหยวเสี่ยวโม่รู้สึกสนใจใคร่รู้จนถึงที่สุดแล้วเขยิบมาหน้าเขา “เขาน่ะเป็นักหลอมโอสถตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่ซื่อบื้อหาใดเปรียบ ทุกครั้งที่ถูกข้ารังแกก็ไม่กล้าต่อกร ตอนที่โกรธก็ดูน่ากลัวเหมือนเม่น แต่ขนนั้นอ่อนนุ่มนัก ทิ่มโดนตัวข้าก็เหมือนจั๊กจี๊ ทำอะไรก็ซื่อบื้อ ถูกคนรังแกก็ไม่รู้จักเอาคืน เ้าว่า เขาโง่หรือเปล่าล่ะ?”
โหยวเสี่ยวโม่ “...”
ทำไม ทำไมคนที่เขาพูดถึงเหมือนกับตัวเองไม่มีผิด
ไม่ใช่สิๆ คนที่เขาพูดถึงไม่น่าใช่ตัวเอง เขาไม่ได้น่าสมเพชขนาดนั้นซะหน่อย? ใช่ไหมๆๆ?
โธ่เอ๊ย หลิงเซียวกำลังพูดถึงเขาแน่นอน!
นักหลอมโอสถตัวเล็กๆ ที่หลิงเซียวพูดถึงเริ่มรู้สึกตัว เห็นทีที่เขาครุ่นคิดมาครึ่งค่อนวัน ไหนจะคนที่มีความแค้นฆ่าพ่อ คือกำลังพูดถึงตัวเองล้วนๆ นี่มันล้อเล่นกันชัดๆ!
แต่ว่า แต่ว่าทำไมหลิงเซียวต้องตามหาเขาด้วย?
เ้าเม่นตัวน้อยไม่ทันรอให้หลิงเซียวลูบขนมันก็คลายขนตั้งลงเอง เทียบกับคำพูดหลิงเซียว ที่เขาให้ความสำคัญกว่าคือ ทำไมเขาถึงกลายเป็คนที่หลิงเซียวตามหา หรือว่า ก่อนที่เขาจะข้ามภพมา หลิงเซียวกับ ‘โหยวเสี่ยวโม่’ ก็รู้จักกันแล้ว?
แท้จริงแล้ว พวกเขาคือคนรักกัน จากนั้น ‘โหยวเสี่ยวโม่’ รับไม่ได้กับท่าทีอันธพาลชอบใช้กำลังกับตัวเอง กระนั้นจึงทะเลาะกันแล้วหนีออกจากบ้าน ปรากฏว่าโชคดีที่สำนักเทียนซินรับเขาเข้ามา จึงกลายเป็ศิษย์ที่นี่โดยปริยาย จากนั้นหลิงเซียวรู้สึกว่าคนรักของตัวเองต้องเข้าร่วมสำนักเทียนซินแล้วแน่นอน จึงตามมา ผลคือทั้งสองต่างไม่คิดว่า โหยวเสี่ยวโม่ไม่ใช่ ‘โหยวเสี่ยวโม่’ คนเดิมอีกต่อไป กระนั้นทั้งสองจึงจากกันตลอดกาล…
คำว่าโธ่เอ๊ยเป็แสนครั้งวิ่งผ่านสมองเขาอีกครั้ง…
แต่ไม่ทันที่คำว่าโธ่เอ๊ยจะวิ่งผ่านไปหมดเขาก็ถูกบีบคอตายกลางทางซะก่อน เพราะว่า หลิงเซียวใช้มือสองข้างบีบคอเขา ใบหน้าซึ่งมีรอยยิ้มน่ากลัวอยู่เบื้องหน้าเขา
“ศิษย์น้องเล็ก เมื่อครู่เ้ากำลังคิดอะไรอยู่” หลิงเซียวเอ่ยถาม
โหยวเสี่ยวโม่คายลิ้นออกมาอย่างลำบาก “ไม่ ไม่ได้คิดอะไร...”
หลิงเซียวที่มองเขาอยู่จู่ๆ ก็หน้ามืดมน จากนั้นเดินไปข้างหน้า ทันใดก็เกี่ยวลิ้นเขาไว้…
โหยวเสี่ยวโม่ “......”
บรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ เขากลับทำเื่น่าอายเช่นนี้ โหยวเสี่ยวโม่หน้าแดง เ้าบ้า เขาหายใจไม่ออกแล้ว เดิมทีคอก็ถูกบีบอยู่แล้ว ตอนนี้ยังไม่ให้หายใจทางปากอีก นี่เกลียดกันขนาดไหนเนี่ย?
ครู่หนึ่งผ่านไป...
ในที่สุดหลิงเซียวก็ถอนริมฝีปากออก หัวเราะแล้วเอ่ย “ไม่ได้คิดอะไรจริงรึ?”
โหยวเสี่ยวโม่หายใจเฮือกใหญ่ พลันรีบเอ่ย “มีๆๆ ที่จริงข้ากำลังคิดว่าทำไมท่านต้องหาข้าด้วย แต่ยังคิดไม่ออก” เขากลัวว่าหลิงเซียวจะถามว่าเขาคิดอะไรออก ดังนั้นจึงรีบเสริมประโยคท้าย
ในที่สุดหลิงเซียวก็ปล่อยมือ สายตาเหมือนกำลังบอกว่า ครั้งนี้ข้าจะปล่อยเ้าไป
เมื่อได้อิสระคืนมาโหยวเสี่ยวโม่ก็รีบสูดหายใจ ที่จริงโลกใบนี้ช่างงดงามนัก ดังนั้นมีชีวิตอยู่ต่อเห็นจะดีกว่า
นอกเื่ได้ครู่หนึ่ง โหยวเสี่ยวโม่ก็นึกเื่สำคัญขึ้นได้
มือที่กำลังจะคลายออกจากเสื้อหลิงเซียว จู่ๆ โหยวเสี่ยวโม่ก็นึกขึ้นได้ รีบคว้าไว้แล้วถาม “ไม่ใช่สิ แต่ก่อนข้าไม่เคยข้องแวะกับท่านนี่นา ทำไมท่านต้องตามหาข้าด้วย?”
แม้เขาจะไม่มีความทรงจำของร่างเดิม แต่เขารู้สึกว่าร่างเดิมนี้กับหลิงเซียวอยู่กันคนละโลก ไม่มีทางข้องแวะกันได้
“อย่าพึ่งตื่นเต้น ข้าเองก็พึ่งรู้วันนี้ ว่าเ้าคือคนที่ข้าตามหาอยู่” หลิงเซียวจับมือเขาไว้ ราวกับรู้ว่าเขาตื่นเต้นอะไรอยู่ แล้วเอ่ยเสียงนิ่มนวล
“หรือว่า...เป็เพราะหินทดสอบ?” โหยวเสี่ยวโม่อ้าปากเหวอ คิดออกแค่เหตุผลนี้ โลกนี้ช่างพิศวง ถึงแม้จะพิศวงอยู่แล้วก็เถอะ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้