เฉียวเยว่เงียบไปสองวันก็ได้รับเชิญจากสกุลิ่ สามีภรรยาสกุลิ่เข้าเมืองหลวงย่อมจะจัดงานเลี้ยงรับรองแขก แต่แขกที่ว่านี้หาใช่แต่เพียงเฉียวเยว่ หากพูดอย่างรวบรัด เฉียวเยว่เป็เพียงตัวแถม ส่วนตัวหลักก็คือสองสามีภรรยาสกุลซู นอกจากพวกเขาสองคน เรือนอื่นก็ได้รับเทียบเชิญเช่นกัน ดูจากตรงนี้ งานเลี้ยงที่สกุลิ่จัดขึ้นครานี้น่าจะยิ่งใหญ่พอสมควร
เฉียวเยว่นึกถึงคำกล่าวของท่านย่าก่อนหน้านี้ ก็รู้ว่าครอบครัวของพวกเขาอาจจัดงานนี้มาเพื่อให้ิ่จื้อรุ่ยดูตัว ดังนั้นจึงมีท่าทางกระเง้ากระงอดไม่อยากไปเท่าไร
แต่ฉีอันกลับกระตือรือร้นอย่างยิ่ง อยากจะไปั้แ่เช้า แม้ว่ามิได้สนใจศึกษาการต่อสู้ แต่แม่ทัพิ่พิทักษ์รักษาชายแดนมาโดยตลอด เป็บุคคลที่น่าเลื่อมใสศรัทธาอย่างยิ่ง
เด็กผู้ชายที่ไม่แสวงหาความก้าวหน้ามีเพียงไม่กี่คน ด้วยเหตุนี้ เขาจึงอยากพบแม่ทัพิ่เป็อย่างยิ่ง
เมื่อมีการเชื้อเชิญ หากไม่ไปก็คงไม่ดี ดังนั้นไท่ไท่สามจึงกำชับเฉียวเยว่ "อย่าทำตัวโดดเด่น บางเื่เฉยๆ ไว้บ้างก็ดี ท่านป้าสกุลิ่ผู้นั้นก็มิได้ชอบเ้านัก"
เฉียวเยว่หัวเราะพรืดออกมา เชิดหน้าดวงน้อย เอ่ยเสียงเบา "ข้าทราบเ้าค่ะ"
นางจำเื่ตอนที่ตนเองยังเป็ทารกได้ คิดว่ามารดาของจื้อรุ่ยคงไม่อยากให้ตนเองมาเกี่ยวดองกับครอบครัวของพวกเขาสักเท่าไร ถึงอย่างไรมารดาของนางก็เคยหมั้นหมายกับแม่ทัพิ่มาก่อน อีกฝ่ายน่าจะกระอักกระอ่วนใจเื่นี้เป็อย่างยิ่ง
ตอนแรกเฉียวเยว่คิดว่าเป็ความเห็นแก่ตัว แต่ตอนนี้มานึกดูแล้ว ก็พอจะเข้าใจได้ ถึงอย่างไรความคิดคนเราก็แตกต่างกัน เป็ธรรมดาที่นางจะมีความวิตกกังวลส่วนตน
หากเปลี่ยนมาเป็ตนเอง ก็ไม่แน่ว่าจะไม่อึดอัดใจ ดังนั้นเมื่อเอาใจเขามาใส่ใจเรา ก็สามารถเข้าใจเหตุผลได้
"ข้าจะใส่ชุดนี้" เฉียวเยว่ชี้ไปที่อาภรณ์สีขาวพระจันทร์ชุดหนึ่ง "เอาแบบธรรมดาๆ ก็พอ อย่าให้สะดุดตาเกินไปนัก มิเช่นนั้นจะถูกคนริษยาเอาอีก รูปโฉมของข้างดงามดุจบุปผา มีสง่าราศีเจิดจรัสไปทั่ว จะไปแย่งชิงความโดดเด่นจากผู้อื่นอีกมิได้"
นางเปลี่ยนอาภรณ์ไปก็พูดไปเรื่อยเปื่อย ไท่ไท่สามอับจนถ้อยคำ นางยิ้มพลางทำเสียงเข้ม "เ้าพูดดีๆ เป็บ้างหรือไม่ หากคุยโวไร้สาระอีก ข้าจะไม่พาเ้าไปแล้ว"
เฉียวเยว่พึมพำเสียงเบา "หากไม่ไปได้ก็ยิ่งดี มิเช่นนั้นในใจก็คงรู้สึกประหม่าที่ต้องมาประชันฝีไม้ลายมือในการแต่งตัวกับทุกคน นอกจากนี้ข้าก็ไม่ได้อยากเป็เ้าสาวของพี่จื้อรุ่ยเสียหน่อย"
แม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่ทุกคนก็รู้อยู่แก่ใจว่าต้องไป
"ไฉนเ้าเื่เยอะขนาดนี้ เชื่อฟังดีๆ บ้างมิได้หรือ?" ไท่ไท่สามบ่นพร้อมกับกลอกตาใส่บุตรสาว หลังจากนั้นก็พูดว่า "สีขาวจืดชืดเกินไป นี่ใกล้จะปีใหม่อยู่แล้ว หากเ้าแต่งตัวไปเยี่ยงนี้ ผู้อื่นจะคิดกับเ้าอย่างไร หากทุกคนล้วนแต่งตัวมีสีสันกันหมด เ้ากลับแต่งตัวเรียบๆ สะดุดตาอยู่คนเดียว คิดว่าเหมาะสมหรือไม่?"
เฉียวเยว่มองฟ้าเงียบๆ ไม่ว่าจะแต่งอย่างไรก็ผิดไปหมด
ดวงหน้าน้อยยิ้มขื่น พลางมุ่ยปากยื่นออกมา "เช่นนั้นท่านแม่เห็นว่าข้าควรแต่งตัวอย่างไรเล่า?"
"เสื้อสีขาวตัวนี้ใช้ได้ แต่ต้องสวมคู่กับเสื้อกั๊กสีแดงอิงเถา หรือสีชมพูดอกท้อ จะได้ไม่เรียบเกินไปนัก ส่วนกระโปรงสีขาวพระจันทร์ก็จะดูนุ่มนวลลงมาอีกหน่อย
"ท่านแม่รอบคอบและล้ำลึกยิ่งนัก" เฉียวเยว่รับคำเสียงหวานพลางอมยิ้ม
ไท่ไท่สามรู้สึกว่านี่ไม่น่าจะใช่ถ้อยคำที่ดีนัก นางจิ้มศีรษะบุตรสาวตัวน้อยแล้วเอ่ยว่า "อย่ามาเล่นลิ้นกับข้า"
เฉียวเยว่เข้าไปกอดฉอเลาะมารดา "ท่านแม่ ท่านว่าข้าง่ายนักหรือ? ขณะที่ผู้อื่นแย่งชิงกันโดดเด่น แต่ข้ากลับต้องซ่อนงำประกายเฉิดฉันของตนเองให้มิด"
ไท่ไท่สามเขกหัวนาง "เ้าช่วยพูดจาดีๆ ให้ข้าหน่อย หากออกไปพูดเช่นนี้ข้างนอก ก็คงขายหน้าผู้อื่นแย่"
เฉียวเยว่หัวเราะคิกคัก ออกไปข้างนอกนางก็ไม่ทำเช่นนี้อยู่แล้ว
เฉียวเยว่เชื่อฟังไท่ไท่สาม หลังจากเปลี่ยนอาภรณ์เสร็จก็ประดับปิ่นไข่มุกงดงามอีกชิ้น "พวกเราไปกันได้แล้ว"
โชคดีที่วันนี้พวกนางเตรียมตัวกันแต่เช้า จึงไม่กลัวว่าจะชักช้าเสียเวลา
ไท่ไท่สามแต่งตัวดูมีสง่าราศี นี่ก็มีคำอธิบายเป็อีกอย่าง ด้วยวัยของนาง มิอาจแต่งตัวตามอำเภอใจเกินไป นี่ไม่ใช่เื่ของนางเพียงคนเดียว แต่ต้องคำนึงถึงหน้าตาของบ้านสามีด้วย
สองแม่ลูกเดินออกจากเรือน เฉียวเยว่เปรยขึ้นลอยๆ "ท่านแม่แต่งตัวงดงามเช่นนี้ ดูเหมือนพี่สาวของข้ามากกว่า"
ไท่ไท่สามหัวเราะพรืด ตีบุตรสาวทีหนึ่ง แล้วเอ่ยว่า "พูดเพ้อเจ้ออีกแล้ว ให้ข้าตีสักทีดีหรือไม่?"
เฉียวเยว่ทำตาปริบๆ "ตีเด็กหรือเ้าคะ?"
เฉียวเยว่มักรู้สึกว่าตนเองยังเป็เด็กอยู่ อันที่จริงเมื่อมาคิดดูดีๆ เด็กอายุสิบสองของบ้านไหนก็ไม่ใช่เด็กเล็กๆ แล้ว หากเป็ยุคปัจจุบัน นางก็เพิ่งขึ้นม.ต้น แต่มาคิดอีกที เมื่อเป็ยุคโบราณ ย่อมแตกต่างกัน
อาจเป็เพราะเฉียวเยว่ชอบทำตัวเหมือนเด็กเล็กๆ ไท่ไท่สามจึงรู้สึกว่านางยังไม่โต และไม่รู้สึกว่านางเป็สาวที่ต้องแต่งงานแล้ว ในใจของนางเฉียวเยว่ยังเป็เด็ก เร็วเกินไปที่จะคุยเื่แต่งงาน
ดังนั้นเื่ที่ซานหลางคิดกังวล ก็กระตุ้นให้นางเริ่มตระหนักอยู่บ้างเหมือนกัน
ขณะรถม้าของเรือนสามสกุลซูกำลังจะออกจากจวน เฉียวเยว่ก็ถามว่า "เหตุใดถึงไม่ไปพร้อมพวกเขาล่ะเ้าคะ?"
เรือนใหญ่เรือนสองก็ไป แต่พวกเขาไม่ได้ออกไปพร้อมกัน เฉียวเยว่รู้สึกว่าคนครอบครัวเดียวกันไม่จำเป็ต้องแยกกันไปก็ได้
แต่ไท่ไท่สามตอบว่า "ไม่จำเป็ ไปพร้อมกันเป็ครอบครัวใหญ่ ดูวุ่นวายเกินไป"
เฉียวเยว่ยู่ปาก ไม่ค่อยเข้าใจนัก
"ครานี้ไม่รู้ว่าเชิญใครไปบ้าง" นางยิ้ม
เฉียวเยว่ไม่อยากเจอคนที่ไม่อยากพบหน้า
"ย่อมจะเป็คุณหนูของแต่ละครอบครัว" นางเว้นจังหวะเล็กน้อย "ถึงจะมีคนที่ไม่ชอบ ก็อย่าทำให้คนเสียหน้าต่อหน้าธารกำนัล จะอึดอัดใจกันเปล่าๆ"
เฉียวเยว่รับคำ หลังจากนั้นก็อมยิ้มน้อยๆ "ข้าไม่ใช่คนแบบนั้น"
แท้จริงแล้วนางนี่ล่ะแสบขึ้นชื่อ ไม่ใช่แม่นางน้อยที่เข้ากับคนได้ง่ายนัก แต่ก็น่าแปลกที่ทุกคนล้วนชอบนาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหายร่วมชั้นเรียน
เฉียวเยว่เชิดหน้า เอ่ยว่า "ข้าเป็คนที่น่าเชื่อถือมากในหมู่สหายร่วมเรียน"
ไท่ไท่สามชำเลืองมองนางด้วยหางตา "เ้าโม้อีกแล้ว"
เฉียวเยว่หัวเราะคิกคัก
ขณะที่สองแม่ลูกกำลังออกจากจวน ก็เห็นซูเยียนหรันท่านอาของนางกลับมาพอดี ทั้งสองต่างทักทายกัน สายตาของเฉียวเยว่เลื่อนไปที่ตะกร้าในมือของซูเยียนหรัน ดวงตาทอประกายขึ้นมา หลังจากนั้นก็กระซิบกับไท่ไท่สาม "ท่านแม่ ไฉนข้ารู้สึกว่ามีบางอย่างชอบกล"
ไท่ไท่สามมองนางด้วยความสงสัย
เฉียวเยว่กระซิบอีกว่า "ท่านอาดีต่อหลันเยว่อย่างยิ่ง ข้ามักรู้สึกว่า... รู้สึกว่า... ฮึ้ย!"
เฉียวเยว่รู้ ตนเองไม่ควรคิดเช่นนี้ แต่นางก็อดไม่ได้จริงๆ
แม้เฉียวเยว่จะไม่ได้พูดอะไร แต่ไท่ไท่สามกลับเข้าใจ
"เื่นี้เ้าอย่าเข้าไปก้าวก่าย" นางเอ่ย
เฉียวเยว่พยักหน้า "ข้าไม่เข้าไปยุ่งอยู่แล้วเ้าค่ะ ไม่ใช่เื่ของข้าเสียหน่อย"
แม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่เฉียวเยว่ก็ยังขมวดคิ้ว กระสับกระส่ายอยู่บ้าง
ท่านอาไม่มีบุตร แม้สองปีมานี้จะมีเสียงสนับสนุนให้นางรับบุตรบุญธรรม นางก็ไม่หวั่นไหว แต่เฉียวเยว่รู้สึกว่า ท่านอาหาได้มิหวั่นไหว เพียงแต่เด็กเ่าั้ไม่ใช่คนที่นางชอบ นางชอบหลันเยว่มากกว่า
เห็นได้ชัดเจนยิ่ง
"พวกท่านมักรู้สึกว่าข้าชอบจุ้นจ้าน แต่แท้จริงแล้วข้ามิใช่เสียหน่อย ข้าปรารถนาให้ทุกคนมีความสุข เพราะทุกคนคือญาติของข้า"
"แต่ข้าไม่ใช่ท่านอา ไม่ใช่หลันเยว่ เดาไม่ออกว่าพวกเขาคิดอย่างไร แต่หากพวกเขาพึงพอใจ ข้าก็หวังว่าพวกเขาจะมีชีวิตที่ดี"
เฉียวเยว่ยู่ปาก รำพึงเสียงเบา "จะดีแค่ไหนหากคนในครอบครัวอยู่ดีมีสุข"
ไท่ไท่สามยิ้มพลางลูบศีรษะเฉียวเยว่ "เ้าน่ะใจอ่อนที่สุดในบรรดาพี่น้องสามคน"
"พี่สาวกับน้องชายก็ดีมาก" เฉียวเยว่ไม่ยอมรับ
ไท่ไท่สามยิ้มอ่อนๆ "ข้าย่อมรู้ว่าพวกเขาดีมาก แต่พวกเขาไม่เหมือนเ้า"
แม้เฉียวเยว่จะดูเหมือนแม่ไก่ ชอบยุ่งเื่ของชาวบ้าน แต่แท้จริงแล้วจิตใจของนางบริสุทธิ์ดีงาม ความอยากรู้อยากเห็นส่วนใหญ่ล้วนเป็เพราะความใส่ใจ และปรารถนาให้ทุกคนมีความสุข
"เอาล่ะ เื่เหล่านี้ไว้ค่อยคุยกันวันหลัง อยู่สกุลิ่อย่าก่อเื่ยุ่งเล่า" ไท่ไท่สามเอ่ย
"ข้าไม่ใช่เด็กไร้เหตุผลเยี่ยงนั้นเสียหน่อย" เฉียวเยว่บ่นพึมพำ
พอเห็นว่าถึงจวนสกุลิ่แล้ว นางก็เปรยขึ้นมา "คราก่อนที่ข้ามาเป็ฤดูวสันต์ ตอนนั้นพี่จื้อรุ่ยยังป่วยอยู่"
แท้จริงแล้วอาการป่วยของิ่จื้อรุ่ยตอนนั้นก็ดูแปลกมาก
แต่เฉียวเยว่ก็ไม่อยากจะคาดเดาเื่ของผู้อื่นมากเกินไปนัก
มีคนต้อนรับพวกเขาจากหน้าประตูเข้าไปด้านใน ผู้มาเป็หมัวมัวคนสนิทของฮูหยินผู้เฒ่า แม้ว่าฮูหยินสกุลิ่จะไม่อยากได้แม่นางจากสกุลซูมาเป็สะใภ้ แต่สำหรับฮูหยินผู้ฒ่ากลับมีความคิดต่างกัน
ฮูหยินผู้เฒ่าชื่นชอบเฉียวเยว่มากมาั้แ่เล็ก
ในใจของไท่ไท่สามก็รู้ดี เมื่อเห็นว่ามีการจัดหมัวมัวมาต้อนรับขับสู้พวกนางโดยเฉพาะ ไท่ไท่สามก็ยิ้มแย้มเอ่ยถามว่า "ฮูหยินผู้เฒ่าสุขภาพแข็งแรงดีหรือไม่?"
"ดีเ้าค่ะ ดีเ้าค่ะ ขอบคุณไท่ไท่สามสกุลซูที่ห่วงใย ฮูหยินผู้เฒ่าของพวกเราสุขภาพร่างกายแข็งแรงดียิ่ง" หมัวมัวตอบทันควัน หลังจากนึกดูแล้ว ก็พูดอีกว่า "ฮูหยินผู้เฒ่าบ่นถึงไท่ไท่สามบ่อยครั้ง วันหน้าหากท่านมีเวลาก็มาเยี่ยมฮูหยินผู้เฒ่าของพวกเราบ้าง นางจะได้เบิกบานใจ"
ไท่ไท่สามอมยิ้มรับปาก "หากมีเวลา ย่อมควรมาอยู่แล้ว เพียงแต่ในบ้านมีงานเยอะ เด็กๆ ก็ซุกซน จึงต้องผัดเวลาไปเรื่อย เฮ้อ พูดแล้วก็ละอายใจจริงๆ"
นางยิ้มบางๆ อย่างรู้สึกผิด แต่มิทำให้คนรู้สึกไม่สบายใจ
เฉียวเยว่รู้สึกมาโดยตลอดว่าตนเองสู้มารดาไม่ได้ ดูจากตอนนี้เห็นท่าจะจริง นางมักจะทำตัวเฉียบแหลม ทำให้คนรู้สึกไม่สบายใจ แต่มารดาของนางไม่เป็เช่นนี้ นางมักจัดการเื่ราวอย่างละมุนละม่อมเสมอ
แน่นอนว่าไม่ใช่เื่ใหญ่ แต่สามารถมองเห็นอุปนิสัยในการจัดการเื่ราวได้
เพียงชั่วพริบตาทุกคนก็มาถึงเรือนหลัก เพิ่งมาถึงประตูก็ได้ยินเสียงคนคุยจ้อกแจ้กดังมาจากข้างใน ดูเหมือนจะมีคนมาไม่น้อย
หมัวมัวเลิกม่านขึ้น ไท่ไท่สามกับเฉียวเยว่เข้าไปในห้อง เฉียวเยว่กวาดตามอง ก็เห็นสตรีสวยแปลกตาคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างฮูหยินผู้เฒ่าิ่ นางมาพินิจดูอย่างถี่ถ้วน ตนเองก็อายุสิบสองแล้ว ห่างจากที่พบกันครั้งแรกสิบกว่าปี นางดูมีอายุและหยาบกร้านขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก
สะท้อนให้เห็นถึงความลำบากยากเข็ญที่ชายแดน
ไม่เพียงแต่เฉียวเยว่ แท้จริงแล้วคนส่วนใหญ่ล้วนคิดเช่นเดียวกัน อาจเป็เพราะฮูหยินิ่มิได้งดงามเช่นเมื่อสิบกว่าปีก่อน แต่เพราะนางมีรูปโฉมที่ดูแปลกตา ย่อมตรึงตราอยู่ในใจคนเป็ธรรมดา
ดูเหมือนว่าฮูหยินิ่จะอายุน้อยกว่าไท่ไท่สามสองสามปี แต่ตอนนี้ไท่ไท่สามกลับดูอ่อนเยาว์กว่านางนับสิบปี
ชั่วขณะนั้นในใจของทุกคนต่างคิดต่างกันไป ไม่ใช่เปรียบเทียบว่าใครดีกว่าใคร แต่รู้สึกว่าชายแดนมิใช่สถานที่ที่เหมาะสมสำหรับสตรี ความรู้สึกอยากเกี่ยวดองกับิ่จื้อรุ่ยจึงจืดจางลงหลายส่วน
แต่ก็ใช่ว่าจะคิดเช่นนี้ทุกคน เช่นฮูหยินิ่เป็ต้น
สายตาของนางเต็มไปด้วยความริษยา ขบริมฝีปาก ยิ้มแต่เพียงผิวเผินไม่ถึงเนื้อใน "ไท่ไท่สามสกุลซูยังคงงดงามปานบุปผา"
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้