เล่มที่ 3 บทที่ 77
เช้าวันรุ่งขึ้น ชุ่ยเอ๋อร์มาที่ห้องแต่เช้าเพื่อดูแลรับใช้มู่หรงฉิงอาบน้ำ แต่หลังจากเฉินเทียนหยูอาบน้ำ เขาก็จะให้มู่หรงฉิงแต่งตัวและมัดผมให้เขาให้ได้
“ข้าชอบน้องหญิงมัดผมให้ข้า น้องหญิงแต่งตัวและมัดผมให้ข้านั้นดูดีมาก” ยังคงเป็รอยยิ้มที่ใสสะอาด แต่มู่หรงฉิงรู้สึกว่ารอยยิ้มนั้นสะอาดเกินไปและเจิดจ้ามากเกินไปด้วยซึ่งมันทำให้นางเวียนศีรษะ
เมื่อเห็นชุ่ยเอ๋อร์จะเกล้าผมยาวของมู่หรงฉิง เฉินเทียนหยูก็ผลักชุ่ยเอ๋อร์ออกไป "ข้าจะหวีผมให้น้องหญิง"
หลังจากนั้นเขาจึงหยิบหวีไม้บนโต๊ะและหวีผมให้มู่หรงฉิงอย่างจริงจัง
มู่หรงฉิงยังคงวิตกกังวลว่าเขาจะทำให้ผมของนางขาดหรือไม่ แต่ครั้นเห็นใบหน้าของเขาในกระจกซึ่งมีความตั้งใจอย่างมาก ราวกับว่าสิ่งที่อยู่ในมือของเขาไม่ใช่ผมยาวแต่เป็ทารกที่เปราะบางอย่างไรอย่างนั้น
มู่หรงฉิงถึงกับใเล็กน้อย ถ้าในเวลานี้นางไม่มั่นใจว่าเฉินเทียนหยูต้องยาพิษและระดับสติปัญญาลดลง นางคงจะสงสัยว่าเฉินเทียนหยูแสร้งทำเป็บ้าและโง่หรือไม่?
มองเขาแล้วมู่หรงฉิงก็อดคิดไม่ได้ สามปีที่แล้วเขากับจานไฉ่เยว่รักกันมาก เขาอาจหวีผมยาวให้จานไฉ่เยว่ทุกวันด้วยใช่หรือไม่? เขาสนใจว่าสายตาของจานไฉ่เยว่จะจับจ้องอยู่ที่ใครหรือไม่?
ความคิดนั้นทำให้นางรู้สึกอึดอัดและหายใจลำบากมากอยู่ชั่วครู่หนึ่ง "เวลาสายแล้ว ชักช้าไม่ได้ ชุ่ยเอ๋อร์รับใช้คุณชายรองแต่งตัวและมัดผม ปี้เอ๋อร์มาเกล้าผมให้ข้า"
ด้วยคำสั่งของมู่หรงฉิง เฉินเทียนหยูจึงเงยหน้าขึ้นมองสบสายตาของนางในกระจกทันที จังหวะที่กำลังจะปฏิเสธอย่างเอาแต่ใจกลับเห็นว่าดวงตาของนางฉายแสงเ็า เป็สาเหตุให้เขาไม่กล้าพูดโต้แย้ง ได้แต่เดินไปด้านข้างด้วยสีหน้าบูดบึ้ง และปล่อยให้ชุ่ยเอ๋อร์ดูแลรับใช้
จวบจนทั้งสองคนแต่งตัวเสร็จและรับประทานอาหารเช้าเรียบร้อย รวมถึงหลังจากฮูหยินเฉินกำชับตักเตือนให้ระมัดระวังทุกอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า พวกเขาก็ขึ้นรถม้า เฉินเทียนหยูยังคงมองมู่หรงฉิงด้วยสีหน้าคล้ายอยากเอ่ยถ้อยคำ แต่กลับต้องระงับคำพูดของตนไว้
กระทั่งรถม้าเคลื่อนไปมากแล้ว เฉินเทียนหยูถึงเอ่ยถามว่า "น้องหญิงไม่ชอบให้ข้าหวีผมให้เ้าใช่หรือไม่?"
เห็นๆ อยู่ว่ายังดีๆ อยู่เลย แต่ทำไมเมื่อหวีผม น้องหญิงก็โกรธขึ้นมาแล้วล่ะ?
ชอบหรือไม่? ถามใจตัวเอง นางชอบมันแต่ว่ายามที่นางนึกถึงความรักอันลึกซึ้งระหว่างเฉินเทียนหยูและจานไฉ่เยว่ หัวใจของนางก็เหมือนมีก้อนหินขนาดใหญ่กดไว้
ไม่ได้ตอบคำถามของเฉินเทียนหยู แต่นางได้ยกคำพูดของแม่นมซึ่งเคยเอ่ยบอกข้างใบหูของนางในวันแต่งงาน "หลังจากหวีผมขึ้นครั้งที่หนึ่ง จะร่ำรวยมั่งคั่ง ปราศจากความวิตกกังวล หวีผมขึ้นครั้งที่สอง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บและปราศจากความวิตกกังวล และหลังจากหวีผมขึ้นเป็ครั้งที่สาม จะมีลูกมากมายและอายุยืนยาว หวีผมลงจนสุดปลาย สามีภรรยาจะต้องเคารพกันและกัน หวีผมลงสุดปลายเป็ครั้งที่สอง หมายถึง คู่สามีภรรยาไม่มีวันแยกจากกัน หวีผมถึงปลายผมครั้งที่สาม รักกันกลมเกลียวตลอดไป มีหัวและหาง และชีวิตนี้จะร่ำรวยเงินทองและมีเกียรติสูงส่ง"
นางพูดพึมพำด้วยความเศร้าอย่างอธิบายเป็คำพูดไม่ได้ ทำให้จ้าวจื่อซินที่นั่งเงียบอยู่ด้านข้างถึงกับต้องเงยหน้าขึ้น สายตาของเขาคอยสังเกตตรวจสอบเพิ่มเติมเล็กน้อย
“ท่านพี่ ท่านพี่รู้หรือไม่ว่าอะไรเป็ความหวังที่ฟุ่มเฟือยมากที่สุดในชีวิตของข้า? ข้าไม่ได้้าความร่ำรวยมั่งคั่ง ข้าไม่้าที่จะร่ำรวยมั่งคั่งอย่างที่ไม่มีใครเทียบเทียมได้ ข้า้าเพียงคนที่เคารพข้า รักข้าและสามารถให้ความเคารพนบนอบต่อกันได้ สามารถอยู่ด้วยกันอย่างกลมเกลียว และสามารถรักข้า ไม่มีใครอื่นตลอดชีวิต ข้ารู้ว่าสิ่งที่จะพูดในวันนี้ข้าไม่ควรพูดออกมา เพียงแต่หวังว่าวันใดวันหนึ่งที่ท่านเข้าใจแล้ว ท่านจะสามารถให้คำตอบที่ดีที่สุดให้กับข้า"
ไม่รู้ทำไมนางถึงเอ่ยประโยคเ่าั้ได้อย่างเป็ธรรมชาติ ทั้งที่รู้ว่านี่ไม่ใช่เวลาอันเหมาะสม และรู้ทั้งรู้ว่าไม่ควรพูดถึงเื่ดังกล่าวต่อหน้าคนนอก ถึงกระนั้นนางก็เอ่ยมันออกไปแล้ว
บางทีนาง้าให้ใครสักคนเป็พยาน นางไม่รู้ว่าเฉินเทียนหยูจะมีโอกาสได้รับการรักษาให้หายเป็ปกติได้หรือไม่? และในเวลาเดียวกัน นางไม่รู้ว่าความประสงค์ของ์จะเปลี่ยนไปอย่างไร? เพียงแต่ เมื่อนางคิดถึงอดีตของเฉินเทียนหยูและจานไฉ่เยว่ จู่ๆ นางก็อยากจะหนีไป นางไม่กล้าเป็ตัวแทนของใคร และที่มากไปกว่านั้นนางไม่กล้ายอมรับหากสามีของนาง้ามีภรรยาและอนุจำนวนมาก นางแค่อยากมีคนรักที่ปฏิบัติต่อนางอย่างสุดหัวใจและจะแก่ชราไปด้วยกันตลอดกาล
เฉินเทียนหยูไม่เข้าใจคำพูดของมู่หรงฉิง แต่ครั้นเห็นแววตาจริงจังและแน่วแน่ของมู่หรงฉิง เขาก็พยักหน้าโดยไม่รู้ตัว “รอให้ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะต้องให้คำตอบที่ดีที่สุดแก่น้องหญิง”
เฉินเทียนหยูไม่เข้าใจคำพูดของมู่หรงฉิง แต่ดวงตาของจ้าวจื่อซินกลับเป็ประกาย ก่อนกระแสน้ำในดวงตาของเขาจะพลุ่งพล่านราวกับว่าเขาได้เห็นเื่ที่น่าสนใจที่สุดในโลกก็มิปาน
ชุ่ยเอ๋อร์ช่วยประคองมู่หรงฉิงออกจากรถม้า จังหวะนั้นมู่หรงฉิงก็เงยหน้าขึ้นมองบนท้องฟ้า มองดูพระอาทิตย์ขึ้น "ชุ่ยเอ๋อร์ ข้ากำลังพูดถึงเื่ที่เป็ไปไม่ได้หรือไม่?"
ชุ่ยเอ๋อร์เข้าใจว่า มู่หรงฉิงหมายถึงคำพูดของเ้าตัวขณะอยู่ในรถม้า "บ่าวไม่เข้าใจความจริงในนั้น จึงไม่สามารถออกความเห็นได้ แต่ว่าการเป็คู่ชีวิตอย่างในละครเป็สิ่งที่ผู้คนปรารถนาจริงๆ"
“ดังนั้นพระจันทร์ในน้ำกับดอกไม้ในกระจกจึงเป็เพียงภาพมายาตลอดไป เมื่อกระจกแตกแล้ว มันก็เป็เื่ยากที่จะทำให้เข้ากันได้อีก และเมื่อน้ำสั่นไหวดวงจันทร์ก็จะแบ่งแยกออกจากกัน” หลังจากนั้นจึงถอนสายตากลับมามองชุ่ยเอ๋อร์ "ถึงแม้ว่าต้นไม้จะใหญ่แต่ต้องมีวันที่ล้มลงเสมอ บางครั้งต้นกล้าที่ต่ำต้อย อาจจะกลายเป็ต้นไม้อายุร้อยปีที่สูงตระหง่านขึ้นไปบนท้องฟ้า"
มู่หรงฉิงไม่เอื้อนเอ่ยวาจาใดอีกต่อไป และเวลาเดียวกันจ้าวจื่อซินได้นำเทียบเชิญออกไปแล้ว มีคนเดินนำพวกเขาเข้าไปในจวนของฮูหยินชั้นหนึ่งทันที
ชุ่ยเอ๋อร์ประคองมู่หรงฉิง คอยดูแลรับใช้นายหญิงตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายราวกับว่านางไม่เข้าใจความหมายของมู่หรงฉิง แม้กระทั่งสีหน้าของนางก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด
ไม่ว่านางจะกลบเกลื่อนได้ดีแค่ไหนแต่หลังจากมู่หรงฉิงพูดจบ อาการแขนแข็งทื่อของชุ่ยเอ๋อร์ย่อมเป็การพิสูจน์ถึงความคิดของนาง
ทางด้านมู่หรงฉิงก็ไม่ได้ต่อความ นางแค่กำลังรอ... รอให้ชุ่ยเอ๋อร์คิดจนเข้าใจ หากพิจารณาจากการสังเกตใน่หลายวันที่ผ่าน จะพบว่าความคิดของชุ่ยเอ๋อร์นั้นละเอียดรอบคอบอย่างน่าประหลาด มิหนำซ้ำนางยังทำงานอย่างเป็ระเบียบ มีคนเช่นนี้ไว้ใช้งานคอยอยู่เคียงข้างย่อมมีแต่ข้อดีและไม่มีข้อเสีย
แม้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะเป็ต้นไม้ใหญ่สูงตระหง่าน ถึงกระนั้นอีกฝ่ายก็ไม่อาจสู้อายุที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากฮูหยินผู้เฒ่าได้ให้ชุ่ยเอ๋อร์แก่เด็กสาวแล้วและคงไม่มีเหตุผลใดที่จะนำกลับคืนไป คำพูดของมู่หรงฉิงทำให้ชุ่ยเอ๋อร์เข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันได้ ตอนนี้นางเข้าไปในเรือนของมู่หรงฉิงแล้ว มันจะเป็การดีที่สุดถ้าจะรับใช้ฮูหยินน้อยด้วยใจจริง แม้ว่าตอนนี้มู่หรงฉิงจะยังเป็ต้นกล้าแต่ใครจะสามารถรับรองได้ว่าต้นกล้าจะไม่เติบใหญ่และกลายเป็ต้นไม้ที่สูงตระหง่าน?
กลุ่มคนเข้าไปในจวนและเดินผ่านทางเดินกว้างที่ปูด้วยหินอ่อนซึ่งสองข้างทางเป็สวนร้อยบุปผา
ถึงแม้จะไม่เคยเห็นสวนในวังหลวง แต่สวนที่กว้างไม่มีที่สิ้นสุดตรงหน้า หากลองพิจารณาดูแล้ว เกรงว่าช่างในวังหลวงคงได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้โดยตรงให้ออกแบบตกแต่งสวนร้อยบุปผาเพื่อฮูหยินหลิง
มีการกล่าวกันว่า สวนในวังหลวงมีดอกไม้บานตลอดปีซึ่งสวยงามเป็อย่างมาก ในตอนนั้นนางยังคิดอยู่ว่า ดอกไม้บานหลากหลายชนิดจะงดงามเพียงใด? และยามนี้นางก็ได้เห็นในที่สุด จู่ๆ นางก็รู้สึกว่าสิ่งที่พูดกันนั้นไม่ได้เอ่ยเกินจริงเลย
“ท้ายที่สุดแล้ว มันเป็ดอกไม้ที่ถูกขังอยู่ในสวนย่อมเทียบไม่ได้กับความสวยงามตามธรรมชาติภายนอก” เมื่อเห็นสีหน้าของมู่หรงฉิง จ้าวจื่อซินก็หันศีรษะไปหาพลางยิ้มให้นาง
ท่ามกลางดอกไม้หลากหลายชนิดซึ่งเป็ความสวยงามตระการตาของเมือง ย่อมบอกไม่ได้ว่าคนน่ามองกว่าดอกไม้? หรือดอกไม้สวยกว่าคน?
หากกล่าวว่าดอกโบตั๋นเป็าาแห่งดอกไม้เพราะความงามสง่าและหรูหรา ถ้าเช่นนั้นจ้าวจื่อซินก็เปรียบเสมือนนกแห่งสรวง์ สวยงามอย่างมีอิสระและเรียบง่าย เขาสวยงามราวกับไม่เคยแปดเปื้อนธุลีแห่งโลกีย์ ประหนึ่งว่าขอแค่เขายอม เขาจะสามารถบินขึ้นไปบนท้องฟ้าและท่องทะเลอันกว้างใหญ่อย่างอิสระ
“น้องหญิง” เฉินเทียนหยูเห็นมู่หรงฉิงจ้องมองจ้าวจื่อซินอย่างเหม่อลอย เขาจึงออกอาการโกรธ “น้องหญิงดูอีกหนแล้ว…”
“ท่านพี่ ท่านพี่ดูสิ ดอกไม้ในสวนนี้สวยงามตระการตาและน่าตื่นเต้นจริงๆ ข้าเห็นแล้วก็รู้สึกมึนศีรษะเล็กน้อย” นางรีบถอนสายตา ในใจนึกรำคาญตัวเอง คิดไม่ถึงว่าจะเสียสติเนื่องจากรอยยิ้มอันหล่อเหลาของจ้าวจื่อซิน
ก่อนออกจากจวน มู่หรงฉิงไม่ได้สนใจจ้าวจื่อซินมากนัก แต่อึดใจก่อน เขาเห็นน้องหญิงมองจ้าวจื่อซินด้วยอาการเหม่อลอย เฉินเทียนหยูจึงรู้สึกทรมานระคนอึดอัดในใจ
“โธ่ นี่คือพี่หญิงไม่ใช่หรือ?” จู่ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขัดจังหวะคำพูดถัดไปของเฉินเทียนหยู “พี่หญิงต้องกลับจวนในวันที่สามหลังจากแต่งงาน แต่ข้าไม่เห็นพี่หญิงกลับจวน ยังคิดว่าพี่หญิงของข้าอยู่ในจวนเฉินจนลืมเวลาแล้วกระมัง แต่ไม่คาดคิดเลยว่าจะมาร่วมงานเลี้ยงของฮูหยินหลิงในวันนี้ด้วย”
กลับจวนในวันที่สามหลังจากแต่งงานหรือ? ใช่แล้ว! สามวันหลังจากแต่งงานจะต้องกลับจวน นี่เป็ธรรมเนียม แต่ว่าหลังจากแต่งงานเข้าไปในจวนเฉินสองสามวัน ชีวิตของนางไม่เคยได้สงบสุข มิหนำซ้ำนางเกือบจะตายอยู่สองสามครั้ง และเื่กลับจวนเดิมเป็สิ่งที่ฮูหยินเฉินควรจะเตรียมไว้ แต่อาจเป็ไปได้ว่า นางถูกเฉินเทียนหยูทำให้าเ็ในวันนั้น และฮูหยินเฉินก็ไม่รู้ว่าจะจัดการกับมันอย่างไร ดังนั้นจึงเงียบไม่พูดถึงและปล่อยให้เื่กลับจวนในวันที่สามหลังจากแต่งงานให้ผ่านไป
เพียงแต่นางยังต้องกลับไปที่จวนแห่งนั้นอีกหรือไม่? ที่จวนแห่งนั้นนอกจากป้ายิญญาของท่านแม่ ก็ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องผูกพันกับนาง
ระหว่างคิดในใจ ผู้พูดก็เดินมาถึงตรงหน้าแล้ว
มู่หรงยวี่สวมชุดสีลูกท้อปักลายดอกบัวขาวที่สวยงามบนเสื้อ การตัดเย็บของเสื้อผ้าทำให้นางดูเพรียวบางและเย้ายวนซึ่งเข้ากับรูปร่างที่กำลังแตกเนื้อสาว ใบหน้าประทินโฉมสดใส สีบนเปลือกตาของนางสะท้อนกับเสื้อส่งผลให้ผู้คนนึกถึงกิ่งอ่อนๆ ของดอกท้อ ทำให้คนอยากที่จะก้าวไปข้างหน้าและเด็ดกิ่งไม้
นางเกล้าผมเป็มวยทรงก้อนเมฆ สวมมงกุฎซึ่งมีพู่ห้อยลงมาที่หน้าผาก ทว่ามันกลับไม่ได้ปิดบังหน้าผากอวบอิ่มของนางให้หมดประกายความงาม แต่การบดบังซึ่งเปิดเผยให้เห็นเพียงเล็กน้อยกลับเป็ความสวยงามที่ทำให้คนตาพร่า
การแต่งตัวของมู่หรงยวี่ดูเรียบง่าย แต่แท้ที่จริงแล้วเป็การแต่งตัวที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก ไม่เพียงแต่ต้องไม่โดดเด่นจนเกินไป ทว่าต้องไม่สูญเสียความงามด้วยเช่นกัน คิดว่าวันนี้อนุหนิงหมายจะให้มู่หรงยวี่ออกงานไปก่อนเพื่อองค์ชายที่พวกนางได้เลือกไว้จะได้ตกหลุมรักมู่หรงยวี่
“ไม่เห็นหน้าเป็เวลาหลายวัน ไม่คิดเลยว่าพี่หญิงจะดูผอมแห้งและซีดเซียวถึงเพียงนี้ ดูสิหว่างคิ้วไร้ราศีต่างจากตอนที่ยังไม่ได้ออกเรือนโดยสิ้นเชิง” พูดพลางเลื่อนสายตามองชุ่ยเอ๋อร์ซึ่งอยู่ด้านข้างมู่หรงฉิง "เหตุใดถึงเปลี่ยนแม้กระทั่งสาวใช้ล่ะ? ดูเหมือนว่าคนในจวนเฉินจะใส่ใจและรอบคอบกันมาก รู้ด้วยว่าสาวใช้ที่อยู่เคียงข้างพี่หญิงไม่รู้ประสีประสา จึงเปลี่ยนสาวใช้ที่สามารถออกงานเลี้ยงได้ จะได้ไม่เกิดเื่ไปถูกใจคุณชายคนไหนอีก คราวนี้จวนเฉินจะเสียหน้าเอาได้”
จากนั้นก็พูดกับหนิงซุ่ยรั่วที่อยู่ด้านข้าง
มู่หรงยวี่เจตนาพูดยั่วยุด้วยคิดว่าจะทำให้สีหน้าของมู่หรงฉิงเปลี่ยนไป แต่ไม่คาดคิดเลยว่า มู่หรงฉิงกลับมองตอบโดยปราศจากอารมณ์ สายตาของอีกฝ่ายทำให้มู่หรงยวี่ค่อนข้างอึดอัดอยู่หลายส่วน หลังจากคิดตรึกตรอง ถึงอย่างไรผู้หญิงคนนี้จะตายภายในครึ่งปี ต่อให้นางหน้าตาดีแล้วอย่างไรล่ะ? ถึงเวลานั้นนางก็คงจะคล้ายกับมารดาที่อายุสั้นและต้องตายอย่างน่าเกลียด
มู่หรงฉิงยังจำเป็ต้องกลับไปอีกหรือ? ที่นั่น... นอกจากป้ายิญญาของมารดาก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องผูกพันกับคนตรงหน้าเลย
ขณะคิดในใจก็หันไปมองชายหนุ่มสองคนที่อยู่อีกฟากหนึ่ง ชายคนหนึ่งสวมใส่ชุดสีม่วง เขามีใบหน้าหล่อเหลาไม่ธรรมดา แต่ไม่รู้ด้วยสาเหตุใดใบหน้าของเขากลับดูมีความคับข้องใจเล็กน้อย ส่วนผู้ชายอีกคน สวมชุดคลุมสีหมึก ท่าทีเ็าประดุจน้ำแข็ง แม้ว่าเขาจะหน้าตาดีแต่ใบหน้าเ็าประดุจน้ำแข็งของเขาส่งผลให้นางถึงกับต้องเม้มปาก
นางย่อมรู้จักชายหนุ่มทั้งสองคนนี้ ผู้ชายในชุดสีม่วงเป็สามีโง่งมของมู่หรงฉิง และชายหนุ่มในชุดสีหมึกเป็ผู้ติดตามของสามีโง่งมของมู่หรงฉิง
'แม้ว่ากำลังจะตาย แต่การได้เห็นผู้ชายหล่อเหลาสองคนทุกวัน อย่างน้อยคงทำให้เกิดความสุขทางตาและทางใจกระมัง’ พูดพึมพำในใจ แต่บนใบหน้านั้นเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ย "พี่หญิงเป็อะไรหรือ? แม้กระทั่งพูดก็พูดไม่เป็แล้วหรือ? อุ๊ย เกิดอะไรขึ้นกับคอของพี่หญิง?"
ในระหว่างประหลาดใจ มู่หรงยวี่ก้าวเท้าไปถึงเบื้องหน้าของมู่หรงฉิง นางยกมือขึ้นหมายจะแตะคอของมู่หรงฉิง ทว่าชุ่ยเอ๋อร์ซึ่งมักจะหลุบสายตามองพื้นเสมอกลับก้าวไปขวางเบื้องหน้าโดยปิดกั้นการเคลื่อนไหวของมู่หรงยวี่ "ได้ยินมาั้แ่ก่อนหน้าแล้วว่า คุณหนูรองในจวนกวงลู่ซื่อชิงมีความสามารถทั้งมีหน้าตาสะสวยงดงาม สิ่งสำคัญไปกว่านั้นคือเป็คนที่จิตใจดีมาก เมื่อได้เห็นวันนี้ปรากฏว่าชื่อเสียงคำเล่าลือไม่สู้ได้พบหน้า สมกับคำร่ำลือจริงๆ บ่าวชุ่ยเอ๋อร์ น้อมทักทายคุณหนูรองมู่หรง"
มู่หรงยวี่ถูกชุ่ยเอ๋อร์ขวางไว้จึงเกิดความรู้สึกขุ่นเคือง ทว่าในจังหวะที่นางกำลังจะะเิอารมณ์กลับได้ยินคำชื่นชมจากชุ่ยเอ๋อร์ นางดีใจจนตัวลอยอยู่ชั่วครู่หนึ่ง "เ้าคือสาวใช้ในจวนเฉินใช่หรือไม่? ปรากฏว่าเ้ารู้กฎมารยาทมากกว่าสาวใช้เคียงข้างพี่หญิงพวกนั้นเสียอีก" หลังจากพูดจบก็เบี่ยงสายตามองมู่หรงฉิง "พี่หญิงช่างโชคดีจริงๆ แม้กระทั่งคนใช้ยังเลือกสิ่งที่ดีสำหรับเ้า จะเหมือนกับข้าได้อย่างไร เคียงข้างก็มีแต่ฟางเอ๋อร์คนเดียวเท่านั้น ทั้งยังเงอะงะซุ่มซ่ามอีกต่างหาก”
“บ่าวโง่เขลา” ฟางเอ๋อร์คุกเข่าลงกับพื้นด้วยท่าทางตื่นตระหนกทันทีที่ได้ยินคำพูดของมู่หรงยวี่
ครั้นเห็นว่าทั้งเ้านายทั้งบ่าวกำลังจะแสดงละครอีกหน มู่หรงฉิงจึงไม่มีความรู้สึกใคร่สนใจใดๆ "น้องหญิงพูดเช่นนี้ได้อย่างไรกัน? สาวใช้ระดับหนึ่งเคียงข้างฮูหยินผู้เฒ่าเฉินมีชื่อว่าฟางเอ๋อร์เช่นเดียวกัน ฟางเอ๋อร์เป็คนที่มีความรอบคอบ ใส่ใจเ้านายและมีความพิถีพิถันไม่ด้อยไปกว่าชุ่ยเอ๋อร์ เนื่องจากมีชื่อที่เหมือนกันได้ คิดว่าฟางเอ๋อร์ของน้องหญิงคงไม่ต่างกันมาก" หลังจากนั้นถึงได้หันไปถามชุ่ยเอ๋อร์ "ใช่หรือไม่ ชุ่ยเอ๋อร์?”
“บ่าวหวาดกลัว พวกบ่าวขอเพียงทำให้เ้านายสบายใจเท่านั้น” ชุ่ยเอ๋อร์ลดสายตา ยืนอยู่เบื้องหน้ามู่หรงฉิง ถึงกระนั้นนางกลับไม่ได้กระวนกระวายแม้แต่น้อย ท่าทีนอบน้อมแต่ไม่ต่ำต้อยช่างเป็คนที่หาได้ยากจริงๆ