หลี่หรูอี้กล่าวว่า “ดูแล้ววันนี้พวกท่านคงมีเวลามาก ไม่รีบร้อนกลับกันกระมัง”
เหอซานส่ายหน้า ในดวงตาเต็มไปด้วยประกายจริงใจ “ไม่ พวกเราต้องรีบกลับ เพียงแต่หากไม่ได้เห็นก๋วยเตี๋ยวน้ำที่เ้าพูดกับตาและไม่ได้ชิมกับปาก พวกเราก็ไม่อาจควักเงินจำนวนมากเพื่อซื้อสูตรไปได้”
“ข้าอยากทำให้พวกท่านชิม เพียงแต่ในบ้านขาดวัตถุดิบสำคัญเ้าค่ะ”
หูเอ้อร์มีใบหน้าหดหู่ “อา... ไม่มีวัตถุดิบสำคัญ เช่นนั้นจะทำอย่างไร”
เหอซานไม่เชื่อคำพูดของหลี่หรูอี้ จึงกล่าวไปว่า “วัตถุดิบสำคัญมิใช่แป้งหรือ บ้านเ้าไม่มีกระทั่งแป้งหรืออย่างไร ต่อให้ไม่มี ทั่วทั้งหมู่บ้านของพวกเ้าจะไม่มีเชียวหรือ”
หลี่หรูอี้ปรายตามองเหอซานแล้วกล่าวว่า “ไม่ วัตถุดิบสำคัญที่ข้าว่าคือ วัตถุดิบที่ใช้ทำน้ำแกง ไม่ใช่แป้งที่เอามาทำเส้นก๋วยเตี๋ยว”
เหอซานคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาทำก๋วยเตี๋ยวน้ำมาหลายสิบปีแล้ว ไม่ว่าน้ำแกงอะไรก็เคยทำมาแล้วทั้งสิ้น จะทำให้เขาลำบากใจได้อย่างไรกัน สิ่งสำคัญก็คือ เส้น เขาอยากดูสักหน่อยว่า เส้นก๋วยเตี๋ยวชนิดนี้กับก๋วยเตี๋ยวที่เขาเคยทำจะมีอะไรแตกต่างกันบ้าง “ก๋วยเตี๋ยวน้ำก็คือน้ำแกงและเส้นก๋วยเตี๋ยว เื่น้ำแกง ขอเพียงเ้าอธิบายด้วยปากเปล่าพวกเราย่อมกลับไปทำได้ เ้าก็ทำเส้นให้พวกเราดูก็พอ”
หลี่หรูอี้กล่าวอย่างมีความสุข “เช่นนั้นก็พูดกันง่ายแล้ว ข้าจะไปทำเดี๋ยวนี้”
เหอซานพยักหน้า “ดี”
“พวกท่าน คราวหน้าก่อนมาก็ส่งคนมาแจ้งพวกเราปากเปล่าเสียก่อนเถิด ข้าจะได้เตรียมวัตถุดิบไว้ เมื่อเป็เช่นนี้หากพวกท่านมาถึงก็จะได้กินอาหารชนิดใหม่ที่ข้าทำทันที” หลี่หรูอี้ไม่สนใจว่าหูเอ้อร์และเหอซานได้ยินแล้วจะโกรธหรือไม่ ก่อนออกจากห้องโถงยังกล่าวตามใจคิดไปด้วยว่า “อีกอย่าง หากคราวหน้าพวกท่านมาที่บ้านข้าอีกอย่าไปะโเรียกชื่อข้าอยู่ที่หน้าบ้านเช่นนั้น ต่อให้ข้าจะเป็เพียงเด็กหญิง แต่ชื่อของข้าก็ไม่ใช่สิ่งที่จะให้คนนอกรู้ได้ตามใจ ข้ากับพวกท่านเป็คู่หูที่ทำการค้ากันอย่างเท่าเทียม พวกท่านต้องให้เกียรติข้าบ้าง”
หูเอ้อร์หน้าแดง คนที่เรียกชื่อหลี่หรูอี้เมื่อครู่ก็คือเขา “ขออภัย เมื่อครู่ข้าบุ่มบ่ามเกินไป”
เหอซานจนปัญญากับศิษย์พี่ผู้นี้แล้ว เขากล่าวยิ้มๆ “ศิษย์พี่ของข้ามีจิตใจบริสุทธิ์ เขาไม่ได้คิดมากเพียงนั้น คุณหนูหลี่โปรดอภัยด้วย”
หลี่หรูอี้เห็นทั้งสองขออภัยอย่างจริงใจจึงไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยอีก ทำเพียงเดินไปทางห้องครัว
หลี่เจี้ยนอันกล่าวว่า “ต่อไปหากพวกท่านมาบ้านข้าก็ให้เรียกข้า ข้าชื่อหลี่เจี้ยนอัน เป็บุตรชายคนโตของบ้าน เป็พี่ชายคนโตของน้องสาว”
หูเอ้อร์ลูบศีรษะของตนแล้วกล่าวอย่างกระอักกระอ่วน “ครั้งที่แล้วเ้าเคยบอกแล้ว เพียงแต่ข้าหัวช้าเกินไปเลยจำไม่ได้”
เหอซานยิ้มบางๆ “คราวนี้ข้าจำไว้แล้ว”
หลี่ซานเห็นบุตรชายคนโตพูดจาได้อย่างคล่องแคล่วเหมาะสม จึงมองไปทางบุตรชายอีกสามคน ก็พบว่าพวกเขาพูดกับพวกหูเอ้อร์ได้อย่างคล่องแคล่วเช่นกัน ดีกว่าตนเองมากนัก ได้แต่คิดในใจว่า พวกเขาไม่ได้เรียนหนังสือเสียเปล่าจริงๆ บุตรชายเก่งกว่าบิดาแล้ว
บุตรชายเก่งกว่าเขา เขาจึงรู้สึกยินดี
ในห้องครัว
หลี่หรูอี้นวดแป้งด้วยตนเอง มีหลี่สือยืนเพ่งสมาธิดูอยู่ข้างๆ ส่วนครอบครัวอู่ยังไม่ได้รับความไว้วางใจจากหลี่หรูอี้ ตอนนี้จึงยังไม่เหมาะที่จะมายืนอยู่ในห้องครัว
สิ่งที่หลี่หรูอี้ทำก็คือ ฮุ่ยเมี่ยน[1] เนื้อแพะที่มีชื่อเสียงโด่งดังในที่ราบภาคกลางของโลกก่อน
ต้นกำเนิดของฮุ่ยเมี่ยนอยู่ที่เหอหนาน ที่นั่นอุดมไปด้วยธัญพืช คนเหอหนานมีฝีมือในด้านการทำอาหารประเภทแป้งเป็อย่างมาก พวกเขาสร้างสรรค์อาหารประเภทแป้งออกมามากมายหลายชนิด ในหมู่อาหารเ่าั้ ฮุ่ยเมี่ยนเป็หนึ่งในสามอาหารที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดของเหอหนาน เป็หนึ่งในสิบก๋วยเตี๋ยวที่มีชื่อเสียงที่สุดในประเทศจีน
ฮุ่ยเมี่ยน มีเส้นที่อร่อยและน้ำแกงรสดี มีทั้งเนื้อและผัก
ฮุ่ยเมี่ยนเนื้อแพะคือ ฮุ่ยเมี่ยนประเภทหนึ่ง ใช้เนื้อแพะเป็วัตถุดิบหลักในการทำน้ำแกง เสริมด้วยเนื้อแพะตุ๋น หวงฮวา เห็ดหูหนู ผักชี และอื่นๆ
ครอบครัวหลี่ไม่มีเนื้อแพะ ตำบลจินจีมีร้านขายเนื้อหมู แต่ไม่มีร้านขายเนื้อแพะ มีเพียงตลาดในอำเภอฉางผิง ที่มีเพียงเดือนละสามครั้งเท่านั้นจึงจะมีเนื้อแพะขาย เมื่อครู่ที่หลี่หรูอี้กล่าวว่า ไม่มีวัตถุดิบหลักจึงไม่ใช่การพูดโกหก
ฮุ่ยเมี่ยนถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า เฉ่อเมี่ยน (ก๋วยเตี๋ยวดึงเส้น) ในตอนนวดแป้งจะต้องใส่เกลือและโซดา (โซดาไบคาร์บอเนตหรือด่างทำขนม) ลงไปด้วยเล็กน้อย จากนั้นก็นวดซ้ำไปซ้ำมาจนแป้งนุ่ม ทำให้ผิวแป้งเนียน
ในโลกก่อนหลี่หรูอี้ทำอาหารจานแป้งมากมาย ฮุ่ยเมี่ยนก็เป็หนึ่งในนั้น เพียงไม่นานนางก็นวดแป้งเสร็จ
เมื่อนวดแป้งเสร็จแล้วต้องพักไว้ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงใช้เวลานี้ไปทำน้ำแกง
ไม่มีเนื้อแพะจึงต้องใช้เนื้อหมูแทน นางนำเนื้อหมูที่มีมันหมูแทรกอยู่มาสับ และนำไปทำเป็น้ำแกงหมูขลุกขลิกสำหรับคลุกกับเส้น
น้ำแกงส่งกลิ่นหอมกรุ่น นางต้มน้ำเพียงครึ่งหม้อ เมื่อน้ำเดือดแล้วก็นำก้อนแป้งมาแบ่งออกเป็ก้อนๆ กดก้อนแป้งให้เป็แผ่น จากนั้นจึงดึงแผ่นแป้งจากทั้งสองฝั่งให้กลายเป็เส้นยาวๆ แล้วใส่ลงไปในหม้อที่มีน้ำร้อนๆ รอเพียงไม่นานก็สุกแล้วจึงช้อนเส้นขึ้นมาได้
ตอนนี้ฮุ่ยเมี่ยนหมูสับยังไม่เสร็จสมบูรณ์ หลี่หรูอี้โรยต้นหอมสีเขียวและผักดองหลากสีสันลงไป้าอีกเล็กน้อย
หลี่สือยกฮุ่ยเมี่ยนชามใหญ่เข้าไปในห้องโถง กลิ่นหอมโชยเข้าจมูก หูเอ้อร์และเหอซานรีบเข้ามาดู เพียงได้เห็นและได้กลิ่นของน้ำแกง ก็รู้สึกว่าก๋วยเตี๋ยวชามนี้น่าอร่อยยิ่งนัก เมื่อสังเกตเส้นให้ละเอียด พบว่ามีลักษณะแตกต่างจากเส้นก๋วยเตี๋ยวทั่วไป ทั้งบางและโปร่งใส เห็นได้ถึงความประณีต
หูเอ้อร์และเหอซานคิดว่าพวกตนเป็ปรมาจารย์ด้านก๋วยเตี๋ยวแล้ว ฝีมือในการทำก๋วยเตี๋ยวอยู่ในสามอันดับแรกของภาคเหนือ แต่กลับไม่เคยเห็นก๋วยเตี๋ยวเช่นนี้มาก่อน
เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคนจริง
คราวที่แล้วเป็แป้งย่างใส่ไข่ คราวนี้เป็ก๋วยเตี๋ยว หลี่หรูอี้ทำให้พวกเขาได้เปิดหูเปิดตาอีกครั้งแล้ว
ไม่ต้องกล่าวถึงหูเอ้อร์เลย กระทั่งเหอซานก็ยังไม่อาจสงบความตื่นเต้นในใจได้ เขากล่าวเสียงดังว่า “นี่เรียกว่าก๋วยเตี๋ยวอะไร”
หลี่หรูอี้รู้อยู่แล้วว่าพวกเขาสองคนจะมีท่าทางเช่นนี้ จึงกล่าวไปพร้อมรอยยิ้มบางๆ ว่า “เรียกว่าฮุ่ยเมี่ยน แต่น้ำแกงที่ใช้ไม่ใช่น้ำแกงที่ข้าจะสอนพวกท่านแต่แรก”
หูเอ้อร์เอ่ยถามว่า “ฮุ่ยเมี่ยน? ฮุ่ยตัวไหน”
หลี่หรูอี้ยกมือเขียนตัวอักษรฮุ่ย (烩) บนโต๊ะ จากนั้นจึงให้ทุกคนชิมฮุ่ยเมี่ยนหมูสับที่เพิ่งออกมาจากหม้อใหม่ๆ
ฮุ่ยเมี่ยนเป็อาหารประเภทก๋วยเตี๋ยวน้ำชนิดหนึ่ง ก๋วยเตี๋ยวน้ำจะต้องกินตอนร้อนๆ
พวกเขาสองคนทราบดีว่าไม่อาจทำเพียงมองแต่ไม่ยอมกิน เมื่อคิดได้เช่นนี้จึงรีบยกตะเกียบขึ้นมาเริ่มกินทันที
หลี่หรูอี้รอให้พวกเขากินไปก่อนหลายคำแล้วค่อยถามขึ้นว่า “เป็อย่างไรบ้าง”
หูเอ้อร์กล่าวเพียงหนึ่งคำว่า “ดี”
ส่วนเหอซานกล่าวว่า “เส้นก๋วยเตี๋ยวอร่อยจริงๆ น้ำแกงก็ดี นี่ผักอะไรกัน มีรสเปรี้ยว ช่วยให้อยากอาหารและลดเลี่ยนหรือ”
หลี่หรูอี้กล่าวตอบ “ผักดองที่บ้านข้าทำเองเ้าค่ะ”
เหอซานกล่าวขึ้นว่า “ผักดองชนิดนี้นำมากินคู่กับก๋วยเตี๋ยวน้ำแล้วอร่อยยิ่งนัก”
คนบ้านหลี่รวมถึงครอบครัวอู่ทั้งสี่คนกินฮุ่ยเมี่ยนไปคนละชาม เมื่อได้เติมเต็มความอยากอาหารก็รู้สึกพึงพอใจยิ่งนัก รู้สึกสบายไปทั้งกระเพาะ บนใบหน้าของแต่ละคนเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
หูเอ้อร์และเหอซานกินเสร็จก็เดินไปหารือกันด้านนอกครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกลับมาที่ห้องโถงแล้วเสนอราคาให้หลี่หรูอี้ “ห้าสิบตำลึง”
แป้งย่างใส่ไข่คราวที่แล้วขายไปราคาสามสิบตำลึงโดยไม่รวมค่าคนกลาง ส่วนฮุ่ยเมี่ยนคราวนี้ เพียงราคาที่เสนอครั้งแรกก็เพิ่มขึ้นยี่สิบตำลึงแล้ว เห็นได้ว่าพวกเขามีความจริงใจมากเพียงใด
หลี่หรูอี้ส่ายหน้า “ฮุ่ยเมี่ยนเพียงอย่างเดียวย่อมคู่ควรกับราคานี้ แต่ยังมีน้ำแกงอีกเ้าค่ะ”
“น้ำแกงหมูสับขลุกขลิกพวกเราก็ทำเป็” พวกเขาทำเป็แต่ไม่ได้ใส่ผักดอง รสชาติจึงด้อยกว่าที่หลี่หรูอี้ทำเล็กน้อย
สำหรับผู้สูงศักดิ์แห่งจวนเยี่ยนอ๋องแล้ว หากในอาหารขาดอะไรบางอย่างไปก็จะไม่สมบูรณ์แบบ ย่อมไม่เข้าตา
พวกเขาคิดว่าผักดองตระกูลหลี่มีเพียงหนึ่งไม่มีสอง หาซื้อด้านนอกไม่ได้ คนจวนเยี่ยนอ๋องก็ไม่เคยกิน จึงไม่มีสิ่งใดให้เปรียบเทียบ ดังนั้นย่อมไม่คิดว่าน้ำแกงหมูสับขลุกขลิกที่พวกเขาทำขาดสิ่งใดไป
หลี่หรูอี้ไม่คิดเช่นนั้น นางกล่าวไปอย่างเรียบเฉยว่า “ก่อนหน้านี้ข้าบอกว่า วัตถุดิบไม่พอ น้ำแกงของฮุ่ยเมี่ยนที่ข้าอยากทำไม่ใช่น้ำแกงหมูสับขลุกขลิกนี่เ้าค่ะ”
หูเอ้อร์กล่าวถามว่า “เช่นนั้นเป็น้ำแกงอะไร”
.............................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] ฮุ่ยเมี่ยน เป็ก๋วยเตี๋ยวน้ำสไตล์เหอหนาน ทำด้วยกระดูกแพะ ปรุงด้วยสมุนไพรจีนหลายชนิด ใช้เวลาเคี่ยวอย่างน้อยห้าชั่วโมง เพื่อให้ได้น้ำซุปที่มีสีขาวข้น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้