ต้านิวเบาะปากด้วยความไม่พอใจ ดวงตาที่น่าสงสารคู่นั้นมองไปยังซูฉีเฉียว ไม่เอ่ยปากพูดอะไร แต่ความรู้สึกเศร้าโศกอยู่เงียบๆ ของนางนั้นก็หลั่งไหลออกมา ั้แ่ที่ต้าซวงและเสี่ยวซวงเริ่มพูดและวิ่งไปวิ่งมาได้แล้ว ก็ทำให้มารดาโอบกอดนางน้อยลง ถึงแม้ว่าต้านิวอายุมากกว่าต้าซวงและเสี่ยวซวง แต่เด็กน้อยก็ยังคงชื่นชอบจูบและโอบกอดผู้เป็มารดานี่นา
เมื่อถูกละเลยก็ทำให้รู้สึกไม่ดี ต้านิวก็้าความรักของมารดาเช่นกัน เอ๊ะ! ซูฉีเฉียวยื่นมือไปลูบศีรษะของต้านิวเบาๆ “ต้านิว ไหนบอกแม่สิว่าวันนี้ดูแลน้องสาวทั้งสองดีหรือไม่”
“ดูค่ะ” เมื่อไม่ได้รับความรักจากมารดา ต้านิวกำลังเศร้าโศกเสียใจอยู่ แต่เมื่อถูกมารดาเอ่ยถาม ตัวนางก็จำเป็ต้องตอบคำถาม
“ต้านิวทำได้ดีมาก มา แม่ให้รางวัล มากอดแม่ดีหรือไม่” ยามนี้ต้านิวสะอื้นขึ้นมา เด็กน้อยทำดีโดยการดูแลและเลี้ยงน้องสาว ตอนนี้มารดาได้มอบรางวัลให้แล้ว ดีเหลือเกิน!
ต้านิวยื่นแขนเล็กๆ ออกไป ออกแรงโอบกอดซูฉีเฉียว นางอยากโอบอุ้มมารดามาจูบเหมือนกับที่มารดาอุ้มตนเอง แต่น่าเสียดายที่แขนเล็กๆ นั้นอ่อนแอเกินไป ทำให้ไม่ว่าอย่างไรก็อุ้มมารดาไม่ขึ้น
เมื่อเห็นมารดาที่หัวเราะอย่างมีความสุข ต้านิวจึงชักสีหน้าด้วยความหงุดหงิด “ท่านแม่ หลังจากนี้หากข้าโตขึ้นข้าจะอุ้มท่านแม่ ข้าจะแบกท่านแม่ออกไปเที่ยวข้างนอกเหมือนที่ท่านแม่แบกต้านิว”
ซูฉีเฉียวบีบจมูกน้อยๆ “อืม แม่จะรอเ้าโต ต้านิวของพวกเรายิ่งโตก็ยิ่งรู้ความมากขึ้นแล้วนะ หลังจากนี้หากแม่แก่แล้วก็จะมีต้านิวคอยเลี้ยงดู”
ต้านิวเป็เด็กที่กำลังโต นางกำหมัดแน่น อยากจะเติบโตในเร็ววัน เมื่อเติบใหญ่จะต้องกตัญญูต่อมารดา และพามารดาออกไปเที่ยวข้างนอกอย่างมีความสุข
“ท่านอาสะใภ้ ท่านแม่และท่านพ่อคุยกันอยู่ในห้องมาครึ่งค่อนวันแล้ว จะให้ข้าไปเรียกหรือไม่”
เวลานี้ลูกชายคนโตของครอบครัวเจิ้งเดินเข้ามาหาและพูดถึงบิดามารดาของตนเอง
ยามนี้ซูฉีเฉียวจึงปล่อยต้านิวลงและหันไปมองเด็กน้อย “อ้อ ทะเลาะกันหรือ รู้หรือไม่ว่าพวกเขาพูดคุยเื่อันใดกัน”
สองคนนั้นคงไม่ใช่ว่าได้ใช้ชีวิตที่ดีด้วยกันแค่ไม่นานก็ถูกคนอื่นทำให้บาดหมางกันแล้วหรือ
“รายละเอียดเฉพาะเจาะจงนั้นข้าไม่รู้ แต่ว่าั้แ่ที่ญาติของท่านมาหาท่านพ่อของข้า ท่านแม่ก็โกรธจนลากท่านพ่อเข้าไปคุยในห้อง จากนั้นพวกเขาก็พูดคุยอยู่ในนั้นไม่หยุด จนถึงยามนี้ก็ยังไม่ออกมา ท่านแม่ของข้าร้องไห้ด้วย พวกข้าอยากจะเข้าไปปลอบ แต่พวกเขาไม่ยอมเปิดประตู…” เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ เด็กน้อยก็แสดงสีหน้าเศร้าสร้อยออกมา
ซูฉีเฉียวก่ายหน้าผาก ดูท่าทางน้าสะใภ้สามของนางจะไม่ธรรมดาแล้วกระมัง ผ่านไปแป๊บเดียวก็ทำให้เกิดความร้าวฉานในครอบครัวของผู้อื่นเสียแล้ว
“ท่านอาสะใภ้ ท่านไปโน้มน้าวท่านพ่อท่านแม่ข้าหน่อยเถิด ข้าไม่อยากให้พวกเขาทะเลาะกัน และไม่อยากให้ญาติคนนั้นของท่านมาที่บ้านของข้าอีก ข้าไม่อยากมีท่านแม่เพิ่มอีกหนึ่งคน…” เด็กน้อยเอ่ยประโยคสุดท้ายออกมาเสียงแ่ แต่เหมือนคำพูดนั้นจะฟาดเข้ามาที่ใบหน้าของซูฉีเฉียวเข้าเต็มๆ
นางฝืนยิ้มก่อนจะลูบใบหน้าของเด็กน้อย “อย่าพูดจาเช่นนี้สิ จะมีท่านแม่สองคนได้อย่างไรกัน ข้าจะเข้าไปดู พาน้องๆ ออกไปเล่นข้างนอกกันก่อน ดูแลพวกนางด้วย”
“อื้อ ท่านอาดีที่สุดเลย ท่านแม่ก็เคยพูดว่าท่านอาเป็คนดีที่สุด เพียงแค่ว่าญาติพี่น้องของท่านอาเป็คนไม่ดี พวกเขาเป็คนเลว” เด็กน้อยกำหมัดแน่นเพื่อแสดงความเคารพแล้วก็ได้พาเด็กคนอื่นๆ ไปเล่นข้างนอก
เด็กน้อยที่ซุกซนเ่าั้ พวกเขาเป็เด็กที่รู้เื่รู้ราวแต่ก็ไม่รู้เื่รู้ราวเช่นกัน หรือจะบอกว่าพวกเขาไม่รู้เื่อะไรเลย แต่ก็เหมือนว่าจะรู้ความสักเล็กน้อย
หลังจากส่งเด็กๆ ออกห่างจากตัวบ้านแล้ว ซูฉีเฉียวก็หันกลับไปและเดินเข้าไปหาสองสามีภรรยาสกุลเจิ้งที่อยู่ในบ้าน บ้านของครอบครัวเจิ้งมีห้าห้อง ห้องปีกซ้ายขวาข้างละสองห้อง สองสามีภรรยานอนในห้องที่แยกออกไปจากห้องครัวเล็กน้อย
เมื่อเข้าไปใกล้มากขึ้น จึงได้ยินเสียงร่ำไห้อันแ่เบา
“เ้าพูดมาสิ พอชีวิตของพวกเราดีขึ้นก็เริ่มนอกใจข้าแล้วหรือ เ้าทำเช่นนี้กับข้าได้อย่างไร ทำเช่นนี้กับลูกๆ ได้อย่างไรกัน ต้าหลางอายุยี่สิบปีแล้ว อีกไม่กี่ปีก็จะต้องสู่ขอภรรยาให้เขาอยู่แล้ว เ้ากำลังจะดีขึ้นก็ไปคอยประคองหลังผู้อื่น หญิงคนนั้นชักจูงเ้า เ้าก็ทำตามอย่างโง่งมเช่นนี้เลยหรือ… เ้า…เ้าเหตุใดไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีเลย…”
“เพียะ เพียะ…” เสียงร้องไห้ดังขึ้นมาและมีเสียงทุบตีดังขึ้นมาด้วย
“เฮ้อ เ้าโวยวายหาเื่ทะเลาะ ด่าทอข้าอยู่ตั้งนานยังไม่ยอมหยุดอีกหรือ ข้าบอกเ้าแล้วว่านางแค่ล้มตรงหน้าข้า ข้าเข้าไปประคองนางตามสัญชาตญาณ ข้า…ข้าถูกชักจูงที่ไหนกัน ภรรยาเช่นเ้าเหตุใดถึงไม่ยอมหยุด เ้าไม่รู้หรือว่าข้าเป็คนอย่างไร พวกเราอยู่ด้วยกันมาตั้งหลายปี หากว่าข้าทำตัวเสเพลจริงๆ คิดว่าข้าจะไม่ละอายใจเลยหรือ พวกเราไม่พูดเื่นี้กันแล้ว หยุดได้หรือไม่”
“เ้ามันทำตัวซี้ซั้ว ข้าเห็นว่าเ้าโอบเอวนาง เ้าไม่รู้สึกตัวเลยหรือที่เ้ามองนางเช่นนั้นน่ะ หากข้าไม่กลับมา พวกเ้าทั้งสองคนจะต้องคลอเคลียกันแน่ ข้าจะบอกให้นะตาเฒ่าเจิ้ง เ้าช่างมีความสามารถจริงๆ เห็นใครหน้าตาดีสักหน่อยก็จะเข้าไปประคอง หากที่บ้านไม่มีคนอยู่ เ้าก็คงจะไปร่วมหลับนอนกับนางแล้วกระมัง เฮ้อ…ข้าจะบีบคอเ้า จะบีบคอเ้าให้ตาย”
“ไอ้หยา นี่ภรรยา ข้าเจ็บ เจ็บ…”
“ข้าจะทำให้เ้าเจ็บ เ้าเจ็บได้เท่าข้าหรือไม่”
เมื่อได้ยินเสียงดังออกมาจากในห้องอีกครั้ง ซูฉีเฉียวก็รีบเข้าไปเคาะประตูทันที หากปล่อยให้ทั้งคู่มีปากเสียงกันต่อไป เกรงว่านายเจิ้งผู้ซื่อสัตย์จะต้องคุกเข่าอย่างไร้เรี่ยวแรงก่อนแน่
“ท่านอาสะใภ้เจิ้ง อา คนหายไปไหนกันหมดแล้วเล่า เหตุใดประตูเปิดแต่ไม่มีคนเลย”
คนทั้งคู่ที่อยู่ในห้องเมื่อได้ยินเสียงเอ่ยทักทายก็ใจนตัวสั่นขึ้น นางเจิ้งรีบปาดน้ำตาและจ้องมองไปยังผู้นำตระกูลเจิ้งที่รู้สึกอึดอัดไม่สบายใจ “หลบไปเสีย วันนี้ข้าไม่ให้เ้านอนที่ห้อง ข้าจะออกไปหาแม่หนู”
ผู้นำตระกูลเจิ้งออกไปจากห้องด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
เฮ้อ ภรรยาไม่ให้นอนที่ห้อง วันนี้ก็คงจะต้องไปนอนที่ห้องของลูกคนเล็กแล้ว
เมื่อปาดน้ำตาเสร็จ นางเจิ้งก็รีบไปเปิดประตูทันที “แม่หนู รีบเข้ามาคุยกันในบ้านเร็ว”
ซูฉีเฉียวแสร้งแสดงสีหน้าราวกับไม่รู้เื่อะไร เดินยิ้มเข้าไปด้านใน
“มา กินผลไม้สักหน่อย นี่เป็ผลไม้ที่บิดาของพวกเด็กๆ ไปเก็บมาสดๆ เลยเชียว”
นางนำผลไม้แห้งมาวางเอาไว้บนโต๊ะ ซูฉีเฉียวเองก็บอกให้อาสะใภ้กินด้วยกัน
“โธ่ สามีท่านนี่เป็คนดีจริงๆ ข้าไม่โชคดีเหมือนท่านเลย เฮ้อ…”
เมื่อพูดเื่เศร้า อาสะใภ้เจิ้งผู้ไม่เคยได้รับความรู้สึกอันแสนคับข้องใจก็เริ่มตาแดงขึ้นมาอีกครั้ง นางแต่งงานกับนายเจิ้งมาตั้งนาน ใช้ชีวิตด้วยความลำบากยากแค้นมาตลอด แต่นางก็ไม่เคยบ่น นั่นเป็เพราะนายเจิ้งเป็คนที่พึ่งพาได้และซื่อสัตย์
แต่ยามนี้มีลูกกันถึงห้าคนแล้ว แต่สามีกลับไปวุ่นวายกับสตรีอื่น เพียงแค่นึกถึงหญิงสาวนางนั้นที่มองมายังนางด้วยสายตาดูถูกก่อนกลับออกไปแล้วนั้น นางเจิ้งก็ให้รู้สึกราวกับมีไฟลุกโชนอยู่ในใจนาง
“ท่านอาเจิ้งของพวกเราเป็คนอย่างไร ข้าเห็นด้วยตาตนเองดี ท่านอาสะใภ้ พูดไปก็คงเป็การเอาเื่ในครอบครัวมาพูด แต่ข้าได้ยินมาว่าคนในครอบครัวของข้าคนหนึ่ง…มาที่นี่ คิดไม่ถึงเลยว่าข้าจะมาช้าไปเพียงก้าวเดียว พวกท่านทั้งคู่ถึงได้ทะเลาะกันเพราะนาง ข้าคงจะต้องพูดความจริงอะไรสักหน่อย หากท่านกับสามีทะเลาะกัน เื่นี้คนอื่นจะได้ผลประโยชน์”
นางเจิ้งปาดน้ำตาและเงยหน้าขึ้น “หา? เ้าหมายความว่า เื่ของครอบครัวข้ากับหญิงสารเลวคนนั้นถูกแพร่ออกไปข้างนอกอย่างนั้นหรือ”
ซูฉีเฉียวพยักหน้าด้วยความลำบากใจ
“สองคนนั้น” นางเจิ้งโมโหมาก นางลุกขึ้นเพื่อจะไปตามนายเจิ้งมาสอบถาม
น่าสงสารนายเจิ้งที่แอบฟังอยู่ด้านนอก เวลานี้เขาใจนตัวสั่น มือทั้งสองข้างประสานเข้าหากัน เทพเซียนบน์ ขอให้แม่หนูฉีช่วยโน้มน้าวภรรยาของเขาให้ได้ด้วยเถิด หากโน้มน้าวไม่สำเร็จแล้วมาคิดบัญชีกับเขา เขา…จะต้องผิดเต็มประตูแน่
...ฉีเฉียวเองก็ยากที่จะตัดสินเช่นกัน
“ท่านอา หากตอนนี้ท่านออกไปหาสามีของท่านและหญิงหน้าไม่อายคนนั้น ข้าจะไม่ห้าม ทว่าั้แ่นี้เป็ต้นไปมันจะเป็การยืนยันเื่ที่ชัดเจนของสามีท่านและหญิงคนนั้น เมื่อถึงเวลาที่ต้าหลางจะแต่งงาน รวมไปถึงชื่อเสียงต่างๆ จะได้รับผลกระทบไปด้วยหรือไม่ เื่นั้นข้าก็ไม่สามารถล่วงรู้ได้”
เมื่อได้ยินนางเอ่ยเช่นนี้ อาสะใภ้เจิ้งที่กำลังเร่งรีบก็หยุดชะงักทันที ไม่มีมารดาคนไหนที่จะยินยอมให้บุตรสาวและบุตรชายของตนเองได้รับความผิดพลาดไปตลอดชีวิตแน่ โดยเฉพาะหญิงผู้มีคุณธรรมอย่างนางก็ไม่มีทางที่จะยอมให้เกิดสิ่งนั้นแน่นอน
อาสะใภ้เจิ้งมองไปที่นางด้วยท่าทีอ่อนระโหยโรยแรง ก่อนจะตบขาฉาดใหญ่ “แม่หนู ข้าโกรธเหลือเกิน เ้าว่าเหตุใดใช้ชีวิตมาจนแก่เฒ่าถึงเพียงนี้แล้วจึงได้มีเื่เช่นนี้เกิดขึ้นได้นะ ฮือ…ข้าโกรธยิ่งนัก เหตุใดดวงตาของข้าไม่มองอะไรให้เห็นชัดเจนกว่านี้นะ”
“ท่านเห็นสองคนนั้นหลับนอนด้วยกันแล้วหรือเ้าคะ” ซูฉีเฉียวปวดหัวจนต้องยกมือขึ้นมานวดขมับ หญิงคนนี้เมื่ออารมณ์ความรู้สึกถูกกัดเซาะ เหตุใดจึงได้มองอะไรก็ไม่ชัดเจนไปแบบนี้นะ
“เื่นั้น…ไม่เห็น” นางเจิ้งส่ายหน้าสะอื้น แล้วก็กัดฟัน “แต่ข้าเห็นพวกเขาโอบกอดกันกลม หากข้ากลับมาไม่ทันเวลา สองคนนั้นคงต้องพากันขึ้นเตียงแน่ ระยะนี้ญาติคนนั้นของเ้ามักจะชอบใช้โอกาสยามสามีและลูกของข้าอยู่บ้านเพื่อมาหาเขา เมื่อข้ากลับมานางก็ชอบหาข้ออ้างว่ามายืมนั่นยืมนี่ ของที่บ้านหลายอย่างถูกนางยืมไป ตอนนี้ก็ยังจะมามีจุดมุ่งหมายไปที่บุรุษของข้าอีก หญิงคนนี้ยิ่งคิดถึงข้าก็ยิ่งโมโห ตอนนี้ข้าจะไปคิดบัญชีกับนาง…”
เมื่อเอ่ยจนเกิดความโกรธขึ้นมา นางเจิ้งก็เริ่มจิตใจไม่สงบถกแขนเสื้อเพื่อจะไปคิดบัญชี ซูฉีเฉียวโกรธมากและกดแขนของนางเจิ้งลงบนโต๊ะ “ข้าว่าท่านแก่เกินไปแล้ว คนเ้าเล่ห์เพทุบายขนาดนั้นท่านยังมองไม่ออกเลยหรือ ท่านบอกว่าท่านกับสามีเป็สามีภรรยากันมาหลายปี เหตุใดจึงไม่มีความเชื่อใจกันสักนิดเลยเล่า”
เมื่อเห็นแววตาอันโง่งมของนางที่มองมายังตนเอง ซูฉีเฉียวก็ไม่ไว้หน้าอีกต่อไป
“หากคิดว่าสามีของท่านเป็คนเลวจริงๆ ท่านจะอยู่กับเขามาได้เป็สิบๆ ปีเลยหรือ หากรู้สึกว่าเขาเป็คนไม่ดี ท่านจะยอมมีลูกให้เขามากมายขนาดนี้หรือ สามีภรรยาที่อยู่ร่วมกันมาสิบกว่าปีไม่สามารถเอาชนะแผนการเล็กๆ ของใครบางคนได้เลยหรือ หากทะเลาะกับสามีเพราะเื่เช่นนี้แล้วไปหาเื่วิวาทกับหญิงนางนั้น ข้าคงจะรู้สึกดูถูกท่านมาก หากทะเลาะกันจนหย่าร้างไป ข้าก็จะไม่เห็นใจท่าน เพราะท่านสมควรโดนแล้ว ท่านไปหาเื่เอง ท่านไม่เชื่อมั่นในตนเอง ท่านถูกคนนำมาใช้เป็เครื่องมือ อีกทั้งยังไปร่วมเป็ตัวแสดงให้พวกเขาดูด้วย”
การถูกต่อว่าในครั้งนี้ แม้แต่นายเจิ้งที่อยู่ด้านนอกต่างก็ตกตะลึงกับคำต่อว่านั้น เหมือนว่าภรรยาของเขาจะถูกด่าทอจนเละเทะเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าเื่นี้จะเป็ความจริง แม้ว่าภรรยาของเขาไม่ควรคาดเดาเื่ของเขาไปส่งเดชแบบนั้น แม้ว่าเขาจะยอมรับว่าตอนที่โอบหญิงนางนั้นที่กำลังจะล้มลง เขา…เหมือนจะมีความรู้สึกฟุ้งซ่านขึ้นมา แต่พูดตามความสัตย์จริง ในใจของเขามีเพียงลูกๆ และภรรยาเท่านั้น เขาจะไม่มีทางทำเื่ที่ผิดต่อภรรยาแน่นอน ความรู้สึกสับสนในชั่วขณะนั้น…ตัวเขาเองก็ไม่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจน
“ท่านอาสะใภ้ ข้าไม่ได้ว่าท่านนะ ท่านใจร้อนเกินไป การที่ร้อนใจไม่ได้เป็เื่ไม่ดี แต่การทำอะไรหุนหันพลันแล่นเช่นนี้เป็โรคที่ต้องได้รับการรักษา ท่านพูดออกมาสิว่าสามีของท่านเป็คนดีมากเพียงใด เขากับหญิงคนนั้นที่มาที่นี่เพียงไม่กี่วัน จะทำเื่ไม่ดีกับนางและทอดทิ้งท่านและลูกๆ ไปได้หรือ ท่านทำอย่างกับสามีตนเองเป็หมูเป็หมา เขาจะโง่เขลาขนาดนั้นเชียวหรือ จะทิ้งภรรยาที่ดีเช่นท่านได้หรือ ทั้งหมดนั้นลองค่อยๆ ใคร่ครวญดูให้ดี เหตุใดหญิงคนนั้นจึงได้กล้าทำเช่นนี้ นางมีจุดประสงค์อะไร ตั้งใจจะทำลายครอบครัวของท่านอา หรือว่ามีเจตนาอะไรกันแน่ หาก้าทำลายครอบครัวของท่านอาจริงๆ ถ้าเช่นนั้นก็ทำให้นางเห็นไปเสียเลยว่าครอบครัวของท่านอามีชีวิตที่ดีมากเพียงใด”