ทันทีที่เหล่าศิษย์บุกเข้าไปด้านใน และเปิดแผ่นไม้ในห้องใต้ดินออก กลิ่นผักดองพลันฟุ้งตลบอบอวล เหม็นคลุ้งจนเกินทน นอกจากฝากรอยกระบี่เอาไว้หนึ่งรอย พวกเขาก็ผละจากไปอย่างง่ายดาย
อิ้นฮู่เว่ยจึงรายงานว่า “ท่านเ้าสำนัก พวกเราค้นหาหมดแล้วไม่พบคน คาดว่าสองคนนั้นคงจะหลบหนีไปแล้วขอรับ!”
ลูกศิษย์ขั้นสามผู้หนึ่ง ก้าวไปหาหญิงชราที่ล้มอยู่บนพื้น ก่อนคว้าคอเสื้อยกขึ้นมาถามเสียงดุร้าย “ผู้เฒ่า เ้าเห็นผู้ชายสองคนผ่านมาทางนี้หรือไม่?”
ร่างผอมบางของหญิงชราสั่นสะท้าน ไม่ต่างจากแสงเทียนท่ามกลางสายลมหนาว “ข้าเป็หญิงชราตาบอด จะมองเห็นได้อย่างไร?”
คำพูดที่ลั่นออกจากปากนาง คล้ายจะสร้างความขบขันให้ทุกคน นอกจากเว่ยฉีหรานแล้ว ทั้งอิ้นฮู่เว่ยและเหล่าศิษย์ในสำนักต่างก็หัวเราะเสียงดัง
ถามคนตาบอด ว่ามองเห็นหรือไม่อย่างนั้นหรือ?
ศิษย์ขั้นสามรู้สึกอับอายยิ่งนัก เขาโยนหญิงชราลงกับพื้น จนศีรษะกระแทกดัง ‘ตุ้บ’ ด้วยร่างของนางอ่อนแอจนไม่อาจหยัดยืน จึงได้แต่ร้องครวญครางเสียงอู้อี้ด้วยความเ็ป
เว่ยฉีหรานกวาดตาไปรอบห้อง พอเห็นข้าวของกระจุยกระจาย ดูสกปรกเลอะเทอะ ก็ขมวดคิ้วด้วยความรังเกียจ แล้วเดินผละจากไป
อิ้นฮู่เว่ยจึงกวักมือเรียกทุกคน ให้ติดตามท่านเ้าสำนักไป
จากนั้น หญิงชราก็ค่อยๆ ลุกขึ้น คลำทางไปปิดประตูลงกลอนอย่างแ่า แล้วมุ่งหน้าไปที่ห้องด้านหลัง ซึ่งมีไม้กระดานปิดห้องใต้ดินเอาไว้
“คุณหนู พวกเขาไปแล้ว ออกมาเถอะเ้าค่ะ!”
หนีเจียเอ๋อร์ที่เริ่มอึดอัดหายใจไม่ออก รีบปิดไหผักดอง พลางประคองแขนของโจวชิงหวาให้ลุกขึ้น แล้วค่อยๆ คลานออกมา หลังสูดอากาศบริสุทธิ์ไปเฮือกใหญ่ หนีเจียเอ๋อร์ก็เอ่ยถามด้วยความเป็ห่วง “ท่านยาย เป็อย่างไรบ้าง?”
“ไม่เป็ไรๆ!” หญิงชราส่ายศีรษะ “จำได้ว่ายาที่คุณชายโจวเคยให้ไว้ยังพอมีอยู่ พวกท่านโปรดรอสักครู่ ข้าจะไปหยิบมาให้”
ระหว่างค้นหายาของโจวชิงหวา อีกฝ่ายก็เล่าเื่ของตัวเองให้หนีเจียเอ๋อร์ฟัง เพราะนางเป็เพียงหญิงชราตาบอด หลังจัดงานศพอิ๋งเซียงผู้เป็บุตรสาว ก็มีคนเสนอให้นางเดินทางเข้าเมือง พร้อมมอบทรัพย์สินบางส่วนให้เป็การช่วยเหลือ ทว่านางอยู่บ้านหลังนี้มาตลอดชีวิต จึงทำใจจากไปได้ยาก ดังนั้นตอนนี้ เลยมีแค่บ่าวบางคนที่เทียวมาเยี่ยมเยียน ส่งน้ำส่งอาหารและมอบยาให้นางทุกๆ เจ็ดวัน
“คุณหนู ไม่ทราบว่ายาเหล่านี้จะใช้ได้หรือไม่?” หญิงชราพูดอย่างอ่อนแรง ขณะหยิบยาและสมุนไพรทั้งหมดที่ตนมี ออกจากอกเสื้อมายื่นให้
เดิมที หนีเจียเอ๋อร์คิดจะเลือกสมุนไพรสองสามชนิด มาต้มเป็ยาบรรเทาอาการปวดชั่วคราวให้โจวชิงหวา
แต่คิดไปคิดมา นางก็อยากจะปรุงยาลดไข้เพิ่ม เผื่อไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉินด้วยเช่นกัน
...
ที่ป่าด้านนอก
เว่ยฉีหรานนั่งยองๆ ก้มลงหยิบใบไม้เปื้อนคราบเืที่อยู่บนพื้นขึ้นมา ดวงตาหรี่แคบเป็ประกายวาววับภายใต้เปลือกตา
จากนั้น เขาก็ลุกขึ้นมองไปรอบๆ ซึ่งมีเพียงกระท่อมกลางป่าที่พวกเขาบุกเข้าไปก่อนหน้านี้เพียงหลังเดียวเท่านั้น นอกจากที่นั่น คงไม่มีสถานที่อื่นใดให้ซ่อนตัวอีกแล้ว
“กลับไปดูอีกครั้งสิ!”
พูดจบ เ้าสำนักฝูเซิงก็ใช้วิชาตัวเบาทะยานไปยังรั้วบ้าน แล้วซัดลูกเตะเข้าไปเต็มแรง ด้วยรังสีสังหารที่พุ่งปะทุ
ผู้คนในสำนักรีบตามมาติดๆ อิ้นฮู่เว่ยใช้เท้าเตะประตูไม้เข้าไปในตัวบ้าน ไม่ต้องบอกก็รู้ ว่าประตูเก่าที่ใช้งานมากว่าสี่สิบปีนั้น จะเปราะบางเพียงไร แค่ถูกเตะครั้งเดียวก็พังไปในพริบตา
ทันทีที่ได้ยินเสียงของเว่ยฉีหราน โจวชิงหวาพลันใช้วิชาตัวเบา พาหนีเจียเอ๋อร์พุ่งออกไปทางหน้าต่าง เพื่อป้องกันมิให้หญิงชราต้องพลอยมารับลูกหลงไปกับพวกตน
พอหญิงชราปิดหน้าต่างลง ก็ได้ยินเสียงประตูถูกเตะจนพัง จึงตื่นตระหนกจนทำยาในมือร่วงหล่น
เมื่อเว่ยฉีหรานเข้ามา ก็เห็นนางนั่งยองๆ อยู่บนพื้น พลางคลำหายาไปทั่ว จึงเดินไปเตะอีกฝ่ายให้พ้นทาง ก่อนเปิดหน้าต่าง และพบว่าไร้เงาผู้คน
เหล่าศิษย์ค้นทุกซอกมุมทั่วบ้านอีกครั้ง แม้แต่ห้องใต้ดินก็ยังตรวจตราอย่างแข็งขัน ทว่าไม่พบผู้ใด
ก่อนจากไป อิ้นฮู่เว่ยยังเค้นให้หญิงชรารับสารภาพ ทั้งยังชักกระบี่ หมายจะเอาชีวิตหญิงชราตาบอด แต่ก็ต้องใกับเสียงของเว่ยฉีหราน “ไร้ประโยชน์นัก!”
อิ้นฮู่เว่ยจึงโยนกระบี่ทิ้ง และทรุดตัวลงคุกเข่าด้วยความกลัว จนตัวสั่นเสียยิ่งกว่าหญิงชราที่นั่งอยู่ข้างๆ กัน
ทว่า เว่ยฉีหรานไม่แม้แต่จะปรายตามอง เพียงเดินนำออกจากกระท่อมหลังเล็กนี้อีกครั้ง
...
หลังพาหนีเจียเอ๋อร์ออกจากกระท่อมได้สักพัก โจวชิงหวาก็ไม่อาจทนไหว ยามนี้ร่างเขาซวนเซจวนเจียนจะล้ม และหญิงสาวก็ไม่อาจแบกรับร่างของบุรุษตัวโตได้ ดังนั้นจึงได้แต่ช่วยประคอง และใช้ร่างตัวเองต่างเสืุ่์ เพื่อป้องกันมิให้อีกฝ่ายกระแทกพื้น
ทั้งสองล้มลงกับพื้น หนีเจียเอ๋อร์รู้สึกเหมือนถูกูเาลูกหนึ่งทับ จุกจนหายใจไม่ออก ทั้งแผ่นหลังและต้นขาของนาง ถูกกรวดหินตามทางทิ่มจนปวดแสบไปหมด
จากนั้น หญิงสาวก็ผลักเขาออกไปเบาๆ ก่อนถอนหายใจยาว และหยิบสมุนไพรที่ตกพื้นขึ้นมา พลางหันไปประคองร่างอีกฝ่าย นางต้องทุ่มเทแรงกายอย่างมาก เพื่อขยับเปลี่ยนท่ามาแบกผู้ชายตัวโต ขึ้นหลัง
ด้วยโจวชิงหวาสูงกว่า แม้นางจะพยายามแบกเขาขึ้นหลังแล้ว ขาของชายหนุ่มก็ยังลากพื้นอยู่ดี
ท้องฟ้าเริ่มมืด เสียงสิงสาราสัตว์ดังระงม หญิงสาวจึงต้องใช้แสงจันทร์ต่างโคม ในการเดินทางท่ามกลางม่านราตรี
หนีเจียเอ๋อร์กัดฟันแน่น ยืนหยัดที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างยากลำบาก แม้ว่าจะก้าวเดินไปได้ทีละครึ่งก้าวเท่านั้น
คางของโจวชิงหวาเกยอยู่บนลาดไหล่อันบอบบาง ใบหน้าของเขาใกล้ชิด จนแทบแนบติดไปกับดวงหน้านาง หนีเจียเอ๋อร์รู้สึกได้ว่าผิวของเขาผ่าวร้อนกว่าปกติ จึงรีบพาไปหลบหลังกองฟางในนาข้าวริมถนน แล้วหยิบขวดยาออกจากแขนเสื้อมาป้อนให้ ทว่าชายหนุ่มไม่มีสติมากพอจะกินยาได้ด้วยตัวเอง
หญิงสาวลังเลชั่วครู่ ก่อนประคองใบหน้าอันแดงก่ำด้วยพิษไข้ของเขาขึ้นมา ด้วยระยะใกล้ถึงเพียงนี้ จึงมองเห็นขนตาดกหนาเรียงเป็แพราวกับปีกผีเสื้อได้อย่างชัดเจน นางจรดริมฝีปากเข้ากับอีกฝ่าย เพื่อส่งยาลึกเข้าไปในลำคอ
ตอนนั้นเอง ก็มีเสียงฝีเท้าผู้คนและม้าดังมาแต่ไกล แสงจากคบเพลิงส่องสว่างไสวในคืนมืดมิด นอกจากแสงเ่าั้แล้ว ทุกสิ่งล้วนเป็เพียงเงามืดกลมกลืนไปกับม่านราตรี
ด้วยไม่มีเวลาให้หลบหนี หนีเจียเอ๋อร์จึงได้แต่นอนนิ่ง และรีบใช้หญ้าแห้งมาปกคลุมร่างกายของพวกตนเอาไว้
พอคนกลุ่มนั้นเดินผ่านกองฟางไป หญิงสาวก็คิดว่าน่าจะรอดแล้ว จึงขยับตัวเตรียมนำหญ้าที่อยู่บนร่างของโจวชิงหวาออก
แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงัก เพราะมีเสียงคนเดินย้อนกลับมา นางจึงเงี่ยหูฟัง...
เสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาใกล้ แสงจากคบเพลิงสว่างขึ้น จนหนีเจียเอ๋อร์รู้สึกตื่นตระหนก
กองฟางพลันถูกกระบี่แหวกออก พอหญิงสาวเงยหน้าขึ้น ก็สบเข้ากับใบหน้างดงามของไป๋หาน ที่สะท้อนแสงไฟอย่างเงียบงัน
หนีเจียเอ๋อร์ลุกขึ้นบังร่างของโจวชิงหวา พลางพูดเสียงระรัว “ไป๋หาน โปรดเห็นแก่ที่พวกเราเคยช่วยท่านเอาไว้ ปล่อยข้ากับอาหวาไปเถอะ!”
ดวงตาของสตรีที่ได้ชื่อว่าเป็รองเ้าสำนัก ตวัดไปมองชายหนุ่มซึ่งสลบไสลไม่ได้สติ พลางกล่าวเหยียดหยัน “กล้าแฝงตัวเข้ามาในสำนักฝูเซิงของข้า ทั้งยังปองร้ายเ้าสำนักเช่นนี้ พวกเ้าคงไม่อยากจะมีชีวิตอยู่แล้วกระมัง?”
ว่าแล้ว ก็ทาบกระบี่ยาวไปที่ลำคอของหนีเจียเอ๋อร์ พลางกดลงเล็กน้อย จนเืไหลซิบ
หญิงสาวสะดุ้งด้วยความเ็ป หากแต่ใบหน้าไร้ซึ่งความพรั่นพรึง
“เช่นนั้น ก็ลงมือเถอะ!” เอ่ยจบ ก็หลับตาลง
นางกำลังเดิมพัน ว่าไป๋หานจะมีมโนธรรมมากพอที่จะตอบแทนบุญคุณ ทั้งยังมั่นใจว่าที่อีกฝ่ายจงใจย้อนกลับมาเพียงลำพัง ก็เพราะตั้งใจจะปล่อยพวกเขาไปั้แ่แรก
ไม่นาน ไป๋หานพลันถอนกระบี่ออก สายตาและคำพูดที่กล่าวออกมา ช่างเยือกเย็นนัก “คราวนี้ ข้าจะไม่ฆ่าเ้า ถือเสียว่าทดแทนบุญคุณที่เคยช่วยข้าในเมืองเย่ นับจากนี้ไป ถือว่าไม่มีสิ่งใดติดค้างกันแล้ว ดังนั้น หากคราวหน้าเจอกันอีก ข้าจะเป็คนนำศีรษะเ้าไปมอบให้อาจารย์เอง!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้