เดิมทีอวิ๋นซีนึกไปว่าจวินเหยียนคงจะโกรธจนออกไปแล้วไม่กลับมาอีก แต่มิคาดว่าตนที่เผลอหลับใหลไปได้ครู่หนึ่ง เมื่อตื่นขึ้นมาอีกทีจะเห็นเขาเดินถือถ้วยยาเข้ามาให้ นางมองชายหนุ่มเบื้องหน้าด้วยความเคลือบแคลงเล็กน้อย “เหตุใดท่านยังอยู่ที่นี่อีก? ”
“ภรรยาข้ายังอยู่ที่นี่ แล้วตัวข้าจะไปไหนได้หรือ? ” เขาพูดออกมาอย่างเป็ธรรมชาติยิ่งราวกับพวกเขาเป็สามีภรรยากันจริงๆ ก็ไม่ปาน
ส่วนอวิ๋นซีนั้นกลับทำเพียงพลิกตัวกลับไปอย่างไม่เป็ธรรมชาติ นางไม่คิดมองบุรุษหน้าหนาผู้นี้อีก แต่ก็ยังมิวายอยากถามเสียจริงว่า หานอ๋อง ยามนี้ท่าทีสูงส่งวางอำนาจของท่านหายไปไหนเสียแล้ว? ศักดิ์ศรีท่านละทิ้งไปที่ใดแล้ว? การทำเช่นนี้ยังเห็นแก่หน้าตนอยู่อีกหรือ?
“ข้าเป็ชายชาตรี ไม่ควรคิดเล็กคิดน้อยกับสตรีเช่นเ้า” เขายกยาเข้ามานั่งลงข้างเตียง “ยามนี้ยาไม่ร้อนมากแล้ว เ้าลุกขึ้นมาดื่มยาให้หมดก่อนแล้วค่อยนอนต่อเถอะ”
ไม่อาจไม่พูดได้ว่า ยาเทียบนี้ที่หมอชราผู้นั้นเขียนขึ้นใช้ได้ดีจริงๆ เนื่องด้วยเมื่อตอนเช้าอวิ๋นซียังคงป่วยหนักสะลึมสะลืออยู่ ทว่าเมื่อได้ดื่มยาเทียบนี้ไปเพียงสองครั้ง ร่างกายที่เคยไร้เรี่ยวแรงพลันมีชีวิตชีวาขึ้นมาก
อวิ๋นซีลุกขึ้นนั่งและรับยาไปดื่มรวดเดียว แท้จริงแล้วหากเป็เมื่อก่อนนางคงกลัวการกินดื่มยารสขมมาก โดยเฉพาะยาจีนที่หวาดกลัวเป็ที่สุด หรือต่อให้จะย้อนเวลามาเป็เฉียวอวิ๋นซีแล้วก็ยังคงกลัวการกินยาอยู่เช่นเดิม ยิ่งเมื่อนางได้มาเรียนวรยุทธ์กับบิดา ร่างกายก็ยิ่งแข็งแรงดีมาก ไม่ค่อยป่วยไข้ ดังนั้นโอกาสที่ต้องกินยาเช่นนี้ย่อมมีไม่มาก
กระทั่งวันหนึ่งที่นางได้กลายมาเป็ชายารัชทายาทจนร่างกายถูกพิษเข้า นับแต่นั้นมานางก็ดื่มยาราวกับดื่มน้ำชาก็มิปาน ยามนี้นางเคยชินกับรสชาติเช่นนี้ไปแล้ว
คราแรกจวินเหยียนเองก็ยังกังวลอยู่ว่านางจะกลัวขม ทว่าเมื่อได้เห็นนางดื่มยารสเข้มข้นที่แค่ได้กลิ่นก็ชวนให้คนรู้สึกคลื่นไส้ลงคอไปอย่างรวดเร็ว เขาก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ สตรีที่ไม่กลัวขมเช่นนี้เขาเพิ่งเคยเห็นเป็ครั้งแรก
เขารุดเข้าประคองนางให้นอนลง จากนั้นจึงช่วยนางคลุมผ้าห่มให้เรียบร้อย ก่อนจะพูดขึ้น “ข้าให้ภรรยาของโจวต้าต้มโจ๊กใส่เนื้อไม่ติดมันให้เ้าแล้ว อีกประเดี๋ยวคงจะยกเข้ามาให้เ้ากิน”
………………………………….
ตอนย่ำค่ำก่อนเข้านอน อวิ๋นซีมองดูรอบกายที่ว่างเปล่าแล้วจึงมองไปยังจวินเหยียนที่สวมใส่เสื้อผ้าเนื้อหยาบแบบผ่านๆ และขณะที่นางกำลังจะถามว่า คืนนี้จวินเหยียนจะนอนอย่างไร เขาก็เดินเข้ามาเอนกายลงข้างกายนางเสียแล้ว
“ฉินเหยียน ท่านออกไปเลยนะ” น่าตายนัก นี่เขาคิดจะนอนร่วมหมอนร่วมเตียงกับนางหรือ?
เมื่อจวินเหยียนได้ยินก็ยันกายลุกขึ้นมามองนาง “เสี่ยวซีซี เ้าอย่าเสียงดังนักสิ บ้านธรรมดาๆ หลังเล็กๆ เช่นนี้ทำจากดินย่อมเก็บเสียงได้ไม่ดี หากเ้าะโดังเช่นนี้ โจวต้าและภรรยาที่นอนอยู่ห้องข้างๆ จะต้องได้ยินเป็แน่”
อวิ๋นซีกัดฟัน พูดด้วยเสียงเ็า “เช่นนั้นท่านก็อย่ามานอนที่นี่”
“ยามนี้พวกเราปลอมตัวเป็สามีภรรยาที่มาอาศัยพักรักษาตัวอยู่ที่นี่ หากไม่ให้ข้านอนในห้องนี้ แล้วเ้าจะให้ข้าไปนอนที่ใด? หรือเ้าจะให้ข้านอนบนพื้น? เช่นนั้นอย่างน้อยๆ ก็ต้องมีผ้าห่มผ้าปูให้ข้าเสียหน่อย ใช่หรือไม่? ” เขาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มขณะมองดูนางด้วยรู้ว่านางเป็คนฉลาด มิหนำซ้ำตัวนางเองก็ยังรู้ดีว่า ในห้องนี้มีผ้าปูและผ้าห่มเพียงชุดเดียว หากให้เขาออกไปหยิบยืมอีกชุดหนึ่ง คงไม่ต้องถึงขนาดถามว่าครอบครัวโจวมีผ้าห่มผ้าปูเหลืออีกหรือไม่ แค่สายตาเคลือบแคลงสงสัยของอีกฝ่ายก็คงทำให้นางรับไม่ไหวแล้ว
สามีภรรยานอนด้วยกันยังต้องแยกผ้าปูผ้าห่ม? นี่มิใช่เป็การบอกคนอื่นหรือว่า ระหว่างพวกเขาสองคนมิได้มีความสัมพันธ์กันฉันสามีภรรยา?
เขาพูดต่อด้วยเสียงอันเบา “อีกประการหนึ่งระหว่างเราก็มิใช่ว่าจะเคยนอนร่วมห้องกันเป็ครั้งแรกเสียหน่อย หากข้าคิดจะทำอะไรเ้าจริงๆ ก็คงลงมือไปั้แ่ตอนที่พักในโรงเตี๊ยมที่อำเภอโจวแล้ว เหตุใดจึงต้องรอจนถึงป่านนี้ อีกทั้งยังเป็ในตอนที่เ้ากำลังล้มป่วยอยู่ด้วยเล่า”
อวิ๋นซีถูกเขาพูดตอกกลับจนพูดอะไรไม่ออกสักคำ นางสูดลมหายใจเข้าลึก และคิดว่าจะทนเขาครั้งนี้สักครั้ง “ถ้าเช่นนั้นท่านก็สงบไม้สงบมือไว้จะดีที่สุด ถึงแม้ตอนนี้ตัวข้าจะยังป่วยอยู่ ไร้เรี่ยวแรงไปทั้งร่าง ทว่าหากท่านกระทำการใดที่เกินเหตุ ต่อให้จะมัจฉาตายตาข่ายขาด [1] ข้าก็จะไม่ปล่อยท่านไปแน่”
เมื่อจวินเหยียนได้ยินแล้วก็ให้รู้สึกขบขันอยู่เงียบๆ “นอนเถอะ ข้าไม่ทำอันใดเ้าหรอก”
กลางดึกคืนนั้นอวิ๋นซีไข้ขึ้นสูงอีกครั้ง นางยังคงสะลึมสะลือไม่ได้สติ ซ้ำร้ายยังละเมอออกมาอีกด้วย “โอวหยางเทียนหัว” นางเอาแต่ะโเรียกชื่อศัตรูคู่แค้นที่น่าชิงชังไม่ยอมหยุด ก่อนจะกัดฟันและะโออกมาด้วยอารมณ์รุนแรง
“เ้าทำให้ตระกูลเฉียวของข้าต้องตายทั้งตระกูล”
“ข้าแค้นเ้า”
ในระหว่างนั้นนางยังได้พูดถึงเื่ใช้หนี้เืด้วยเือย่างไม่ปะติดปะต่อ ทั้งยังมีท่าทีที่ราวกับกำลังฝันร้าย ร่างกายแข็งเกร็งและในที่สุดเสียงของนางก็ทำให้จวินเหยียนที่นอนอยู่ข้างกายใตื่น ทว่า เมื่อเขาได้ฟังสิ่งที่อวิ๋นซีละเมอ สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที
ยามนี้นางละเมอบอกกล่าวความลับที่ปกปิดไว้ออกมามากมาย ทั้งโอวหยางเทียนหัว ตระกูลเฉียว และหนี้เืล้างด้วยเื
เดิมทีเขาตั้งใจจะคิดวิเคราะห์เื่นี้ให้ถี่ถ้วนทีละชั้น ทีละชั้น แต่เมื่อได้เห็นท่าทางหวาดกลัวของนาง ในใจก็เกิดความสงสารจนทนไม่ไหว ทั้งยังเดาว่า นางจะต้องกำลังฝันร้ายอยู่แน่ๆ เขาไม่รอช้ารีบโอบกอดนางไว้ แล้วจึงกล่าวปลอบเสียงเบาที่ข้างๆ หู “อาซี ไม่ต้องกลัว ข้าอยู่นี่ ข้าอยู่นี่”
“อาซี”
อวิ๋นซียังคงติดอยู่ในห้วงแห่งฝันร้าย ทันทีที่ได้ยินเสียงคนเรียกหาอย่างอ่อนโยน นางก็เหมือนคนที่กำลังหลงทางอยู่ในความมืดและได้แต่พยายามเสาะหาแหล่งที่มาของเสียงนั้น ราวกับมันเป็สิ่งที่จะช่วยชักนำนางได้อย่างไรอย่างนั้น
นางค่อยๆ สงบลงขัดกับอุณหภูมิร่างกายที่สูงขึ้นอีกแล้ว จวินเหยียนเป็กังวลจนต้องรีบลุกขึ้นมาจุดเทียน จากนั้นก็นำผ้าขนหนูบิดน้ำหมาดๆ วางไว้บนหน้าผากนาง
เมื่อได้มองดูสีหน้าแดงก่ำด้วยพิษไข้นั้นแล้ว เขาก็อดคิดถึงถ้อยคำที่นางละเมอออกมาเมื่อครู่ไม่ได้ อวิ๋นซี เ้าเป็ใครกันแน่? และมีความแค้นอะไรกับโอวหยางเทียนหัว?
หากนางมีความแค้นกับโอวหยางเทียนหัวจริงๆ เพียงเท่านี้ก็สามารถเข้าใจได้แล้วว่า เหตุใดนางถึงได้เจาะจงทำเื่ไม่ดีต่อลู่เหวินเจิ้น แต่ไม่ใช่ว่านางไม่เคยไม่จากหานโจวหรอกหรือ แล้วเหตุใดถึงได้รู้จักกับโอวหยางเทียนหัว? คนผู้นั้นเป็ถึงรัชทายาท แต่อวิ๋นซีเป็แค่หมอหญิงในโรงหมอของนครหานโจว ดังนั้นนางไปเกี่ยวข้องกับองค์รัชทายาทได้อย่างไร ถึงกระนั้นนางก็ยังพูดออกมาอีกด้วยว่า ‘ทำให้ตระกูลเฉียวของข้าต้องตายทั้งตระกูล’
ตระกูลเฉียว?
นางมิได้แซ่อวิ๋นหรือ? แล้วตระกูลเฉียวมีความเกี่ยวข้องอย่างไรต่อนาง?
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เขาก็ฉุกคิดถึงตระกูลเฉียวขึ้นมา ตระกูลเฉียวที่มีความเกี่ยวข้องกับโอวหยางเทียนหัวเหมือนว่าจะมีแค่ตระกูลเฉียวกั๋วกงที่ถูกฆ่าล้างตระกูลไปเมื่อสองปีก่อน เขาสูดลมหายใจเข้าลึก หรือว่านางจะมีความเกี่ยวข้องอะไรกับเฉียวกั๋วกง?
อวิ๋นซี [2] อวิ๋นซี [3] ...
เขาลุกพรวดขึ้นยืนมองใบหน้าของสตรีที่ยังหลับอย่างสงบอยู่บนเตียง บนโลกใบนี้จะมีเื่ที่บังเอิญถึงเพียงนี้อยู่จริงๆ หรือ?
แต่ว่าก่อนหน้านี้เื่ของสองพ่อลูกอวิ๋นซาน เขาก็ได้สืบดูอย่างชัดเจนแล้วและไม่พบความผิดปกติใดๆ เลย มันผิดพลาดที่ตรงไหนกันแน่?
จวินเหยียนไม่ได้นอนต่ออีกเลยทั้งคืน เพราะนอกจากจะดูแลอวิ๋นซีแล้ว เขาก็เอาแต่ขบคิดเกี่ยวกับปัญหาของนางที่มีความข้องเกี่ยวกับตระกูลเฉียว ทว่ายิ่งคิดไปเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าเื่นี้ช่างแปลกประหลาดเหลือเกิน อีกทั้งเมื่อเข้าค่อนคืนหลังนางก็หลับสนิทดีและไม่ละเมอสิ่งใดออกมาอีก แต่เขาที่อยากจะรู้เื่ราวของนางให้มากกว่านี้ กลับพบว่าทุกอย่างในหัวตีกันจนมั่วซั่วไปหมด
เช้าวันถัดมา อวิ๋นซีที่รู้สึกว่านอกจากอาการเจ็บคอแล้ว อาการอื่นล้วนหายเป็ปกติ นางค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะหันมองไปรอบทิศ ตอนนี้นอกจากจะพบว่าบนร่างตนกำลังสวมชุดหยาบๆ อยู่ ก็ยังค้นพบว่าภายในห้องนี้ถูกก่อสร้างขึ้นมาอย่างหยาบยิ่งนัก กระทั่งที่นอนก็ยังไม่เรียบร้อยสม่ำเสมอ
นางเปิดประตูออกมาและได้เห็นเ้าบ้านโจวกำลังตากผ้าอยู่บริเวณลานบ้าน ขณะที่อีกฝ่ายเมื่อเห็นว่านางตื่นแล้ว และไม่ได้ดูอ่อนแอเซื่องซึมดังเช่นเมื่อวานก็อดยิ้มทักมิได้ “ฮูหยินฉิน ท่านตื่นแล้วหรือ รู้สึกดีขึ้นบ้างแล้วหรือยังเ้าคะ? ”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘ฮูหยินฉิน’ สามคำนี้ มุมปากของอวิ๋นซีก็กระตุก “ขอบคุณมากเ้าค่ะพี่สะใภ้โจว ข้าดีขึ้นมากแล้ว” ถึงแม้เมื่อวานจะไม่ได้สติ แต่สิ่งที่จวินเหยียนพูด ไม่ว่ากี่มากน้อย นางก็พอจำได้อยู่บ้าง และเดาได้ว่าบุคคลตรงหน้านี้คงจะเป็ภรรยาของโจวต้า
เมื่อเ้าบ้านโจวได้ยินแล้วก็พูดด้วยสีหน้าอิจฉา “เหตุที่ท่านหายป่วยได้รวดเร็วเพียงนี้คงต้องขอบคุณสามีท่านที่คอยดูแลท่านตลอดทั้งคืนแล้ว เพราะเมื่อคืนสามีข้าเห็นว่ากลางดึกกลางดื่นสามีท่านก็ยังลุกออกไปตักน้ำในบ่อ เขาบอกว่ายามนั้นท่านไข้ขึ้นอีกแล้ว จึงตั้งใจจะไปตักน้ำในบ่อเพื่อช่วยให้ไข้ของท่านลดลง สามีท่านช่างดูแลท่านดีเหลือเกิน!”
———————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] มัจฉาตายตาข่ายขาด(鱼死网破)หมายถึง ต่อสู้จนตายตกไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย
[2] อวิ๋นซี(云曦)ชื่อนางเอกในชาติปัจจุบัน
[3] อวิ๋นซี(云溪)ชื่อนางเอกในชาติก่อน