“เหิมเกริม!” ตู๋กูหลงขึ้นเสียงใส่เย่เฟิง และอยากพุ่งเข้าไปฆ่าเย่เฟิงเสียตอนนี้เลย
“ข้าก็แค่พูดความจริง จะเหิมเกริมได้อย่างไร” เย่เฟิงกล่าว ตระกูลตู๋กูระดมผู้ฝึกยุทธ์เพื่อกำจัดเขา ในเมื่อเดินมาถึงจุดนี้ เช่นนั้นเขาจะไว้หน้าอีกฝ่ายไปทำไม?
“ข้าขึ้นเวทีประลองแล้ว เช่นนั้นบุญคุณความแค้นระหว่างข้ากับตระกูลตู๋กูเ้าก็ควรสะสางให้จบที่นี่ หากตระกูลตู๋กูเ้าไม่ยอม ก็เชิญส่งผู้ฝึกยุทธ์ขั้นบ่มเพาะกายามาได้เสมอ ข้าเย่เฟิงผู้นี้จะเล่นเป็เพื่อนเอง!” เย่เฟิงกล่าว เขาเอาสองมือไพล่หลังแฝงไว้ด้วยความเกรงขาม ดวงตาล้ำลึกฉายแววมั่นใจ
“หมอนี่หยิ่งผยองมาก ในเมื่อกล้าท้าทายผู้ฝึกยุทธ์ขั้นบ่มเพาะกายาของตระกูลตู๋กู ก็น่าป่าวประกาศจริง ๆ แหละ แต่ไม่รู้ว่าพลังที่แท้จริงของหมอนี่แกร่งมากแค่ไหน?” ผู้คนคิดในใจ เย่เฟิงไม่เพียงแต่แข็งแกร่ง แต่ทุกคำพูดของเขายังอวดดี ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง กำเริบเสิบสานนัก แม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์ที่ต่อสู้อยู่บนเวทีประลองใกล้ ๆ ยังหันมามองเย่เฟิง พวกเขาไม่เคยเห็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นบ่มเพาะกายาใจกล้ามากขนาดนี้มาก่อน ซื่อหุนเองก็หันมามองเย่เฟิงเช่นกัน แต่แววตาฉายแววเฉยชา เขาเพียงรู้สึกสงสัยในความโอหังของเย่เฟิงเท่านั้น ส่วนเื่อื่นเขาซื่อหุนไม่สนใจ
“คุยโวโอ้อวด!” ตู๋กูหลงเผยสีหน้าอึมครึม คำพูดของเย่เฟิงทำให้ความโกรธของเขาะเิออกมา
“แค่สวะขั้นบ่มเพาะกายา ในสายตาของตระกูลตู๋กูข้าจะนับเป็สิ่งใดกัน ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ของตระกูลข้ากำจัดเ้าได้ทุกเมื่อ เพราะงั้นทางที่ดีเ้าควรซื่อสัตย์กับข้า!” ตู๋กูหลงกล่าวเสียงเย็น เขาตู๋กูหลงไม่เคยโกรธเป็ฟืนเป็ไฟเช่นนี้มาก่อน
“เ้าไม่ละอายใจบ้างหรือ เป็ถึงลูกหลานตระกูลตู๋กูชนชั้นสูง แต่กลับพูดจาไร้สาระและไร้ยางอาย ข้ารู้สึกเศร้าใจแทนเ้าจริง ๆ ถึงกับคิดแผนส่งผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่มาจัดการข้า งั้นทำไมเ้าไม่เชิญผู้าุโเข้าร่วมด้วยเลยเล่า?” เย่เฟิงก่นด่าตู๋กูหลง เมื่อผู้คนของตระกูลตู๋กูได้ยินเช่นนั้นต่างมองเย่เฟิงด้วยสายตาเย็นะเื พวกเขาถูกเย่เฟิงยั่วโมโหแล้ว พลันมีลมปราณหลายสายพุ่งมาที่เวทีประลอง ก่อนจะกดทับร่างเย่เฟิง
“ก็แค่เศษสวะ กล้าดียังไงมาเหิมเกริมเยี่ยงนี้ หากข้าลงมือฆ่าเ้า แค่สะบัดมือก็ทำได้แล้ว!” มีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ที่ 1 ของตระกูลตู๋กูคนหนึ่งกล่าว แม้เย่เฟิงจะแข็งแกร่ง แต่จะใช่คู่ต่อสู้ของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ได้อย่างไร?
บนอัฒจันทร์ ตู๋กูหลงเผยสีหน้าอึมครึม ในขณะที่เซี่ยเชียนชิวมองเงาร่างยโสโอหังบนเวทีประลองนั่น ในใจก็เกิดความรู้สึกสับสน หากเย่เฟิงมีระดับการบ่มเพาะอย่างตู๋กูหลง บางทีในสำนักยุทธ์เทียนเสวียนอาจมียอดฝีมือเพิ่มขึ้นอีกคน
“นายน้อยอย่าโกรธไปเลย แม้เด็กคนนี้จะเหิมเกริม แต่ตอนนี้เขาสะสมคะแนนได้เพียง 11,000 แต้มเท่านั้น ยังห่างจาก 50,000 แต้มที่นายน้อยกำหนดอีกมากโข ในเมื่อมีคู่ต่อสู้ของเขาในขั้นบ่มเพาะกายาน้อยคน เช่นนั้นพวกเราก็ไม่ต้องใช้ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นบ่มเพาะกายาหรอก ถึงยามนั้นหากเขา้าสะสมคะแนนให้ถึง 50,000 แต้มก็ต้องใช้วิธีท้าดวลข้ามระดับ แม้เด็กคนนี้จะไม่ถูกผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ฆ่าตาย แต่ก็เก็บคะแนนไม่ถึง 50,000 แต้มแน่นอน และตระกูลตู๋กูก็จะสามารถฆ่าเด็กคนนี้ได้อย่างถูกต้องไม่ผิดกฎ”
ที่ด้านข้างตู๋กูหลง มีชายวัยกลางคนมากระซิบแผนข้างหูเขา พอได้ยินเช่นนั้นดวงตาของเขาก็เป็ประกาย ชายวัยกลางคนพูดจามีเหตุผล หากเย่เฟิง้าเก็บคะแนนให้ถึง 50,000 แต้ม ก็มีแต่ต้องท้าดวลผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ ถึงเวลานั้นไม่ว่าจะเป็อย่างไร เขาเย่เฟิงก็ต้องตายอยู่ดี
“ทำไม หรือเ้ากลัว?” ด้านล่างอัฒจันทร์ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ที่ 1 ของตระกูลตู๋กูคนนั้นเห็นเย่เฟิงเงียบ จึงคิดว่าเย่เฟิงกลัวเขาและกล่าวออกไปเช่นนั้น
เย่เฟิงหันไปมองผู้ฝึกยุทธ์คนนั้น พลันแววตาของเขาเปลี่ยนไปคมกริบ คล้ายมีลำแสงพุ่งออกจากดวงตาของเย่เฟิง ก่อนจะพุ่งเข้าไปที่หว่างคิ้วของผู้ฝึกยุทธ์คนนั้น อีกฝ่ายรู้สึกว่าจิติญญาของตัวเองได้รับาเ็ ตัวสั่นแรง ใบหน้าขาวซีด นาทีนี้จิติญญาของเขาหลุดออกจากการควบคุมแล้ว เขารู้สึกว่าตัวหดเล็กลงราวกับอยู่ในเรือลำเล็กท่ามกลางพายุลูกใหญ่ที่อาจพลิกคว่ำได้ตลอดเวลา ส่วนเย่เฟิงกลับดูตัวสูงใหญ่ราวกับท่ามกลางฟ้าดินมีเพียงเขา ประหนึ่งเทพเ้า ทำให้ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นยอมศิโรราบ
“เ้ารู้หรือไม่ว่าจิตใจของตัวเองต่ำต้อยเพียงใด?” มีเสียงดังออกจากปากของเย่เฟิง ประหนึ่งเสียง์ก็ไม่ปาน มันดังกึกก้องในหัวของผู้ฝึกยุทธ์คนนั้น ทำเขาส่ายหน้าไปมาไม่หยุดพร้อมเผยสีหน้าสิ้นหวัง
“นี่มัน...” ผู้คนต่างตกตะลึง ไม่รู้ว่าทำไมผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นถึงเปลี่ยนไปในชั่วพริบตา เมื่อครู่นี้ยังทำตัวอวดดีต่อหน้าเย่เฟิงอยู่เลย แต่ตอนนี้ท่าทีของเขาเปลี่ยนไปเป็หวาดกลัว ราวกับว่าเจอเื่ที่น่ากลัวที่สุดมา
“คุกเข่า!” ดวงตาของเย่เฟิงเผยประกายแหลมคม ท่าทีเกรงขามเช่นนั้นราวกับมีมาแต่เกิด เมื่อเสียงของเย่เฟิงดังเข้าไปในหูของผู้ฝึกยุทธ์ตระกูลตู๋กูคนนั้น มันไม่ต่างจากเทพเ้าออกคำสั่ง เขาจำต้องยอมศิโรราบ
“ตุบ!” สิ้นเสียงของเย่เฟิง ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นเข่าอ่อนทันที สีหน้ายังเต็มไปด้วยความอับอาย
“อะไรน่ะ?” ผู้คนเห็นฉากนี้ต่างต้องประหลาดใจ พวกเขาไม่คาดคิดว่าผู้ฝึกยุทธ์ตระกูลตู๋กูคนนั้นจะเชื่อฟังเย่เฟิง หรือกล่าวได้ว่าไม่มีแม้แต่ความกล้าหาญ เขาคุกเข่าลงตามที่เย่เฟิงสั่ง
บนอัฒจันทร์ ตู๋กูหลงลุกขึ้นยืนฉับพลัน ช่างน่าอายยิ่งนัก คนของตระกูลตู๋กูเขามีฐานะสูงส่ง แต่ไม่คิดว่าจะคุกเข่าให้สวะที่อยู่ขั้นบ่มเพาะกายา แล้วตระกูลตู๋กูเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เื่นี้ต้องกลายเป็เื่ตลกในหัวข้อสนทนาของเหล่าผู้คนอย่างแน่นอน ส่วนคนอื่น ๆ ในตระกูลตู๋กูก็รู้สึกว่าตัวเองเหมือนถูกตบหน้า
“สวะ เ้าทำอะไรกับเขา?” ตู๋กูหลงกล่าวเสียงเย็น เขาไม่เชื่อว่าเย่เฟิงใช้ไม่กี่ประโยคแล้วจะทำให้ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ตระกูลตู๋กูยอมคุกเข่าลงต่อหน้าผู้คนมากมาย
“แค่ชำเลืองมองก็รับไม่ได้ อ่อนหัดแบบนี้เป็อัจฉริยะของตระกูลตู๋กูเ้าหรือ?” เย่เฟิงเหยียดยิ้มโดยไม่ตอบคำถามของตู๋กูหลง นี่ทำให้ทุกคนในตระกูลตู๋กูหน้าร้อนผ่าว คล้ายเพิ่งถูกเย่เฟิงตบหน้าฉาดใหญ่
“เป็การโจมตีจิติญญา เย่เฟิงผู้นี้ใช้การโจมตีจิติญญา จะน่ากลัวเกินไปแล้ว! ไม่คิดว่าจะทำให้ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ตกอยู่ในภวังค์ได้ เห็นชัดว่าพลังิญญาของเขาถึงระดับที่น่ากลัวแล้ว” มีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่คนหนึ่งที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าแววตาเหลือเชื่อ แม้จะถึงระดับการบ่มเพาะอย่างเขา แต่การควบคุมจิติญญาในการโจมตีถือเป็วิธีโจมตีพิเศษ เย่เฟิงอยู่ขั้นบ่มเพาะกายา ถึงกับทำให้อีกฝ่ายตกอยู่ในภวังค์ได้ นี่ออกจะน่ากลัวหน่อย ๆ
สัตว์ประหลาด อัจฉริยะ สองคำนี้ดูเหมือนจะอธิบายพร์ของเย่เฟิงไม่ได้ ทุกคนกระทั่งคิดว่าหากเย่เฟิงสู้กับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ เขาจะเอาชนะอีกฝ่ายได้หรือไม่? แต่เขาทำได้เพียงมีความคิดที่กล้าหาญเช่นนี้ หากเกิดปะทะขึ้นมาจริง ๆ เย่เฟิงคงต้องสำแดงการโจมตีจิติญญา ถึงเวลานั้นพลังโจมตีของเขาจะไร้ผล และจะถูกกำราบ
ขณะเดียวกันหลังจากเย่เฟิงถอนพลังิญญากลับคืนมา ผู้ฝึกยุทธ์ตระกูลตู๋กูคนนั้นก็ได้สติ เมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังคุกเข่าต่อหน้าเย่เฟิง สีหน้าก็บูดเบี้ยวอย่างน่าเกลียด ความขุ่นเคืองสลักลึกยันกระดูกดำ
“สวะ เ้าทำอะไรข้า? ข้าจะฆ่าเ้าให้จงได้!” ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นตวาดใส่เย่เฟิงและยังคงเรียกเย่เฟิงว่าสวะ
“เพิ่งคุกเข่าสำนึกผิดต่อหน้าข้า ตอนนี้กลับทำตัวอวดดี เ้าอยากฆ่าข้า ข้าย่อมสนองให้ได้ เข้ามาสิ!” เย่เฟิงแสยะยิ้ม ยืนพลางเอาสองมือไพล่หลัง ช่างน่าเกรงขามยิ่งนัก ตู๋กูหลง้ากำจัดเขา เช่นนั้นเขาเย่เฟิงก็จะทำให้อีกฝ่ายชดใช้คืนหลายเท่า
ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ หากเย่เฟิง้าเก็บคะแนนให้ถึงสามแสนแต้มเพื่อแลกกระดูกปีศาจั ก็มีแต่ต้องท้าดวลกับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ เช่นนั้นก็เริ่มจากผู้ฝึกยุทธ์ตระกูลตู๋กูคนนี้ก่อนเลย
“อะไรนะ ข้าไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหม? เย่เฟิงผู้นี้สั่งให้อีกฝ่ายที่อยู่ขั้นรวมชี่ขึ้นเวทีประลอง! หรือหมายความว่าเขาเริ่มคิดจะท้าดวลกับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่แล้ว?” ผู้คนได้ยินเช่นนั้นต่างตะลึงงันและไม่อยากเชื่อหูตัวเอง หากเย่เฟิงสู้กับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ แทนที่จะเป็ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นบ่มเพาะกายา หรือกล่าวได้ว่าหากจบการประลองนี้แล้วเย่เฟิงเป็ฝ่ายชนะ คู่ต่อสู้ของเขาคนต่อ ๆ ไปก็จะเป็ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ ผู้คนอยากรู้นักว่าเย่เฟิงไปเอาความมั่นใจมาจากไหน หรือเขาไม่รู้ว่าพลังของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่แข็งแกร่งเพียงใด?
ในขณะที่ผู้คนกำลังครุ่นคิด ตู๋กูหลงที่อยู่บนอัฒจันทร์ก็ยกยิ้มมุมปาก เย่เฟิงแกว่งเท้าหาเสี้ยนเสียแล้ว ท้าดวลกับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่เป็การขุดหลุมฝังศพตัวเองชัด ๆ
อัฒจันทร์ฝั่งตรงข้าม โจวมู่เจี๋ยเผยรอยยิ้มเ็า เขาเองก็้าให้เย่เฟิงตาย เพื่อแก้แค้นให้กับศิษย์ร่วมสำนักของเขา อีกอย่างเขารู้แล้วว่าเย่เฟิงเป็คนฆ่าโจวมู่ไป๋ลูกพี่ลูกน้องของเขา หากเขาฆ่าเย่เฟิงเองกับมือได้ มุมมองของผู้าุโตระกูลที่มีต่อเขาจะต้องเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน
“สวบ!” ในขณะที่ทุกคนกำลังครุ่นคิด ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ตระกูลตู๋กูคนนั้นก็มาเยือนเวทีประลอง พร้อมกับปลดปล่อยพลังขั้นรวมชี่ เขา้าใช้เืเย่เฟิงมาลบล้างความอับอายของเขาก่อนหน้านี้
“สวะ ไปตายซะเถอะ!” ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นแผดเสียงคำราม พลันมีดยาวในมือสะบั้นรังสีมีดออกไป ตัวมีดรายล้อมไปด้วยพลังหยวน ซึ่งเป็สัญลักษณ์ของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ นอกจากปล่อยพลังหยวนแล้ว ยังทำให้พลังโจมตีของตัวเองแข็งแกร่งขึ้น รังสีมีดเข้าโจมตีเย่เฟิงหมายฟันร่างของเย่เฟิงออกเป็สองส่วน
“หอกมรณะ!” เย่เฟิงกล่าวจากนั้นแทงหอกออกไป เมื่อรังสีหอกโชติ่ การโจมตีทุกอย่างก็มลายไป
“ฉึก!” นาทีต่อมามีเสียงหนึ่งดังขึ้น ผู้ฝึกยุทธ์ตระกูลตู๋กูคนนั้นตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น นั่นเพราะว่ามีหอกเสียบคาอยู่ที่ลำคอ และมันก็ปลิดชีวิตของเขาไปในที่สุด
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้