แสงตะวันยามรุ่งอรุณสาดส่องจากทางทิศตะวันออกข้ามผ่านเทือกเขาที่ตั้งตระหง่าน ตกกระทบไปยังเมืองไป๋ตี้ซึ่งตั้งอยู่บริเวณเชิงเขา ปลุกเมืองเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานแห่งนี้ให้ตื่นขึ้นจากการหลับใหล
"ปัก ปัก ปัก!"
่เช้าตรู่ มือทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มอายุราวสิบกว่าปีมีแถบผ้าพันไว้อย่างแ่า เปลือยร่างท่อนบนอันผอมบางยืนฝึกวิชาหมัดอยู่ใต้ต้นสนดำสูงราวกว่าเมตร ภายในสำนักฝึกยุทธ์ไป๋ตี้
เสียงกระทบของหมัดอันหนักแน่นแผ่กระจายไปรอบต้นสนดำ หลังจากที่มันถูกโจมตีอยู่พักใหญ่ เปลือกของต้นสนดำก็แหว่งเว้าเป็วงกว้าง และเศษไม้ซึ่งมีคราบเืจางๆปะปนอยู่ก็แตกกระจัดกระจายอยู่ในอากาศ
หยาดเืสีแดงฉานรินไหลออกมาจากกำปั้นที่แตกร้าวของเขาชวนให้ตื่นตระหนกยิ่ง แต่เ้าตัวกลับดูไม่ทุกข์ร้อนใดใด
"ยังออกแรงได้ไม่มากพอ ข้าทนฝึกหนักมาตลอดหนึ่งปีกว่า เหตุใดพลังถึงไม่คืบหน้าไปไหนเลย" เด็กหนุ่มผู้มีใบหน้าคมกริบดุจใบมีด สัดส่วนใบหน้าชัดเจนรับกับดวงตาสีดำเข้มดั่งน้ำหมึก เขาเม้มริมฝีปากแน่น พึมพำกับตัวเองอย่างไม่ยอมแพ้ "หรือเพราะไม่มีจิตอสูร ข้าถึงเป็ได้แค่คนไร้ค่า"
"ไม่ได้ ข้าจะไม่ยอมแพ้ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าหากรีดเค้นพลังแฝงทั้งหมดออกมา จะยังก้าวผ่านขีดจำกัดของร่างกายไปไม่ได้" ยามนึกถึงบุญคุณดุจขุนเขาของพ่อบุญธรรมผู้ลาจากโลกไปแล้ว เจตจำนงอันแน่วแน่ในใจของเด็กหนุ่มก็ยิ่งเด่นชัด เขากำหมัดที่มีแต่าแขึ้นและชกต่อยต้นสนอย่างต่อเนื่อง
เด็กหนุ่มที่กำลังฝึกวิชาหมัดอยู่นี้มีนามว่าเยี่ยเฉินเฟิง เป็ศิษย์ของตระกูลเยี่ย หนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่จากแคว้นจื่อจิน ทว่าเขาไม่ใช่ศิษย์สายตรงของตระกูลเยี่ย เป็เพียงเด็กที่ถูกเก็บมาชุบเลี้ยงเท่านั้น
ถึงแม้เขาจะกำพร้าและแตกต่างจากคนอื่น แต่เขาก็เคยสร้างเกียรติยศและความภาคภูมิใจให้กับตระกูลเยี่ยมาก่อน เขาร่วมการทดสอบพร์ตอนอายุหกขวบ และผลการทดสอบช่างน่าอัศจรรย์ นั่นก็คือเขามีพร์ขั้นหก เื่ราวของเขาสั่นะเืไปทั่วนครหลวงของแคว้นจื่อจิน
ผู้คนส่วนมากในแคว้นจื่อจินจะไร้พร์ในการฝึกยุทธ์ ถึงแม้จะใช้เวลาเป็ร้อยปีก็ยังไม่มีใครที่มีพร์ถึงขั้นหก
กล่าวได้ว่า ถ้าหากทุกอย่างราบรื่นเยี่ยเฉินเฟิงที่มีพร์ขั้นหกนั้น จะสามารถเข้าไปฝึกฝนในสำนักชั้นในได้อย่างง่ายดาย กลายเป็ผู้ยิ่งใหญ่อยู่เหนือคนทุกคน ความสำเร็จในภายภาคหน้าก็มิอาจคาดเดาได้
ด้วยพร์ขั้นหกของเยี่ยเฉินเฟิง ตระกูลจี หนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นจื่อจินจึงยอมเสี่ยงเกี่ยวดองกับตระกูลเยี่ย โดยยกองค์หญิงน้อยจีชิงเสวี่ยซึ่งมีพร์ขั้นห้า ให้หมั้นหมายกับเยี่ยเฉินเฟิงั้แ่ยังเยาว์วัย
แต่แล้ว์ก็เล่นตลกครั้งใหญ่กับเยี่ยเฉินเฟิง ในยามที่เขาอายุสิบสามปีจิตอสูรของเขาได้ถูกปลุกขึ้นมา แต่เขากลับพบว่าจิติญญาของเขานั้นไม่อาจก่อร่างเป็จิตอสูรได้ และเหตุการณ์เช่นนี้ในหนึ่งร้อยปีก็แทบจะไม่ปรากฏเช่นกัน
การมีพร์ฝึกยุทธ์ขั้นหก หมายถึงการมีอนาคตที่สดใสรุ่งโรจน์ แต่ในทวีปโต้วหุนแห่งนี้ มีแค่พร์ในการฝึกฝนอย่างเดียวมันไม่พอ ต้องอาศัยการหลอมรวมของพร์และจิติญญา เพื่อก่อกำเนิดจิตอสูรของตนเอง จึงจะสามารถพลิกชะตาบำเพ็ญตนจนกลายเป็ผู้ฝึกยุทธ์ได้
พร์เป็เพียงตัวกำหนดความเร็วในการดูดซึมพลังิญญาและการเติบโตของจิตอสูร หากไม่มีจิตอสูร พร์สูงแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์
ในขณะที่ชะตาของเยี่ยเฉินเฟิงร่วงลงไปในจุดต่ำสุด กลายเป็ตัวตลกของทั้งนครหลวงในแคว้นจื่อจิน พ่อบุญธรรมที่ชุบเลี้ยงเขามาั้แ่เด็กก็ป่วยตายด้วยโรคประหลาด ส่วนเขาก็ถูกตระกูลเยี่ยตัดขาดและขับไล่ออกจากตระกูล
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด เยี่ยเฉินเฟิงที่กัดฟันรัวหมัดอย่างสุดแรงก็เริ่มหน้าซีด และแทบจะแยกไม่ออกเลยว่าน้ำที่ไหลอาบบนตัวเขาคือเหงื่อหรือไอหมอกกันแน่
เมื่อรับรู้ได้ว่าร่างกายใกล้จะหมดแรงเต็มที เยี่ยเฉินเฟิงจึงหยุดปล่อยหมัดและสูดลมหายใจเอาอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่
"เยี่ยเฉินเฟิง เ้ายังฝึกฝนอย่างบ้าคลั่งอยู่อีกหรือ ทำไมถึงไม่ยอมรับชะตาชีวิตสักที? เ้าฝืนรีดเค้นพลังของตัวเองเพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งชื่อเสียงอันจอมปลอมนั่นน่ะหรือ? ไม่มีจิตอสูร เ้าก็เป็ได้แค่คนธรรมดา"
ในตอนนั้นเอง ก็มีเสียงเ็าของเด็กสาวนางหนึ่งดังขึ้น นางสวมชุดจีนยาวสีขาวปักลายดอกไม้ ใบหน้างดงามเยือกเย็น ผิวขาวเนียนละเอียด เส้นผมสีดำสนิทยาวประบ่า ปรากฏขึ้นด้านหลังของเด็กหนุ่ม
"ข้าไม่ใช่คนของตระกูลเยี่ยแล้ว จะอยู่หรือตายล้วนไม่เกี่ยวกับเ้า" เยี่ยเฉินเฟิงเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย เหลือบตามองนางพลางเอ่ยตอบเสียงเรียบ
เด็กสาวที่กำลังสั่งสอนเยี่ยเฉินเฟิงอยู่นี้มีนามว่าเยี่ยจื่อหลิง มีพร์ขั้นสาม จิตอสูรพังพอนหิมะ นางมีอายุเพียงสิบสามปีแต่กลับฝึกฝนจนถึงขั้นผู้ใช้ิญญาอสูรระดับสี่แล้ว และเป็หนึ่งในอัจฉริยะของสำนักฝึกยุทธ์ไป๋ตี้ ทั้งยังเป็ไข่มุกล้ำค่าของตระกูลเยี่ยอีกด้วย
ด้วยรูปโฉมอันงดงามของนาง และท่าทางที่สุขุมเยือกเย็น ทำให้นางดูมีเสน่ห์เป็เอกลักษณ์ เพียงแค่นางยืนนิ่งอยู่กับที่ นางก็สามารถแย่งชิงความสว่างไสวทั้งหมดไปได้
"เ้าปากกล้าขึ้นแล้วนี่ ถึงได้กล้าพูดกับข้าเช่นนี้!"
เมื่อได้ยินเยี่ยเฉินเฟิงพูดออกมาอย่างเ็า คิ้วสวยของเยี่ยจื่อหลิงก็เริ่มขมวดด้วยโทสะ
"ข้าก็แค่ไม่อยากให้เ้ามาเสียเวลาอยู่กับคนไร้ค่าเช่นข้า" กล่าวจบ เยี่ยเฉินเฟิงก็ยิ้มเยาะตัวเอง ก่อนจะเดินจากไปโดยไม่หันกลับไปมอง
สายตามองตามแผ่นหลังของเยี่ยเฉินเฟิง โทสะบนใบหน้าของเยี่ย จื่อหลิงก็มลายหายสิ้น แอบทอดถอนใจอยู่เบาๆ ด้วยความที่รู้สึกเสียใจแทนเขา และเสียดายแทนตระกูลเยี่ย
"ตอนนี้ข้ามีเงินอยู่ห้าสิบสองตำลึง ยังพอซื้อโอสถรักษาาแราคาถูกได้”
หลังจากแยกกับเยี่ยจื่อหลิง เยี่ยเฉินเฟิงก็มาที่ร้านขายโอสถของสำนักไป๋ตี้ คิดจะซื้อเม็ดยาราคาถูกมาใช้รักษาแผลสักหน่อย ป้องกันไม่ให้อาการาเ็เรื้อรังจนเสียหายถึงเส้นลมปราณของตนเอง
เมื่อเดินเข้าไปในร้านโอสถ เยี่ยเฉินเฟิงเหลือบไปเห็นเฉียวจิ้งยวนกำลังเลือกซื้อยาอยู่ นางสวมชุดจีนยาวสีดำฉลุลาย ขับเน้นรูปร่างโค้งเว้าได้รูป ใบหน้าแต่งแต้มบางๆ เข้ากับรูปโฉมอันงดงาม
เฉียวจิ้งยวนเป็ธิดาคนโตของตระกูลเฉียวตระกูลที่ร่ำรวยในแคว้นไป๋ตี้ ในตอนที่เยี่ยเฉินเฟิงกำลังรุ่งโรจน์ นางทำตัวสนิทสนมกับเขามาก ทว่าต่อมา เมื่อจิติญญาของเยี่ยเฉินเฟิงไม่อาจก่อร่างเป็จิตอสูรได้ นางก็ค่อยๆ ห่างเหินกับเขาไปจนถึงขั้นไม่ไปมาหาสู่กันอีกเลย
"อ้าว นี่ไม่ใช่อัจฉริยะของสำนักพวกเราหรอกหรือ? ทำไมถึงมีแต่าแทั่วร่างอย่างนั้นเล่า?" ในตอนที่เยี่ยเฉินเฟิงคิดจะเดินอ้อมไปซื้อยาสักสองสามอย่างแล้วรีบจากไปนั้น ด้านหลังของเขาก็มีน้ำเสียงปลิ้นปล้อนแดกดันดังขึ้น
ตี๋วั่นเสียนเดินเข้ามาพร้อมผู้ติดตามสองคน เขามีรูปโฉมไม่ธรรมดา รูปร่างสูงสง่าผ่าเผยอยู่ในชุดหรูหรา มือข้างหนึ่งโบกพัดคลี่ พอเขาเห็นรูปร่างที่โค้งเว้าสมส่วนของเฉียวจิ้งยวน สายตาก็พลันร้อนแรงขึ้นทันที
"เ้าเสพติดการทำร้ายตัวเองอย่างนั้นหรือ หากว่าใช่ ข้าจะได้ช่วยเ้าอีกแรง" ตี๋วั่นเสียนจงใจเหยียดหยามเยี่ยเฉินเฟิงต่อหน้าเฉียวจิ้งยวน เพื่อดึงดูดความสนใจจากนาง
และก็เป็ไปตามคาด เมื่อได้ยินเสียงของตี๋วั่นเสียน เฉียวจิ้งยวนที่เพิ่งจะเลือกยาลูกกลอนราคาแพงสองเม็ดเสร็จ ก็ค่อยๆ หันกลับมามอง นางเหลือบสายตาเ็าไปทางเยี่ยเฉินเฟิง แล้วหันไปทางตี๋วั่นเสียนที่เดินเข้ามาอย่างหยิ่งยโสโอ้อวด
ทว่าทั้งสองคนไม่อาจดึงดูดความสนใจของนางได้ นางหยุดมองเพียงชั่วครู่ และหันกลับไปเลือกยาต่อ
แต่ในจังหวะที่นางหันกลับไป เยี่ยเฉินเฟิงอาศัยความเร็วแย่งพัดในมือของตี๋วั่นเสียนมา แล้วฟาดลงไปที่ก้นของเฉียวจิ้งยวน
จากนั้น เยี่ยเฉินเฟิงก็ไม่รอช้ายัดพัดกลับเข้าไปในมือของตี๋วั่นเสียนที่กำลังยืนเบิกตาโพลง ตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก ส่วนตัวเขาก็เตรียมยกขาเผ่นหนี
เมื่อรับรู้ได้ถึงแรงฟาดอันหนักหน่วงที่บั้นท้าย เฉียวจิ้งยวนที่ยืนเลือกเม็ดยาอยู่ก็ถึงกับตัวสั่นระริก จ้ำแดงจำนวนมากไต่ขึ้นไปตามคอขาวผ่อง และลามไปถึงใบหน้าสวยๆ ของนาง
ไม่กี่พริบตาถัดมา เฉียวจิ้งยวนที่ความอับอายกำลังกลายเป็โทสะนั้น นางก็ได้หมุนตัวกลับมา มองเห็นพัดคลี่ในมือของตี๋วั่นเสียน ไฟโทสะก็ลุกท่วมไปทั่วสมองของนาง นางยกมือเรียวขาวนุ่มขึ้นอย่างไม่ยั้งคิด ตบหน้าตี๋วั่นเสียนอย่างเต็มแรงไปสองครา กัดฟันเค้นคำพูด "ตี๋วั่นเสียน เ้าอยากตายนักใช่ไหม เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะตัดมือสุนัขของเ้าทิ้งแล้วทำลายเ้าซะ"
"ไม่ใช่นะ จิ้งยวน เ้าเข้าใจผิดแล้ว คนที่ฟาดก้นเ้าเมื่อครู่นี้ไม่ใช้ข้าแต่เป็มัน ข้าถูกมันใส่ร้าย"
เห็นไฟโทสะในแววตาของเฉียวจิ้งยวน ตี๋วั่นเสียนก็หวาดกลัวเสียจนใจหล่นวูบ รีบอธิบายเป็พัลวัน
"ตี๋วั่นเสียน เ้าทำอะไรเอาไว้ก็ต้องรู้จักยอมรับ ถึงข้ากับเฉียวจิ้งยวนจะไม่ใช่สหายกันแล้ว แต่ข้าไม่มีทางทำเื่ไร้ศีลธรรมเช่นนี้กับนางหรอก" เยี่ยเฉินเฟิงหยุดเดินพร้อมกับหันมากล่าวอย่างมีสัจจะ
"มารดาเ้าเถอะ เ้านั่นแหละที่เป็คนทำเื่นี้ เ้ากล้าสาบานหรือไม่ว่าเ้าไม่ได้ฟาดก้นของจิ้งยวน กล้าหรือไม่!?" ได้ยินเยี่ยเฉินเฟิงกล่าวโทษตนเองอย่างหน้าตาเฉย ตี๋วั่นเสียนก็โกรธจนแทบกระอักเื อยากจะพุ่งไปฆ่าอีกฝ่ายเสียให้ตาย
"ตี๋วั่นเสียน ไม่ว่าเื่นี้เ้าจะเป็คนทำจริงหรือไม่ แต่ก็ไม่ควระโก้องร้องป่าวให้นางต้องเสียหายนะ เ้าไม่มียางอาย แต่นางยังมี" เยี่ยเฉินเฟิงเมินเฉยต่อแววตามืดดำชวนสะพรึงของตี๋วั่นเสียน และจงใจพูดยุยงให้เขาทั้งสองแตกแยก
"เ้า…"
ในตอนที่ตี๋วั่นเสียนโกรธจัดกำลังคิดจะลงไม้ลงมือ เฉียวจิ้งยวนที่ััได้ถึงสายตาทิ่มแทงจากรอบด้านก็โทสะพุ่งสูง พลังิญญาในห้วงความคิดพุ่งออกมารวมตัวกลายเป็จิตอสูรวิหคปีกทองที่ส่องประกาย
"กว๊าก!"
เสียงกรีดร้องแสบหูดังขึ้นกลางอากาศ วิหคปีกทองของเฉียวจิ้งยวนกลายเป็กลุ่มแสงสีทอง โจมตีเข้าใส่หน้าอกของตี๋วั่นเสียน กระแทกกระดูกซี่โครงแตกไปหลายท่อน
"พรวด!"
ตี๋วั่นเสียนพ่นเืออกมากองใหญ่ เขาผู้อยู่ในเขตแดนผู้ใช้อสูริญญาระดับหนึ่งถูกเฉียวจิ้งยวนเล่นงานจนสาหัส ร่างกายล้มกระแทกพื้นอย่างรุนแรง ั์ตามืดสนิทและหมดสติไปในทันที
