เพลิงโทสะของเคอโยวหรานทะยานขึ้นสูง นางแผดเสียงเอ่ยอย่างดุดันว่า
“ประเสริฐนักอินจิ่ว ข้าเคารพท่านเป็ศิษย์พี่ แต่ท่านกลับเหยียบจมูกปีนขึ้นหน้า ถึงขั้นแทะโลมข้าเสียแล้ว หึ!”
ครั้นสิ้นเสียง เคอโยวหรานก็จัดการเปิดกลไกอีกหนึ่งชุด กระสอบทรายหลายสิบถุงพลันหล่นลงจาก้า พุ่งตรงหมายจะกระแทกไปทางอินจิ่ว
เนื่องด้วยความเร็วและมุมคับแคบ ทำให้อินจิ่วยากหลบเลี่ยง หลังถูกกระแทกเข้าเต็มๆ ถึงสองครั้ง เขาถึงสามารถหลบเลี่ยงกระสอบทรายถุงอื่นๆ ไปได้
ยังไม่ทันให้อินจิ่วได้พักหายใจ ทันใดนั้นก็มีน้ำหลากสีพุ่งปะทะใบหน้าของเขา
ครั้งนี้นับได้ว่าหลบจนมิอาจหลบแล้วจริงๆ อินจิ่วโมโหจนกระทืบเท้า “มารดามันเถิด เคอโยวหราน นี่เ้าทำอันใด? ให้ตายเถิด เ้าสาดสิ่งใดใส่ข้า?”
อินจิ่วไม่กลัวพิษ ไม่กลัวอาวุธ แต่ความสกปรกบนกายเช่นนี้กลับทำให้เขาขนลุกขนชันไปทั้งร่าง
“ศิษย์น้องหญิง เ้าเอามีดมาฆ่าข้าเถิด อ๊ากกก...”
อินจิ่วะโโลดเต้น ท้ายที่สุดก็ชักกระบี่ข้างกายออกมาก่อนกระโจนขึ้นกลางอากาศ หมายจะฟันทำลายตาข่ายเหนือศีรษะ
ทว่า เคร้ง...เคร้ง...เคร้ง...ไม่ว่าอินจิ่วจะพยายามฟันเช่นไรก็มีเพียงเสียงกระทบของโลหะตอบกลับมา
“บัดซบ ศิษย์น้องหญิง เ้าใช้วัสดุใดทำเชือกนี้ ศิษย์พี่ขอร้องเ้าแล้ว ปล่อยข้าออกไปอาบน้ำเถิด ไอ้หยา ทนไม่ไหวแล้ว สกปรกจะตายอยู่แล้ว”
์ ศิษย์พี่ผู้นี้ของนางไม่กลัวพิษ ไม่กลัวอาวุธลับของกลไก แต่กลับกลัวความสกปรกเช่นนั้นหรือ?
ภายหน้ายามต้องจัดการเขา แค่คว้าก้อนดินสกปรกจากบนพื้นขึ้นมาทาหน้าอีกฝ่าย เห็นทีคงจะจัดการเขาได้อย่างอยู่หมัดแล้วกระมัง?
ในขณะที่เคอโยวหรานกำลังใคร่ครวญว่ายังมีของสกปรกอันใดที่น่ารังเกียจยิ่งกว่านี้หรือไม่ จะได้เอาไว้ใช้ยั่วโมโหศิษย์พี่ผู้นี้สักหน่อย
พลันพบว่าอินจิ่วล้วงเอาของบางสิ่งที่หนาเป็ปึกออกมาฟาดลงบนโต๊ะดังตึง ก่อนจะเอ่ยวิงวอนว่า
“ศิษย์น้องหญิง ตั๋วเงินหนึ่งแสนตำลึง ถือว่าข้าปากเสียและเป็ของกำนัลขอโทษเ้า ปล่อยศิษย์พี่ออกไปอาบน้ำสักหน่อยเถิด อ๊ากกก...ไม่ไหวแล้ว ทรมานเหลือเกิน...”
เคอโยวหรานเห็นอินจิ่วร้อนใจจนกระทืบเท้า สีหน้าประเดี๋ยวเขียวประเดี๋ยวคล้ำสลับกัน ทั้งยังคิดว่ามิอาจหมางใจกับศิษย์พี่ผู้นี้จนเกินไปนัก เพราะถึงอย่างไรเป็มนุษย์ต้องรู้จักไว้ไมตรี ภายหน้าจะได้มองหน้ากันได้!
นางเอ่ยหนึ่งประโยคอย่างดุดัน “ศิษย์พี่โปรดจำเอาไว้ หากครั้งต่อไปกล้าเอ่ยวาจาหยาบโลนแทะโลมข้า เช่นนั้นก็อย่าได้หาว่าศิษย์น้องหญิงเช่นข้าไม่เกรงใจก็แล้วกัน หึ!”
“ไม่แล้วๆ พวกเราล้วนแต่เป็ศิษย์สำนักเดียวกัน เข่นฆ่ากันเองย่อมมิใช่เื่ดีกระมัง?” อินจิ่วรีบเอ่ยวิงวอนทันใด
กล่าวตามตรง กลไกภายในห้องนี้ช่างเยี่ยมยอดจริงๆ เมื่อใช้รับมือองครักษ์ลับเช่นอิ่งอีกับอิ่งเอ้อร์ยังนับว่าเหลือเฟือ
ทว่าเมื่อนำมาใช้ต่อกรกับยอดฝีมือเช่นอินจิ่ว กลับรู้สึกว่าไม่พอให้ดูชมอยู่บ้าง
ยามนั้นตอนต้วนเหลยถิงติดตั้งกลไกเหล่านี้ เขาได้สร้างขึ้นตามระดับความแข็งแกร่งขององครักษ์ลับ เพราะนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าภายในหมู่บ้านเถาหยวนจะสามารถดึงดูดบุคคลเช่นอินจิ่วมาได้
คืนนี้ หากมิใช่ว่าอินจิ่วไม่อยากทำร้ายเคอโยวหราน ค่ายกลและยาพิษที่ติดตั้งเอาไว้เหล่านี้ก็ไม่คณามือเขาแต่อย่างใด
นอกจากนี้อินจิ่วก็ไม่อยากทำร้ายองครักษ์ลับของเคอโยวหราน ดังนั้นในยามที่คนทั้งกลุ่มบุกเข้ามา จึงเพียงรับมือแต่ไม่ได้เอาจริง
อีกทั้งยามอินจิ่วเลือกทางหนี เขามิได้พุ่งไปทางด้านนอกประตูที่มีองครักษ์เงาอยู่ กลับเลือกจะหนีไปทางหลังคา นั่นก็เพราะไม่อยากทำให้องครักษ์เงาของเคอโยวหรานได้รับาเ็
กระทั่งยามนี้อินจิ่วก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดหลังตนได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเคอโยวหราน เขาก็เกิดความผิดปกติเช่นนี้
เมื่อเคอโยวหรานได้ยินคำตอบกลับของอินจิ่ว จึงเอ่ยอย่างคลายโทสะลงไม่น้อย “ข้าจะยอมเชื่อศิษย์พี่สักครั้ง ท่านไปเถิด!”
กล่าวจบ นางก็กดปุ่มกลไกเพื่อเก็บตาข่ายขนาดใหญ่ทำจากลวดเหล็กบนหลังคาห้อง
ไม่รอให้ตาข่ายทั้งหมดถูกเก็บจนเรียบร้อย อินจิ่วพลันทะยานขึ้นกลางอากาศแล้วแทรกกายออกทางช่องว่าง หนีไปจากหมู่บ้านเถาหยวนด้วยความเร็วสูงสุด
เคอโยวหรานสวมหมวกเหวยเม่า ปิดปุ่มกลไกแล้วก้าวลงจากเตียง เดินมายังข้างโต๊ะเพื่อนับตั๋วเงินแล้วลอบคิดในใจว่า :
ต้วนเหลยถิงเคยบอกว่าในเบื้องหน้า ศัตรูของเขามีกำลังพลประมาณหนึ่งล้านนาย ยังไม่นับรวมจำนวนทหารที่อีกฝ่ายลอบสั่งสมเอาไว้
หรือก็หมายความว่า หากจะเผชิญหน้ากับศัตรูโดยตรง สกุลต้วนจำต้องสร้างกองทัพของตนเองถึงจะได้การ
และการเลี้ยงดูกำลังทหาร จำต้องมีเงินทองค้ำจุนเป็จำนวนมาก เงินหนึ่งแสนตำลึงไม่ต่างกับใช้น้ำหนึ่งแก้วดับเพลิงที่กำลังลุกโหม เพียงแต่มีก็ยังดีกว่าไม่มี
เคอโยวหรานเก็บตั๋วเงินเข้าในมิติวิเศษ ยามนี้นางเพิ่งจะนึกได้ว่าเมื่อครู่ต้วนเหลยถิงออกมาจากมิติวิเศษพร้อมกับตน เช่นนั้นตัวคนเล่า?
ขณะกำลังครุ่นคิด นอกประตูพลันมีเสียงของอิ่งอีดังขึ้น “ฮูหยินน้อย ท่านยังปลอดภัยหรือไม่ขอรับ? จะให้พวกข้าน้อยเข้าไปเก็บกวาดสักหน่อยดีหรือไม่?”
ทว่ามารดาสกุลต้วนกลับไม่มัวกังวล นางรีบเดินตรงเข้ามา มองสภาพระเกะระกะทั่วทั้งห้องแล้วขมวดคิ้วถามว่า
“โยวหราน ศิษย์พี่ของเ้า้าจะทำอันใดหรือ? เหตุใดถึงมายังห้องของเ้ากลางดึกเช่นนี้?”
เคอโยวหรานเอ่ยคาดเดา “อาจเพราะข้าขุดหลุมฝังเขาจนน่าสมเพชเกินไป ในฐานะที่เขาเป็หนึ่งในสำนักพิษ ไม่เคยต้องเสียเปรียบถึงเพียงนี้เพราะผู้ใดมาก่อน คิดจะกลับมาทวงหน้าตาคืน ดังนั้นถึงได้ลอบเข้ามาโจมตีข้ายามกลางดึกเ้าค่ะ”
หยวนซื่อยืนอยู่ด้านหลังมารดาสกุลต้วน เอ่ยหนึ่งประโยคอย่างกลัวว่าจะไม่เกิดเื่วุ่นวาย
“น้องสะใภ้ ซานหลางไม่อยู่ในเรือน เ้าก็อดกลั้นความโดดเดี่ยวไม่ไหวจนไปหาบุรุษอื่นกลางดึกเสียแล้ว เพราะถูกพวกเราจับได้ เ้าจึงแต่งข้ออ้างแย่ๆ เช่นนี้ คิดว่าพวกเราทุกคนล้วนเป็คนโง่หรืออย่างไร?”
สีหน้าของเคอโยวหรานพลันฉายแววนิ่งขรึม นางจับจ้องหยวนซื่อพลางถามว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ จะกล่าวสิ่งใดจำต้องมีหลักฐาน หากเป็ตามที่ท่านกล่าวมา ข้าควรจะปิดกลไกภายในห้องทั้งหมดและไม่ควรเปล่งเสียงใดสิเ้าคะ
มิใช่เปิดกลไกจนทำให้ทุกคนในครอบครัวใและรู้ว่าเกิดเื่ขึ้นเช่นนี้”
หยวนซื่อกลอกตาขาวอย่างเย้ยหยัน นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่เป็มิตร “จิ๊ ไม่แน่ว่าตอนพวกเ้ากำลังเร้าใจจึงเผลอไปแตะโดนกลไก ถึงได้แสดงละครฉากใหญ่ให้พวกเราดูกระมัง?
หาก้าพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเ้า มิสู้ปลดหมวกเหวยเม่าลงให้พวกเราดูสักหน่อยว่าบนกายของเ้ามีร่องรอยที่ไม่เหมาะควรอันใดหรือไม่?”
มือทั้งสองข้างของเคอโยวหรานกำแน่น บนกายมีร่องรอยหรือไม่งั้นหรือ?
บนกายของนางมีรอยช้ำเป็จ้ำไม่น้อยทีเดียว ล้วนแต่เป็ร่องรอยที่ต้วนเหลยถิงทิ้งเอาไว้ตอนอยู่ในมิติเมื่อครู่ เช่นนี้จะให้นางอธิบายอย่างไร?
จะต้องสารภาพเื่มิติวิเศษและเื่ที่นางกับต้วนเหลยถิงสามารถพบหน้ากันได้ทุกเมื่อให้ทุกคนล่วงรู้เช่นนั้นหรือ?
ไม่ มิได้ หยวนซื่อไม่ลงรอยกับตนมาแต่ไหนแต่ไร หากปล่อยให้อีกฝ่ายรู้ความลับอันใหญ่หลวงเช่นนี้ ตนจะต้องพานพบปัญหาไม่ขาดสายแน่นอน ไม่แน่ว่ายังอาจนำมาซึ่งหายนะจนถึงแก่ชีวิต
แม่หนูน้อยเคอโยวเยวี่ยเข้ามาขวางหน้าเคอโยวหราน เงยใบหน้าเล็กขึ้นเอ่ยด้วยความขุ่นเคืองว่า
“พี่หญิงของข้าไม่มีทางทำเื่เช่นนั้น ท่านมีสิทธิ์อันใดมาใส่ร้ายผู้อื่นอย่างไร้หลักฐานเ้าคะ? หากพี่หญิงของข้าจะลอบพบกับศิษย์พี่ผู้นั้น เหตุใดไม่เลือกนัดหมายกันข้างนอกเล่าเ้าคะ?
มานัดหมายกันอยู่ในเรือนเพื่อรอให้พวกเราจับได้ เช่นนั้นไม่เรียกว่าโง่หรอกหรือ? พี่หญิงของข้าเป็คนโง่หรือเ้าคะ?”
ยอดเยี่ยมนัก เคอโยวหรานลอบยกนิ้วโป้งให้เคอโยวเยวี่ยอยู่ในใจ แม่หนูน้อยช่างหลักแหลมเหลือเกิน!
หยวนซื่อไม่สะทกสะท้านกับคำกล่าวของเคอโยวเยวี่ย ยังคงคลี่ยิ้มเอ่ยเย้ยหยันว่า “ไม่แน่ว่าคนสำนักพิษอย่างพวกเขาคงจะชอบนัดหมายกันในห้องเพื่อความเร้าใจกระมัง?”
“ท่าน...” เคอโยวเยวี่ยกำหมัดทั้งสองข้างแน่น โมโหเสียจนเอ่ยสิ่งใดไม่ออก
เคอโยวหลานยืนอยู่ข้างกายน้องสาว มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่นพลางถลึงตาจดจ้องหยวนซื่อเพื่อหนุนหลังโยวเยวี่ยอย่างเงียบเชียบ ทั้งยังหมายจะบดบังพี่สาวของตนไว้ด้านหลัง คิดอยากจะใช้ร่างกายอันบอบบางปกป้องเคอโยวหราน
เคอเจิ้งตงประคองถงซื่อพลางเอ่ยกับหยวนซื่อว่า “ภรรยาต้าหลาง โยวหรานของข้าเป็ถึงผู้ใดกัน? เป็คนสงบเสงี่ยมเจียมตัวั้แ่เล็กจนโต ไม่มีทางทำเื่ผิดจารีตประเพณีเช่นนั้นอย่างแน่นอน
ทุกคนต่างประจักษ์แจ้งถึงความสัมพันธ์ของนางกับซานหลาง มีหรือจะไปนัดพบผู้อื่นเพราะซานหลางเดินทางไปข้างนอก?
เื่นี้ย่อมเป็ดังที่โยวหรานกล่าวมา ศิษย์พี่ของนางคับข้องใจยิ่งนัก คิดอยากจะมาแก้แค้นโยวหรานของพวกเรากระมัง?”