จื่ออีและจื่อหลิงต่างประหลาดใจเมื่อได้ยินคำพูดของหลินเฟิง เสแสร้งอย่างนั้นหรือ?
หลินเฟิงกำลังพูดกับคนตาย?
แต่ต่อมาั์ตาของพวกนางทั้งสองก็ต้องเบิกกว้าง เมื่อเห็นร่างของลูกพี่กลุ่มหยางถัวที่ได้ ‘ตาย’ ไปแล้วกำลังขยับ มันลุกขึ้นจากพื้นและหันไปมองพวกหลินเฟิงด้วยสายตาเ็า
ลูกพี่หยางถัวยังไม่ตาย แค่ได้รับาเ็เท่านั้น เมื่อครู่นี้เขาใช้เทคนิคพิเศษด้วยการปิดกลิ่นอาย ในขณะเดียวกันก็กลั้นลมหายใจแล้วแสร้งทำเป็ตาย
“เ้าหมอนี่พูดถูก หลินฮ่าวเจี๋ยแม้จะแข็งแกร่ง แต่ก็เป็คนที่หยิ่งยโสเกินไป กระทั่งคิดว่าตัวเองได้สังหารข้าไปแล้ว”
ลูกพี่หยางถัวกล่าวอย่างเฉยเมย เช่นเดียวกับที่หลินเฟิงได้เอ่ยมา
“เ้าช่างโชคดีนักที่รู้ว่าข้าแกล้งตาย”
ลูกพี่หยางถัวหันไปมองหลินเฟิงแล้วกล่าวอย่างเ็าว่า “แต่ว่ารู้แล้วมันจะได้อะไร หลินฮ่าวเจี๋ยก็ไม่อยู่แล้ว พวกเ้าทั้งสามทำไมไม่มาสนุกกับข้าล่ะ ข้าไม่ได้สนใจเ้าหรอกนะเ้าหนู แต่สาวน้อยทั้งสองนั่นจะต้องมาปลอบใจข้าที่สูญเสียพี่น้องไป”
จื่ออีและจื่อหลิงถึงกับหน้าถอดสี ซึ่งความแข็งแกร่งของลูกพี่หยางถัวนั้นอยู่ระดับขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 4 แม้เขาจะาเ็แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่สามารถจัดการพวกนางได้
“ตายซะเถอะ” ลูกพี่หยางถัวะโขณะพุ่งโจมตีหลินเฟิง แต่หลินเฟิงกลับกำลังค่อยๆ ยกมือขึ้นมาและฟาดฟันอยู่ในอากาศ จนเกิดประกายแสงจ้าฉับพลันราวกับสายฟ้าฟาด
หลังจากประกายแสงจ้าหายไป ร่างของลูกพี่หยางถัวก็ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ทันใดนั้นหน้าผากของเขากลับมีเืไหลออกมา ซึ่งเขากำลังมองหลินเฟิงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกเสียใจ
ที่หลินเฟิงพบว่าเขาแกล้งตาย มันเป็เพียงแค่ความโชคดีจริงๆ หรือ?
“เ้าและหลินฮ่าวเจี๋ยต่างก็อวดดีพอๆ กัน” หลินเฟิงกล่าวอย่างเฉยเมยขณะยังยืนอยู่ที่เดิม และค่อยๆ พูดขึ้นมาอีกว่า “หลินฮ่าวเจี๋ยไม่ได้ลงมือและไม่แม้แต่จะแตะต้องพวกเ้าเลยสักนิด ดังนั้นพวกเ้าก็ไม่ได้ติดหนี้อะไรหลินฮ่าวเจี๋ย จำไว้ว่าสิ่งที่เ้าเห็นล้วนไม่ได้เป็ความจริงเสมอไป ซึ่งก็เหมือนกับเขาที่เพิ่งแกล้งตายเมื่อครู่นั่นแหละ”
เมื่อหลินเฟิงกล่าวจบก็เดินออกจากกระท่อมไปทันที ชั่วพริบตาร่างเงาของเขาก็ค่อยๆ เลือนรางแล้วหายไปอย่างเงียบสงัดราวกับภูตผี
จื่ออีและจื่อหลิงมองแผ่นหลังของหลินเฟิงจนลับตาไป แต่ภายในใจกลับกำลังสั่นเทา เมื่อครู่นี้หลินเฟิงสังหารลูกพี่หยางถัวได้อย่างง่ายดาย ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงพิสูจน์ว่าตนเองสามารถปกป้องพวกนางได้ ต่อให้ไม่ได้หลินฮ่าวเจี๋ยช่วยเอาไว้ ก็คงไม่มีเื่อะไรเกิดขึ้นกับพวกนาง
ส่วนคำพูดทิ้งท้ายของหลินเฟิงนั้นมีความหมายลึกซึ้งและทำให้หญิงสาวทั้งสองตระหนักถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น ทั้งสองเห็นคนแกล้งตายเพื่อหาโอกาสทำร้ายพวกนางอีกครั้ง และหลินฮ่าวเจี๋ยที่มาช่วยพวกนางนั้นอาจไม่ใช่ด้านที่แท้จริงของเขา เช่นเดียวกับหลินเฟิง จื่ออีและจื่อหลิงนั้นดูถูกหลินเฟิงมาโดยตลอด คิดว่าหลินเฟิงเป็คนขี้ขลาดและเป็เศษขยะ แต่สุดท้ายแล้วเขากลับสามารถสังหารลูกพี่หยางถัวที่อยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 4 ได้อย่างง่ายดาย
“ท่านพี่จื่ออี หลินเฟิงดูเหมือนจะแข็งแกร่งยิ่งนัก” หลังจากเงียบไปสักพัก จู่ๆ จื่อหลิงก็กล่าวด้วยเสียงแ่เบา โดยที่สายตาของนางยังคงมองร่างไร้ิญญาของลูกพี่หยางถัวที่นอนอยู่บนพื้น
“อวดดีและหยิ่งยโส หากเขาแข็งแกร่งจริงล่ะก็ ทำไมเมื่อกี้ต้องรอให้หลินฮ่าวเจี๋ยลงมือ แต่ตัวเขาเองกลับไม่ทำอะไรเลย อีกอย่างตอนที่หลินฮ่าวเจี๋ยมาที่นี่ ทำไมเขาถึงไม่พูดอย่างที่พูดกับพวกเรา เห็นได้ชัดว่าเขาเทียบไม่ได้กับหลินฮ่าวเจี๋ยและยังขี้ขลาดอีกด้วย”
จื่ออีกล่าวอย่างตรงไปตรงมา เมื่อนางนึกถึงั์ตาที่อ่อนโยนของหลินฮ่าวเจี๋ยแล้ว หัวใจของนางก็เต้นระรัวทันที นางเชื่อว่าไม่มีทางที่หลินเฟิงจะเทียบกับหลินฮ่าวเจี๋ยได้แน่นอน
“แต่เขาแค่ฟาดมือออกไปก็สามารถสังหารลูกพี่หยางถัวได้แล้ว นอกจากนี้แสงจ้านั่นก็ยังเหมือนประกายของคมดาบ”
จื่อหลิงกะพริบตาปริบอย่างนึกสงสัยเช่นนั้น ขณะที่พยายามนึกถึงประกายแสงที่หลินเฟิงฟาดสันมือออกไป
“นั่นเป็เพราะลูกพี่หยางถัวชะล่าใจเกินไป ตอนที่ลูกพี่หยางถัวแกล้งตายต่อหน้าหลินฮ่าวเจี๋ยนั้น หลินเฟิงกลับไม่สนใจ มองแค่นี้ก็รู้แล้วว่าเขาแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ ส่วนประกายแสงนั่นน่ะหรือจะเทียบกับห่าฝนทองคำของหลินฮ่าวเจี๋ยที่ทั้งแข็งแกร่งและน่าเกรงขามได้?”
จื่ออียังคงหาข้อแก้ต่างไปสารพัด แม้เหตุผลของนางจะไม่น่าเป็ไปได้ก็ตาม
ด้านนอกกระท่อมมีพายุโหมกระหน่ำ ทันใดนั้นกองไฟที่หลินเฟิงได้ก่อเอาไว้ก็ดับลง ภายในกระท่อมพลันตกอยู่ในความมืดและเต็มไปด้วยความหนาวเหน็บ
หัวใจของจื่ออีและจื่อหลิงต่างเต้นระรัว พวกนางกุมมือกันและกันจนกระทั่งมือของพวกนางเต็มไปด้วยเหงื่อ
“ท่านพี่จื่ออี จริงๆ แล้วหากหลินเฟิงยังอยู่ที่นี่ก็คงจะช่วยได้มาก”
จื่อหลิงกล่าวด้วยเสียงหวาดระแวง นางเพิ่งตระหนักได้ถึงการมีตัวตนของหลินเฟิงว่ามันดีแค่ไหน คล้ายกับตอนนี้ที่กองไฟเบื้องหน้าได้มอดดับลง พวกเธอถึงตระหนักได้ว่าบรรยากาศรอบตัวมันช่างหนาวเย็นเพียงใด
“จื่อหลิง พวกเราขึ้นไปบนูเากันเถอะ ดีกว่าหนาวตายอยู่ที่นี่”
จู่ๆ จื่ออีก็กล่าวขึ้น ทำให้จื่อหลิงอุทานออกมาอย่างประหลาดใจ จากนั้นจื่ออีก็กล่าวต่อไปว่า “หลินฮ่าวเจี๋ยก็ขึ้นูเาไปไม่ใช่เหรอ? ถ้าพวกเราไปตอนนี้อาจได้เจอเขาก็ได้”
“แล้วหลินเฟิงล่ะ?”
“จะสนใจเขาทำไมกัน?” จื่ออีกล่าวอย่างเ็า
“งั้นก็ไปกันเถอะ” จื่อหลิงกล่าวจบ พวกนางก็ออกจากกระท่อมและขึ้นขี่บนหลังม้าพันลี้ แล้วควบม้าตรงไปยังูเาจื่อจินทันที
หลังจากพวกนางออกไปได้ไม่นาน จู่ๆ หลินเฟิงก็ปรากฏตัวออกมาจากหลังกระท่อม แล้วควบม้าตามพวกนางไป
บนูเาจื่อจินมีตำหนักตั้งอยู่หลังหนึ่ง สถานที่แห่งนี้เป็ของตระกูลจื่อและมีชื่อเสียงอย่างมากในละแวกนี้
ตระกูลจื่อมีผู้ฝึกยุทธ์อยู่ระดับขอบเขตลี้ลับ ซึ่งเทียบเท่ากับความแข็งแกร่งของอาณาจักรโม่เยว่และอาณาจักรเสวี่ยเยว่ แม้ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตลี้ลับเมื่ออยู่ในเมืองหลวงแล้วจะมีคนนับถือเพราะความแข็งแกร่งของเขา แต่ผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตนี้นับว่าหายากยิ่ง
นอกตำหนักตระกูลจื่อมีเสาขนาดใหญ่สองต้นและแขวนไว้ด้วยป้ายขนาดใหญ่ ซึ่งมีตัวอักษรสลักไว้ว่า ‘ตระกูลจื่อ’
ในตอนนี้จื่ออีและจื่อหลิงได้มาถึงเสาทั้งสองต้น ส่วนหลินเฟิงก็ตามมาอย่างนิ่งเงียบ พวกเขาทั้งสามใช้เวลาควบม้าไปตามทางอันมืดมิดถึงสองชั่วโมงเพื่อขึ้นไป้า
“พวกเรามาจากหมู่บ้านจื่อเหวย นี่คือบัตรเชิญ”
จื่ออีกล่าวพร้อมยื่นบัตรเชิญให้ผู้เฝ้าประตู
ผู้เฝ้าประตูคนนั้นเหลือบมองบัตรและพยักหน้าเป็สัญญาณให้เข้าไปข้างใน
เมื่อทั้งสามคนเข้ามาถึงตำหนักใหญ่แล้ว พวกเขาก็ไม่แน่ใจว่าควรไปทางไหนของตำหนักอันกว้างขวางนี้
จื่ออีและจื่อหลิงแม้เป็คนของตระกูลจื่อ แต่นี่ก็เป็ครั้งแรกที่พวกนางมาที่นี่ การมีสายเืของตระกูลจื่อไหลอยู่ในกายนั้นก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ แต่สิ่งพิเศษที่กำลังเกิดขึ้นวันนี้คือตระกูลสายหลักและสายย่อยที่มีพละกำลังมหาศาลต่างถูกเรียกมารวมตัวกันที่นี่
สองข้างทางมีผู้คนเดินผ่านไปมา แต่กลับไม่มีคนมาต้อนรับจื่ออีและจื่อหลิง นอกจากนี้พวกนางยังไม่มีที่พักสำหรับคืนนี้ จึงได้แต่จูงม้าพันลี้ไปรอบๆ ตำหนักแห่งนี้อย่างไร้จุดหมาย
“คุณชายหลิน เชิญทางนี้”
ในขณะนั้นได้มีร่างเงาทั้งสองร่างกำลังเดินอยู่บนทางเดินของตำหนัก
จื่ออีและจื่อหลินเงยหน้ามองไปทางต้นเสียง ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่า ‘คุณชายหลิน’ ที่แท้ก็คือหลินฮ่าวเจี๋ย
“คุณชายหลิน”
จื่ออีะโออกไป น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความสุข
เมื่อหลินฮ่าวเจี๋ยหันมาเห็นจื่ออีและจื่อหลิง ใบหน้าหล่อเหลาพลันเผยรอยยิ้มอ่อนโยนขณะเดินมาหาพวกนาง “ดูเหมือนหลินฮ่าวเจี๋ยผู้นี้จะมีชะตาต้องกับสาวสวยทั้งสอง ถึงได้บังเอิญเจอกันอีกครั้ง”
“คุณชายหลินเรียกข้าว่าจื่ออีก็พอแล้ว”
จื่ออีกล่าวอย่างเขินอายเล็กน้อย
“นายน้อยหลิน พวกนางเป็สหายของท่านหรือ?”
เมื่อหญิงรับใช้ที่กำลังต้อนรับหลินฮ่าวเจี๋ย เห็นเขารู้จักกับจื่ออีและจื่อหลิงจึงอดถามขึ้นไม่ได้
“ใช่แล้ว” หลินฮ่าวเจี๋ยหยักหน้าตอบ
“ที่แท้ก็เป็เช่นนี้นี่เอง งั้นขอถามคุณหนูจื่ออีว่า พวกท่านกำลังจะไปที่ไหนกัน?” เมื่อหญิงรับใช้ได้ยินว่าจื่ออีเป็สหายของหลินฮ่าวเจี๋ยจึงถามขึ้นมาด้วยไมตรีจิต ซึ่งหลินฮ่าวเจี๋ยเป็ถึงสหายของจื่อโฉงผู้เป็นายน้อยแห่งตระกูลจื่อ นอกจากนี้ยังมีพร์ที่ยอดเยี่ยมและมาจากตระกูลที่ร่ำรวย ที่เขาเป็สหายกับตระกูลจื่อแน่นอนว่าจะต้องได้รับการต้อนรับที่อบอุ่น
“ไปที่…” จื่ออีรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ขณะนั้นก็ได้ยินจื่อหลิงกล่าวขึ้นอย่างไม่พอใจว่า “พวกข้ามาจากหมู่บ้านจื่อเหวยซึ่งเป็สายตระกูลย่อย พวกข้ามาที่นี่เพื่อร่วมแสดงความยินดี แต่ตอนนี้ยังไม่ได้วางแผนว่าจะไปพักที่ไหน”
“หมู่บ้านจื่อเหวย” หญิงรับใช้พึมพำแล้วยิ้มราวกับเข้าใจและกล่าวว่า “ในเมื่อพวกท่านเป็สหายของคุณชายหลิน ข้าก็จะช่วยหาที่พักให้”
หากมาเพื่อร่วมแสดงความยินดี แน่นอนว่าตระกูลจื่อก็จะหาที่พักให้ แต่พวกนางมามืดค่ำขนาดนี้ มิหนำซ้ำยังเป็คนจากตระกูลย่อยอีก แน่นอนว่าไม่อาจมีใครเต็มใจจะต้อนรับพวกนาง
นอกจากนี้หญิงรับใช้คนนี้เอาแต่พูดถึงว่าเป็สหายของคุณชายหลิน แต่ไม่ได้เอ่ยถึงหมู่บ้านจื่อเหวย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสถานะของหมู่บ้านจื่อเหวยเป็เช่นไร และยังมีความสำคัญน้อยกว่าการเป็สหายของคุณชายหลินเสียอีก
“ไม่จำเป็ พรุ่งนี้ก็เป็วันแต่งงานของจื่อโฉง พวกเ้าก็ยุ่งมากแล้ว ห้องของข้ายังมีพื้นที่เหลือตั้งมาก สาวสวยทั้งสองสามารถมานอนที่ห้องของข้าได้”
หลินฮ่าวเจี๋ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม ส่วนหลินเฟิงก็ถูกเขาเมินใส่อีกครั้ง