“สบายดีขอรับ เพียงแต่น้องสาวข้าค่อนข้างยุ่ง”
“หมอเทวดาน้อยยุ่งอะไรหรือ”
“่นี้ใกล้จะถึงปีใหม่แล้ว บ้านข้ามีคนมาซื้อสินค้ามากมาย น้องสาวข้าจะต้องทำอาหารให้คนทั้งครอบครัว และนางก็เป็คนทำบัญชีด้วยขอรับ”
“หมอเทวดาน้อยมากความสามารถจริงๆ”
“น้องสาวข้าให้พวกเรานำคำพูดมาบอกต่อท่านว่า ่สิ้นปีมีอาหารมันๆ เยอะ ท่านต้องกินของมันเลี่ยนให้น้อย และอย่าลืมกินข้าวเช้าด้วยขอรับ”
“ขอบคุณหมอเทวดาน้อยมากที่ยังจำตาแก่คนนี้ได้”
หลังจากเด็กชายทั้งสี่แห่งบ้านหลี่กลับไปแล้ว เจียงชิงอวิ๋นก็ให้ลุงฝูนำสนับเข่าคู่หนึ่งไปมอบให้ฉินไท่เฟยที่จวนเยี่ยน อ๋อง
เขาอยากจะมอบให้โจวปิงด้วยจริงๆ เขาจำได้ว่าอีกฝ่ายาเ็ที่เข่า ทว่าโจวปิงมีฐานะเป็ถึงอ๋องแห่งแคว้น ทั้งอาภรณ์และอาหารการกินจะต้องผ่านการตรวจสอบอย่างละเอียดหลายครั้ง นอกจากนี้ภายในจวนเยี่ยนอ๋องก็มีบ่าวคอยดูแลเื่เย็บปักอยู่แล้ว เจียงชิงอวิ๋นคิดว่าขอเพียงฉินไท่เฟยได้เห็นสนับเข่า นางจะต้องให้บ่าวปักผ้าทำสนับเข่าให้โจวปิงแน่นอน
ลุงฝูกลับมาจากจวนเยี่ยนอ๋องแล้ว คราวนี้ได้รับของฝากจากแดนเหนือและใต้มาถึงครึ่งคันรถ ทั้งยังรับฝากคำพูดมาจากฉินไท่เฟยอีกหลายประโยค “นายท่าน ฉินไท่เฟยเชิญท่านไปฉลองปีใหม่ที่จวนเยี่ยนอ๋องในวันที่สามสิบขอรับ”
เจียงชิงอวิ๋นรับเพียงน้ำใจของฉินไท่เฟยเท่านั้น เขาส่ายหน้ากล่าวว่า “ข้ากำลังไว้ทุกข์ ไม่รบกวนท่านน้าและครอบครัวแล้ว”
“ท่านอ๋อง หวังเฟย รัชทายาท ล้วนสบายดีทุกท่าน เพียงแต่…” ลุงฝูกล่าวถึงตรงนี้ก็มีท่าทางคล้ายอยากพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ชะงักไป
เจียงชิงอวิ๋นโบกมือให้บ่าวไพร่คนอื่นถอยออกไปแล้วถามขึ้นว่า “่นี้โม่เสวียนไม่ได้มาเยี่ยมข้าเลย เกิดอะไรขึ้นกับเขาหรือไม่”
ก่อนหน้านี้โจวโม่เสวียนมักจะมาที่จวนเจียงบ่อยๆ หากมิได้นำของมาให้ก็มาสนทนาปราศรัยกับเขา ทว่าั้แ่ที่มาขอคำกลอนคู่ไปครั้งที่แล้วก็ไม่ได้มาอีกเลย
แววตาของลุงฝูเจือประกายหม่นหมอง “ขอรับ ท่านชาย (เสี้ยนกง) ไม่ค่อยสบาย”
เจียงชิงอวิ๋นกล่าวอย่างกังวล “โม่เสวี่ยนเป็อะไร”
ลุงฝูก้มหน้า “ท่านชายตกม้าขอรับ”
เจียงชิงอวิ๋นมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที รีบร้อนถามขึ้นว่า “โม่เสวียนขี่ม้าเก่งเพียงนั้น เหตุใดจึงตกม้าได้”
“ท่านชายปวดท้องรุนแรงขณะขี่ม้า ปวดจนทนไม่ไหวขอรับ”
“เหตุใดจึงปวดท้องได้” เจียงชิงอวิ๋นทราบดีว่า ในขณะที่กำลังขี่ม้าอยู่นั้น หากจู่ๆ ตกจากหลังม้าอาจจะถูกเหยียบซ้ำได้ง่ายและจะทำให้าเ็จนถึงกระดูก อาจาเ็สาหัสจนเสียชีวิตก็เป็ได้ คิดได้ดังนี้เขาก็ถามเสียงแ่ “อาการาเ็เป็อย่างไรบ้าง”
ลุงฝูกล่าวอย่างเนิบช้า “แขนซ้ายหัก หมอหลวงกล่าวว่า จะดีขึ้นในหนึ่งร้อยวัน” จากนั้นก็หยุดไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เพียงแต่ไม่พบสาเหตุของอาการปวดท้อง”
“ตอนที่เ้าไป โม่เสวียนยังปวดท้องอยู่หรือไม่”
“ไม่ได้ปวดแล้วขอรับ วันนั้นท่านชายปวดท้องกะทันหัน แต่จนกระทั่งวันนี้อาการก็ไม่ได้กำเริบอีกเลย”
เจียงชิงอวิ๋นหลุบตาลง ในใจคิดสงสัยว่า อาจมีคนวางแผนร้ายหรืออาจวางยาพิษโจวโม่เสวียน “เ้าได้ถามให้ชัดเจนหรือไม่ว่าวันนั้นโม่เสวียนตกม้าที่ใด”
ลุงฝูย่อมถามมาอย่างละเอียดแล้วจึงตอบได้ทันที “ที่โรงเรียนทหารของเมืองเยี่ยนขอรับ วันนั้นท่านอ๋องและรัชทายาทก็อยู่ด้วย ท่านชายกำลังแข่งม้ากับแม่ทัพหลายคน ผู้ใดจะทราบว่าจะเกิดเื่ระหว่างทาง”
ได้ยินดังนั้นเจียงชิงอวิ๋นก็คิดในใจว่า โจวปิงก็อยู่ด้วย หากมีคนคิดร้ายต่อโจวโม่เสวียนจริงๆ ด้วยวิธีการของโจวปิงจะต้องตรวจสอบเื่ราวออกมาได้ในเวลาไม่กี่วันแน่นอน แต่จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวอันใด แสดงให้เห็นว่าไม่ได้มีคนลอบทำร้ายโจวโม่เสวียนจริงๆ ดังนั้นสาเหตุที่โจวโม่เสวียนปวดท้องกะทันหันต้องเป็เพราะอาการเจ็บป่วยแน่นอน ปีนี้โจวโม่เสวียนอายุสิบสองแล้ว เขาฝึกวรยุทธ์ั้แ่เด็ก ร่างกายแข็งแรงเป็อย่างยิ่ง จะเจ็บป่วยอะไรได้
ลุงฝูกล่าวต่อไป “บ่าวได้ยินว่า หลังจากท่านชายตกม้า ก็ปวดท้องอีกหนึ่งเค่อ ปวดจนอยากกัดลิ้นฆ่าตัวตาย รัชทายาทจึงตีเขาให้สลบ เมื่อเขาปวดท้องจนสะดุ้งตื่นก็อยากกัดลิ้นฆ่าตัวตายอีก รัชทายาทก็ตีเขาให้สลบอีก เป็เช่นนี้อยู่สามครั้ง จนกระทั่งอาการปวดหายไป”
แม้เขาจะไม่ได้เห็นกับตา แต่ได้ยินจ้าวอี้รองผู้ดูแลของจวนเยี่ยนอ๋องพูดเื่นี้ด้วยอาการสะอึกสะอื้น ทำให้เขาจินตนาการออกเลยว่าตอนนั้นสถานการณ์อันตรายเพียงใด ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงเค่อเดียว โจวโม่เสวียนเ็ปจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ นับเป็ความผิดใหญ่หลวงสำหรับบ่าวไพร่ด้วย
“ปวดท้อง มันปวดได้เพียงนี้เชียวหรือ!” เจียงชิงอวิ๋นเงยหน้ามองลุงฝูที่มีท่าทางกังวล ในแววตาของอีกฝ่ายมีประกายดุจสายฟ้า ไม่นานก็มีความคิดบางอย่างเกิดขึ้นในสมอง “หรือโม่เสวียนก็มีก้อนหินอยู่ในถุงน้ำดีด้วย”
“บ่าวก็คิดเช่นนั้น บ่าวเลยไปถามเด็กรับใช้ที่มีหน้าที่ปรนนิบัติท่านชายมาแล้วขอรับ”
“เป็อย่างไรบ้าง”
“ท่านชายกินอาหารเช้าทุกวัน กินน้ำมาก ผลไม้ก็กินมาก ก่อนหน้านี้ไม่เคยปวดท้องมาก่อน อาการที่เหล่าโจวเคยเป็ ท่านชายก็ไม่เคยเป็”
“นี่…”
“บ่าวคิดว่าอาการของท่านชายไม่เหมือนมีก้อนหินในถุงน้ำดีเลยขอรับ”
ในใจของเจียงชิงอวิ๋นก็คิดว่าโจวโม่เสวียนคงไม่ได้เป็นิ่วในถุงน้ำดี เขาขมวดคิ้วถามว่า “นี่เป็ครั้งแรกที่เขามีอาการปวดท้องหรือ”
“ขอรับ”
“มีเพียงหมอหลวงที่ตรวจให้เขาหรือ”
“หมอที่มีชื่อเสียงในระยะร้อยลี้รอบๆ ก็เคยมาตรวจให้ท่านชายแล้ว แต่กลับตรวจไม่พบอะไร” ลุงฝูกล่าวต่อไป “บ่าวไปเยี่ยมท่านชายมาแล้ว นอกจากแขนซ้ายหัก อย่างอื่นก็ยังดีอยู่ สีหน้าก็ดี ความอยากอาหารก็ดี ไม่มีอะไรแตกต่างจากยามปกติ ท่านชายยังพูดคุยหัวเราะกับบ่าวด้วยซ้ำ”
“อาการป่วยที่ตรวจไม่พบจะทำให้ผู้อื่นกังวลใจมากที่สุด ท่านน้า ญาติผู้พี่ และพี่สะใภ้ของข้า จะต้องกินไม่อิ่มนอนไม่หลับเป็แน่ พี่สะใภ้ข้ายังตั้งครรภ์อยู่ด้วย เฮ้อ...”
ลุงฝูก้มหน้าต่ำ “ไม่ทราบว่าท่านชายเป็โรคอะไร หากมีหมอตรวจโรคได้ก็คงดี”
สายตาของเจียงชิงอวิ๋นทอดมองไปที่แห่งใดก็ไม่อาจทราบได้ ผ่านไปนานจึงค่อยพูดขึ้นว่า “เตรียมรถม้า ข้าจะไปเชิญหมอเทวดาน้อยที่หมู่บ้านหลี่”
ลุงฝูอดกล่าวไม่ได้ว่า “นายท่านฉลาดจริงๆ ขอรับ”
ดวงจันทร์ลอยสูงขึ้นเหนือศีรษะ หมู่บ้านหลี่อยู่ในความเงียบสงบ
ตะเกียงในบ้านหลี่ยังคงส่องสว่าง เด็กชายทั้งสี่แห่งบ้านหลี่กำลังอ่านหนังสืออยู่ใต้แสงตะเกียง ห้องทำเต้าหู้ก็ยังทำเต้าหู้อยู่ ส่วนหลี่หรูอี้หลับไปแล้ว
เด็กอายุเก้าขวบเป็วัยที่้านอนมาก หนึ่งวันต้องนอนไม่ต่ำกว่าห้าชั่วยาม (10 ชั่วโมง) มิเช่นนั้นจะไม่เป็ผลดีกับการเจริญเติบโตของร่างกาย
รถม้าวิ่งผ่านถนนของหมู่บ้านที่แข็งจนเป็น้ำแข็งไปแล้ว ล้อบดเบียดกับถนนจนเกิดเสียงดัง ทำลายความเงียบสงบของยามราตรี
ไม่นานหลี่หรูอี้ก็ถูกพี่ชายปลุกให้ตื่น นางลุกขึ้นมาสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วใช้เชือกผูกผมที่ยาวถึงเอวให้ดี จากนั้นก็เดินออกจากห้องนอนและไปยังห้องโถง
ภายใต้แสงตะเกียงสลัว เด็กหนุ่มรูปงามผู้สวมเสื้อคลุมขนสัตว์สีดำยืนอยู่กลางห้อง คิ้วกระบี่ขมวดมุ่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล เมื่อเห็นหลี่หรูอี้มาแล้วก็รีบกล่าวเข้าประเด็นทันที
“หมอเทวดาน้อย ไม่กี่วันก่อนขณะที่หลานของข้ากำลังขี่ม้าเขาเกิดปวดท้องกะทันหันจึงทำให้ตกม้า ตอนนี้มีอาการแขนซ้ายหัก ส่วนสาเหตุที่ปวดท้องนั้น กระทั่งวันนี้ก็ยังไม่ทราบ ข้าอยากเชิญเ้าตามข้าไปตรวจให้หลานชายข้าสักหน่อย”
ตอนนี้หลี่หรูอี้ไม่อาจปฏิเสธเด็กหนุ่มที่เสมือนเป็อาจารย์ของพี่ชายทั้งสี่ได้ แต่จำเป็ต้องพูดจาเสียมารยาทต่อหน้าเขาสักหน่อย ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อตัวของเจียงชิงอวิ๋นเอง “ครอบครัวของหลานชายท่านทราบหรือไม่ว่า ข้าไม่มีใบรับรองฐานะแพทย์ของทางการ”
“ไม่ทราบ
“หากท่านพาข้าไปที่บ้านเขา แล้วครอบครัวสงสัยในวิชาแพทย์ของข้า ข้าที่เป็เพียงเด็กหญิงชาวบ้านธรรมดาย่อมไม่เป็อะไร แต่ท่านจะไม่เสียหน้าหรือ”
เจียงชิงอวิ๋นกล่าวอย่างเรียบเฉย “ไม่เป็ไร”
หลี่เจี้ยนอันกล่าวขึ้นว่า “น้องสาว เมื่อครู่ท่านพ่อเพิ่งบอกกับท่านอาจารย์ว่า เขาจะไปเป็เพื่อนข้ากับเ้าด้วย”
หลี่ซานคิดว่าหลานชายของเจียงชิงอวิ๋นคงเป็เพียงเด็กน้อยคนหนึ่ง เด็กน้อยป่วยเป็อันตรายที่สุดแล้ว เขาจึงรีบเร่งว่า “ลูกสาว ช่วยคนก็เร่งด่วนเหมือนดับไฟ เ้ารีบเปลี่ยนไปใส่ชุดพี่ชายเ้า แล้วไปกับพวกเราเถิด”
หลี่เจี้ยนอันดึงน้องสาวของตนมาด้านข้างแล้วกระซิบบอกว่า “เมื่อครู่ท่านอาจารย์บอกพวกเราว่า ให้เ้าแต่งกายเป็บุรุษเพื่อความสะดวกสบาย”
“ได้” หลี่หรูอี้ก็คิดว่าหลานชายของเจียงชิงอวิ๋นเป็เด็กน้อยคนหนึ่งเช่นกัน นางกลัวว่าหากไปช้าแล้วจะทำให้อาการย่ำแย่ลงไปอีก ดังนั้นจึงรีบกลับไปที่ห้องนอน
หลี่อิงฮว๋านำเสื้อผ้าชุดเก่าที่ตนเคยสวมเมื่อก่อนมาให้หลี่หรูอี้ จากนั้นก็จ้องมองนางแล้วพูดว่า “ใบหน้าของเ้าขาวเกินไป ข้าจะไปหยิบถ่านที่ห้องครัวมาทาบนหน้าของเ้า”
หลี่หรูอี้มัดผมเป็ทรงซาลาเปา สวมเสื้อสีเทาตัวใหญ่ที่มีรอยปะชุน ใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยถ่านสีดำ แต่ดวงตาทั้งสองยังคงเป็ประกายเฉลียวฉลาด ดูแล้วเหมือนเด็กชายชาวบ้านธรรมดาทั่วไป
หลี่หรูอี้มาที่ห้องโถง เมื่อถึงตรงประตูก็ได้ยินเสียงจ้าวซื่อพูดกับเจียงชิงอวิ๋นว่า “นายท่านเจียง ข้ามีบุตรสาวเพียงคนเดียว ท่านจะต้องพานางกลับมาบ้านอย่างปลอดภัยไร้อันตรายนะเ้าคะ”
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้