ฉีอวิ๋นพยักหน้า "เื่นี้เ้าไม่จำเป็ต้องทำอะไรมากอีกแล้ว จากนี้ไปก็ต้องดูแลตัวเองให้ดี สำหรับเื่เตรียมคนเข้าไปอยู่ในอาณัติของพี่รอง มอบให้ข้าจัดการก็พอ"
"งั้นก็ตามใจเ้า" จวินหวงก็มิได้เกรงใจ จะว่าไปเื่นี้นางก็ทำอะไรไม่ได้มากมาั้แ่แรก
"นอกจากนี้ข้าคิดว่าอำนาจของพี่รองมิอาจประเมินต่ำได้ เื้ัเขาต้องมีฐานอำนาจยิ่งใหญ่สนับสนุนเขาอยู่แน่นอน" ฉีอวิ๋นกล่าว
"เื่นี้ข้าคิดเอาไว้อยู่แล้ว เดิมทีข้านึกว่าเื่ที่เขายักยอกเงินบรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัยพิบัติจะสามารถทำให้ไม่มีผู้ใดสนับสนุนเขาอีก แต่ใครจะรู้ว่ามีคนแอบช่วยเป็ตัวกลางเชื่อมต่อกับขุนนางใหญ่ทุกคนอยู่เื้ั ถามว่าเป็ใครกลับไม่มีคำตอบ คนผู้นี้ไม่ธรรมดาจริงๆ" สีหน้าของจวินหวงจริงจังขึ้น ตอนนี้เื่ของฉีเฉินนับวันยิ่งไร้ความกระจ่างชัด เหมือนกับหลุมลึกไร้ก้นบึ้ง มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด
เห็นจวินหวงมีความกังวลปรากฏอยู่ที่หัวคิ้ว ฉีอวิ๋นรู้สึกขุ่นเคืองใจเล็กน้อย เขาอุตส่าห์สะสมกำลังและความแข็งแกร่งมานาน ตอนนี้กลับยังต้องให้บัณฑิตรูปร่างบอบบางมาช่วยเหลือตนเองให้รู้สึกเกรงใจเป็อย่างยิ่ง เขายื่นมือไปตบบ่าจวินหวงเบาๆ ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง "เื่นี้ก็ไม่ต้องกังวลใจเกินไป พวกเราหยุดความเคลื่อนไหวชั่วคราวไปก่อน เื่อื่นๆ ค่อยว่ากันภายหลังเถอะ"
"ทางด้านรัชทายาทตอนนี้เป็อย่างไรบ้าง?" จวินหวงถามขึ้น
คุยถึงฉีอิน ฉีอวิ๋นยิ่งรู้สึกจนใจนึกปลงสังเวช เขาบอกเล่าสิ่งที่เห็นในวันนี้ให้กับจวินหวง หลังจากฟังแล้วจวินหวงก็หัวเราะออกมา "ไม่เคยคิดเลยว่ารัชทายาทจะตกต่ำถึงเพียงนี้ แต่อย่างนี้ก็ดีนับว่าให้บทเรียนแก่เขาแล้ว"
"เอาล่ะ ฉีอวิ๋น พวกเราคงโอ้เอ้นานกว่านี้ไม่ได้แล้ว ตอนนี้คิดว่าฉีเฉินก็คงกลับแล้ว หากข้ากลับไปถึงช้า เขาจะระแวงเอาได้ เ้าเองก็รีบกลับจวนเถอะ" จวินหวงพูดจบก็ออกมาทันที
ฉีอวิ๋นส่งจวินหวงกลับไปด้วยสายตา ในใจเกิดความรู้สึกโดดเดี่ยวขึ้นมาเล็กน้อย ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งอย่างจนใจ คลี่พัดกางออกแล้วเดินกลับจวนของตนเอง ทุกเื่ราวเก่าๆ และความฝันในอดีตล้วนสูญสลายไปหมดแล้ว ตอนนี้เขาก็เป็เพียงคนธรรมดาคนหนึ่งซึ่งใช้ชีวิตหนึ่งท่ามกลางการต่อสู้ระหว่างพี่น้องเท่านั้น
และทุกอย่างก็ไม่ได้เกินไปจากความคาดหมายของจวินหวง เมื่อนางกลับมาถึงจวนเฉินอ๋อง ก็เห็นเฉินอ๋องเพิ่งกลับเข้ามาจากในวังพอดี ดูเหมือนว่า่นี้ฮ่องเต้จะทรงใส่พระทัยเขายิ่งนัก นี่ยังให้คนหามเกี้ยวส่งเขากลับมาอีกด้วย
"น้องเฟิง เ้าออกไปข้างนอกมาหรือ?" ฉีเฉินมองเห็นจวินหวงมาแต่ไกล และให้คนวางเกี้ยวลง จากนั้นก็วิ่งเข้าไปหาจวินหวง ดูท่าทางเขาคงจะได้รับคำชมจากฮ่องเต้มาอีกแล้ว สีหน้าถึงได้เต็มไปด้วยรอยยิ้มเช่นนี้
"เมื่อครู่ข้าออกไปเดินเล่นมา หวางเหย่เพิ่งจะกลับมาจากในวังหรือ?" จวินหวงเบี่ยงเบนหัวข้อสนทนาอย่างรวดเร็ว ถามทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ
ฉีเฉินพยักหน้า "ตอนแรกคิดแค่ว่าจะไปเยี่ยมรัชทายาท แต่ใครจะรู้ว่าเสด็จพ่อกลับให้พวกเราเข้าวัง เมื่อครู่เสด็จพ่อยังรั้งให้ข้าอยู่คุยต่ออีก ทรงชื่นชมข้าว่าสามารถจัดการเื่ราวทุกอย่างได้อย่างเหมาะสมอีกด้วย"
"เปิ่นหวางคิดว่าความสามารถล้ำเลิศของน้องเฟิงไม่ควรถูกปิดบังซ่อนเร้นเอาไว้เช่นนี้ หากน้องเฟิงปรารถนา เปิ่นหวางจะสรรหาคำพูดดีๆ ทูลขอให้เสด็จพ่อพระราชทานตำแหน่งขุนนางให้เ้าสักตำแหน่งก็ยังได้" ฉีเฉินกล่าวเสนอความคิด
จวินหวงได้ฟังก็หน้าถอดสี รีบบอกปัดอย่างรวดเร็ว "หวางเหย่ทำเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด ข้าน้อยคิดเพียงจะทำงานเพื่อหวางเหย่ผู้เดียวเท่านั้น หากให้ฮ่องเต้ทรงมอบตำแหน่งขุนนางให้ข้า เกรงว่าคงยากที่ข้าน้อยจะได้ทำงานวางแผนกลยุทธ์ให้หวางเหย่อีก"
ฉีเฉินไตร่ตรองคำพูดของจวินหวงอย่างถี่ถ้วนก็รู้สึกว่ามีเหตุผลไม่น้อย จึงพยักหน้าแล้วเดินเคียงบ่ากับจวินหวงเข้าไปในจวน ทั้งยังเชื้อเชิญให้จวินหวงไปร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน ทั้งสองสนทนากันอย่างเพลิดเพลิน เดิมทีจวินหวงอยากจะได้ข้อมูลจากปากฉีเฉินเพิ่มอีกนิด แต่ใครจะรู้ฉีเฉินกำลังอารมณ์ดี ดื่มสุราเยอะไปหน่อย ไม่เท่าไรก็หลับไป จวินหวงจึงได้แต่จนใจ หลังจากเรียกคนปรนนิบัติฉีเฉินเข้านอนแล้ว จวินหวงถึงเดินกลับไปยังเรือนเล็กที่ตนเองพักอาศัยอยู่ เว่ยเฉี่ยนยืนรอนางกลับไปอยู่ที่หน้าประตู
"คุณชายไปไหนมาหรือเ้าคะ" เว่ยเฉี่ยนถาม
จวินหวงกำลังรู้สึกครึ้มใจ ที่ผ่านมานางมักจะตอบแบบคลุมเครือ แต่วันนี้นางนึกอยากจะหยอกล้อเว่ยเฉี่ยนสักหน่อย จึงแสร้งย้อนถามอย่างเ็า "หวางเหย่ให้เ้ามาเฝ้าจับตาดูข้าหรือ?"
"ย่อมไม่ใช่อยู่แล้ว" เว่ยเฉี่ยนรีบอธิบายแก้ตัว กลัวว่าจวินหวงจะเข้าใจอะไรผิด
"ในเมื่อเป็เช่นนี้ ข้าก็ไม่จำเป็ต้องตอบคำถามเ้า ข้าเหนื่อยแล้ว เ้าก็ตามสบายเถอะ" จวินหวงพูดจบก็เดินเข้าห้องนอนไป ตอนที่ปิดประตูนางแอบหัวเราะเบาๆ ออกมาเสียงหนึ่ง
...
หนานสวินนั่งอยู่ในจวนของตนเอง องครักษ์เงายืนอยู่ด้านข้างรอฟังคำสั่งจากเขาอยู่ หลังจากใช้ความคิดไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่ หนานสวินถึงหยิบพู่กันและกระดาษขึ้นมา ค่อยๆ เขียนตัวอักษรลงไป หลังจากนั้นก็ส่งให้องครักษ์เงา "นำสิ่งนี้ไปที่จวนเฉินอ๋องมอบให้เฟิงไป๋อวี้ จำไว้ อย่าให้ฉีเฉินรู้เื่เด็ดขาด"
"ข้าน้อยทราบแล้ว" องครักษ์เงารับกระดาษมาสอดเข้าไปในอกเสื้อ แล้วถอยออกไปเงียบๆ
ล่วงเข้าสู่ยามราตรี บนถนนในเมืองหลวงมีเพียงคนตีเกราะบอกเวลาเดินอยู่เท่านั้นไม่มีคนอื่นๆ องครักษ์เงาฝีเท้าว่องไวไร้สุ้มเสียง ไม่นานนักก็มาถึงนอกจวนเฉินอ๋อง เขามองไปที่กำแพงสูง แตะปลายเท้าะโลอยตัวขึ้นไป ตอนที่ะโลงมาเท้าเหยียบลงบนแผ่นกระเบื้องก็รู้ว่าเกิดเสียงดังขึ้นเล็กน้อย
เว่ยเฉี่ยนเป็คนที่เคยได้รับการฝึกฝนมาเป็อย่างดี แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยหลับลึก พอได้ยินเสียงคราวนี้ก็ลืมตาขึ้นทันที ผลักประตูตรงไปที่ห้องพักของจวินหวง นางยืนที่หน้าประตูอยู่นานถึงจะเคาะประตู "คุณชายนอนแล้วหรือยังเ้าคะ?"
ได้ยินเสียงสวมเสื้อผ้าสวบสาบ จากนั้นแสงเทียนจากในห้องถึงสว่างขึ้น ภายใต้แสงสว่างก็เห็นจวินหวงลงจากเตียง เดินมาเปิดประตู
"มีอะไรหรือ?" จวินหวงถามขึ้นด้วยท่าทางงัวเงีย มือขยี้ตาผมยุ่งเล็กน้อย สวมเสื้อตัวนอกคลุมร่างกายไว้
เว่ยเฉี่ยนมองสำรวจภายในห้อง สีหน้าของจวินหวงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงสักนิด หลังจากพิจารณาเรียบร้อยก็เก็บสายตากลับมา แล้วส่ายหน้า "ไม่มีอะไร เพียงแค่มาดูว่าคุณชายปลอดภัยดีหรือไม่เท่านั้น"
จวินหวงส่ายหน้า "ข้าสบายดีทุกอย่าง" พูดจบเว่ยเฉี่ยนก็หมุนกายเดินออกไป จวินหวงส่งเว่ยเฉี่ยนออกไปด้วยสายตาจนกระทั่งเว่ยเฉี่ยนกลับไปยังห้องข้าง นางถึงปิดประตูลงแล้วเดินเข้าไป
องครักษ์เงาจากไปแล้ว แต่ไม่ได้ปิดประตูหน้าต่างด้านหลัง นางขมวดคิ้วสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น จนกระทั่งเดินไปถึงหน้าเตียง ก็เห็นบนเตียงมีกระดาษวางอยู่
"ตอนนี้ฉีเฉินเรืองอำนาจในราชสำนัก แม้ชื่อเสียงแปดเปื้อนเื่ยักยอกเงินบรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัยพิบัติ แต่ยังมีคนสนับสนุนเขาอยู่เื้ั แผนการในตอนนี้มีเพียงโน้มน้าวคนที่เริ่มคิดเอาใจออกห่างจากเขา เื่นี้ข้าออกหน้าไม่ได้ ต้องมอบให้เป็หน้าที่เ้าแล้ว พรุ่งนี้ที่โรงสุราได้นัดหมายรองเสนาบดีไว้ให้เรียบร้อยแล้ว"
จวินหวงมองดูตัวอักษรที่เขียนด้วยลายเส้นอันทรงพลัง ยิ่งได้ใคร่ครวญพิจารณาอย่างรอบคอบ ก็รู้สึกว่าการดำเนินการในครานี้ของหนานสวินถือว่าดีเยี่ยม หลังจากอ่านข้อความในกระดาษแล้วก็วางกระดาษเหนือเปลวเทียน แล้วมองดูเปลวไฟค่อยๆ ลามเลียแผ่นกระดาษจนกลายเป็เถ้าถ่านในที่สุด หัวใจสงบเงียบไร้คลื่นลม
ท้องฟ้าเริ่มสว่างจวินหวงลุกขึ้นมาจากเตียงนอน วันนี้เว่ยเฉี่ยนต้องออกไปพร้อมกับฉีเฉิน โดยปกติฉีเฉินปล่อยให้จวินหวงเข้าออกจวนได้อย่างอิสระอยู่แล้ว ดังนั้นนางจึงออกมาข้างนอกได้อย่างง่ายดาย
ขณะไปถึงหอสุรายังเช้าอยู่มาก จวินหวงจึงให้เสี่ยวเอ้อชงชามาให้หนึ่งกา แล้วนั่งจิบชาอยู่ที่โต๊ะเตี้ยด้วยความรื่นรมย์เพียงลำพัง อาภรณ์ตัวยาวสีม่วงปักดิ้นทองประณีตวิจิตรแต่ก็ไม่สูญเสียความสุขุมคัมภีรภาพ ใบหน้าขาวใสเกลี้ยงเกลา เรือนผมดำขลับรวบขึ้นครอบด้วยกวานหยกขาวดูเปล่งประกาย
ท่านรองเสนาบดีไม่เคยพบกับจวินหวงมาก่อน เมื่อเห็นได้เห็นจวินหวงในท่วงท่าสง่างามเช่นนี้ก็ตะลึงไปเล็กน้อย ไม่รู้ว่าควรจะวางตัวอย่างไร กลับเป็จวินหวงที่ยิ้มให้ วางถ้วยชาลงแล้วลุกขึ้นต้อนรับ
"ผู้น้อยเฟิงไป๋อวี้ คอยใต้เท้าอยู่นานแล้ว" นางประสานมือโค้งคารวะ รอยยิ้มที่พอเหมาะพอดี ทำให้ท่านรองเสนาบดีค่อยคลายความรู้สึกหวาดระแวงภายในใจลงมาได้
รอหลังจากที่รองเสนาบดีนั่งลงแล้วจวินหวงก็หยิบถ้วยชาท่วงท่าเป็ธรรมชาติ แล้วรินน้ำชาลงไป จากนั้นก็ส่งไปตรงหน้าของท่านรองเสนาบดี "ใต้เท้า นี่คือชาใบไผ่มรกต ได้ยินมาว่าใต้เท้าชื่นชอบชานี้เป็พิเศษ"
รองเสนาบดีตกตะลึงเล็กน้อย เขาไม่คาดคิดว่าเด็กหนุ่มที่เพิ่งเจอกันวันนี้ถึงกับรู้ความชอบของตนเอง เขารับถ้วยชามาด้วยรอยยิ้มแล้วยกขึ้นวางใต้จมูก กลิ่นหอมของชาโชยปะทะจมูก ยังไม่ต้องดื่มก็รู้ว่าเป็ชาชั้นยอดที่หายาก
"ท่านชอบหรือไม่?" จวินหวงถามด้วยรอยยิ้ม
"กลิ่นชาหอมอบอวลเนิ่นนานไม่จางไป" กล่าวจบรองเสนาบดีก็จิบเข้าไปหนึ่งคำ "ทิ้งความหอมไว้ในปาก ช่างเป็ชาที่ประเสริฐจริงๆ" เขาชื่นชมไม่ขาดปาก แต่ใบหน้าของจวินหวงยังคงสงบนิ่งอยู่เช่นเดิม ราวกับรู้ั้แ่ต้นแล้วว่ารองเสนาบดีจะต้องให้คำตอบเช่นนี้
ดวงตายาวเรียวของจวินหวงหลุบลงมาครึ่งหนึ่ง แล้วเป่าใบชาที่ลอยอยู่ในถ้วยชาตรงหน้าของตนเอง ดื่มเข้าไปหนึ่งคำแล้วเหลือบตาขึ้นมองรองเสนาบดี มุมปากค่อยๆ ยกขึ้น "ของดีควรต้องมอบให้กับคนที่ใช่ ใต้เท้าเห็นว่าคำพูดของผู้น้อยเป็อย่างไร?"
รองเสนาบดีขมวดคิ้วมุ่น เกิดความไม่แน่ใจว่าคำพูดของจวินหวงหมายความว่าอย่างไร
"ผู้น้อยก็จะไม่พูดจาอ้อมค้อมกับใต้เท้า มีบางเื่ที่พวกเรารู้อยู่แก่ใจแต่ไม่อาจเผยความจริงได้ วันนี้ผู้น้อยมาพบใต้เท้าเพียงแค่อยากเจรจาการค้ากับท่าน"
"การค้าอันใด?"
"ได้ยินว่าหลายปีนานมาแล้วใต้เท้ามีความสามารถแต่ไม่มีโอกาสแสดงฝีมือ ต่อมาท่านได้รับการสนับสนุนจากองค์ชายรอง ดังนั้นถึงได้เลื่อนขึ้นมาเป็รองเสนาบดีขั้นหนึ่ง จะว่าไปแล้วสำหรับใต้เท้า ฉีเฉินคือผู้มีบุญคุณประดุจป๋อเล่อ[1] ไม่ทราบว่าที่ผู้น้อยกล่าวมานี้เป็เื่จริงหรือไม่?" สายตาจวินหวงจับจ้องที่รองเสนาบดี คำพูดที่กล่าวมาทุกถ้อยคำล้วนเป็ความจริง
รองเสนาบดีฟังแล้วก็ตะลึงเพริด เหงื่อเย็นไหลออกมา เพียงชั่วครู่ก็เปียกชุ่มอกเสื้อ อึ้งงันไปชั่วขณะไม่รู้ว่าควรแสดงกิริยาเช่นไรถึงจะดูเป็ธรรมชาติ แต่จวินหวงกลับไม่ได้จ้องเขาอีก นางเพียงแค่ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่หน้าต่าง มองออกไปข้างนอกชมทัศนียภาพทั่วเมืองหลวง
"แต่ผู้น้อยก็ได้ยินมาว่าระยะนี้ใต้เท้ามีความพะวงในใจตลอดเวลาเื่ที่ฉีเฉินยักยอกเงินบรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัยพิบัติ ผู้น้อยทราบดีว่าใต้เท้าเป็ขุนนางประเสริฐ มีใจรักใคร่ประชาชน ย่อมไม่อาจทนเห็นการกระทำของฉีเฉินได้" พูดจบจวินหวงก็หันหน้าไปมองรองเสนาบดี รอยยิ้มยิ่งดูอ่อนบางเฉยชา แต่รองเสนาบดีกลับใจนเหงื่อแตกซิก เขาไม่คิดมาก่อนว่าจะมีคนรู้จักและเข้าใจตัวตนของเขาอย่างลึกซึ้ง ราวกับเป็ตัวเขาเองคนที่สองก็ไม่ปาน
รองเสนาบดีใจเต้นไม่เป็ส่ำ ไม่รู้ว่าจวินหวงมีที่มาจากไหน หัวใจเขายิ่งเพิ่มความระแวดระวังขึ้นมาหลายส่วน "ไม่ทราบว่าคุณชายเฟิงให้ผู้น้อยมาพบวันนี้ด้วยธุระอันใด? พวกเราคนจริงไม่จำเป็ต้องพูดอ้อมค้อม" ในที่สุดเขาก็เป็ไปตามที่จวินหวงคาดไว้ ไม่มีความอดทนมากมาย เพียงชั่วครู่ก็สงสัยที่มาของจวินหวง
จวินหวงหัวเราะออกมา "วันนี้ผู้น้อยมาพบใต้เท้า ก็เพียงแค่อยากรู้ว่าใต้เท้ากับผู้น้อยคือผู้เดินอยู่บนเส้นทางเดียวกันหรือไม่ก็เท่านั้น"
"หมายความว่าอย่างไร?"
"บัดนี้ใต้หล้าแยกเป็สามแคว้น สามแคว้นเวลานี้ล้วนสงบสุข แต่ใต้เท้าคิดว่าสภาพการณ์ปัจจุบันเยี่ยงนี้จะคงอยู่ไปได้นานเท่าไร? เป่ยฉีในตอนนี้มีฮ่องเต้ที่ทรงพระปรีชาสามารถ แต่ฮ่องเต้พระองค์ต่อไปล่ะ? ใต้เท้ายังคงคิดว่าองค์ชายรองทรงมีพระปรีชาสามารถเพียงพอจะรับภาระหน้าที่ยิ่งใหญ่นี้ได้อยู่อีกหรือไม่?”
"นอกจากนี้ รัชทายาทหนักไม่เอาเบาไม่สู้ ยากนักที่จะรับภาระหน้าที่ยิ่งใหญ่ องค์ชายรองก็เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนไม่ใส่ใจสุขทุกข์ของประชาชน ผู้น้อยจึงขอถามใต้เท้า ท่านคิดจริงๆ หรือว่าหากเขาขึ้นเป็ฮ่องเต้ ใต้หล้าจะสุขสงบร่มเย็น ชาวประชาจะอยู่อย่างสันติได้?" จวินหวงกล่าวด้วยความรู้สึกเดือดดาล ตีแผ่จุดด่างพร้อยราวกับโรคร้ายอันน่ารังเกียจของฉีเฉิน ชวนให้คนรู้สึกเคียดแค้นชิงชัง
รองเสนาบดีได้ฟังแล้วก็นิ่งงัน ทุกคำกล่าวของจวินหวงล้วนมีเหตุผล ทุกถ้อยคำล้วนทำให้ตนเองต้องพิจารณาอย่างลึกซึ้ง ทุกการกระทำของฉีเฉินเลวร้ายเกินจะรับได้ คนแบบนี้หากได้เป็ฮ่องเต้ ย่อมเป็คราวเคราะห์ของเป่ยฉี เป็โชคร้ายของปวงประชาอย่างแน่นอน!
..................................................................................................................
[1] ป๋อเล่อ เป็คำเรียกคนคัดสรรม้าศึกสมัยโบราณ มีคำสุภาษิตที่ว่า ป๋อเล่อเลือกม้า หมายถึง ผู้มีความสามารถในการคัดเลือกยอดอาชา หรือสามารถใช้ในความหมายว่าผู้มีสายตาแหลมคมในการคัดเลือกคน