หวางลี่ลี่ไม่รู้จะทำอย่างไร สภาพอากาศนับวันยิ่งหนาวขึ้นเรื่อยๆ เธอเลยต้องนำเงินไปซื้อฟืนมาเตรียมไว้ จากนั้นค่อยไปประจบเอาใจคนในหมู่บ้านเพื่อแลกกับอาหารและธัญพืช จะได้มีเสบียงอาหารไว้กินตอนฤดูหนาว
ตอนนี้เธอแค้นสองแม่ลูกคู่นั้นยิ่งนัก ส่วนความแค้นที่มีต่อเซี่ยโม่กับน้องชาย เธอโยนทิ้งไว้ข้างหลังก่อนชั่วคราว
เวลานี้ในมือเธอมีเงินแค่นิดหน่อย อาหารและธัญพืชก็มีไม่มาก พอไม่มีเงินใครที่ไหนจะมาช่วยเหลือ รอให้สามีกลับมาก่อนค่อยว่ากัน
มีสิ่งหนึ่งที่เหนือความคาดหมายของหวางลี่ลี่ นั่นก็คือสามีของเธอปรากฏตัวในวันที่หิมะตกเป็วันแรกของปี
พอเห็นสามี เธอก็พุ่งเข้าไปหาด้วยความดีใจ
“สามี ในที่สุดคุณก็กลับมาสักที พวกเราสองแม่ลูกถูกรังแกจนแทบจะเอาชีวิตไม่รอดอยู่แล้ว…”
“เกิดอะไรขึ้น แล้วเฉินซีล่ะ” เซี่ยฟู่กุ้ยถามด้วยความสงสัย
เขาไม่รู้เลยสักนิดว่าที่บ้านเกิดเื่อะไรขึ้นบ้าง ในใจนึกถึงแต่บุตรชายของตัวเอง
เพียงแค่ได้ยินชื่อเซี่ยเฉินซี หวางลี่ลี่รู้สึกเหมือนมีมีดมาปักที่กลางอก ดวงตาทั้งสองข้างพรูไปด้วยน้ำตา
“แก…แกไม่อยู่แล้ว” พูดจบเธอก็ร้องไห้โฮออกมา
เซี่ยฟู่กุ้ยนิ่งงันไป
ผู้ชายโดยเฉพาะคนในยุคนี้ล้วนให้ความสำคัญกับบุตรชายทั้งสิ้น
นับั้แ่หวางลี่ลี่แต่งเข้าบ้านมา ก็เอาแต่พูดกรอกหูอยู่ตลอดว่าเซี่ยเฉินเฟิงเป็เด็กโง่ เซี่ยฟู่กุ้ยเลยเชื่อว่าคำพูดภรรยาคือเื่จริง ในใจจึงยิ่งหวังอยากได้บุตรชายอีกสักคนมาสืบทอดวงศ์ตระกูล
แต่ปรากฏว่าในบ้านกลับมีเื่เกิดขึ้นมากมาย จนทำให้เขากับหวางลี่ลี่ต้องถูกส่งตัวไปทำงานในค่ายแรงงานสำหรับนักโทษ
เดิมทีกำหนดพ้นโทษของเซี่ยฟู่กุ้ยคืออีกหนึ่งเดือนกว่า ทว่าภายในค่ายตอนนี้ไม่เหลืองานอะไรให้ทำแล้ว ทางค่ายเลยไม่้าให้มีนักโทษอยู่เพื่อเป็ภาระอีก
ปล่อยตัวตอนนั้นกับปล่อยตัวตอนนี้ก็มีค่าเท่ากัน แถมปล่อยตัวก่อนช่วยประหยัดอาหารของค่ายได้อีกต่างหาก
ด้วยเหตุนี้เขาเลยถูกปล่อยตัวก่อนกำหนด ระหว่างเดินทางกลับ เขาสวมเพียงเสื้อผ้าบางๆ ชุดเดียว แม้จะหนาวจนเสียดแทงเข้าไปถึงกระดูก แต่ใจเขากลับคิดถึงแต่ลูกชายที่รออยู่ที่บ้าน ไม่รู้ป่านนี้ลูกชายจะเป็อย่างไรบ้าง จะอ้วนขึ้นหรือผอมลงมากแค่ไหน
แต่พอมาถึงบ้าน ภรรยากลับบอกว่าลูกชายไม่อยู่แล้ว ลูกชายคนนั้นคือความหวังและคืออนาคตของเขา เหตุใดเซี่ยเฉินซีถึงจากเขาไป?
เขากระชากคอเสื้อผู้เป็ภรรยา ถามถึงเื่ราวที่เกิดขึ้นด้วยน้ำเสียงดุดัน “ทำไมถึงไม่อยู่แล้ว ตอนผมไป แกยังร้องไห้ดิ้นไปดิ้นมาอยู่เลย คุณถูกปล่อยตัวกลับมาก่อนไม่ใช่เหรอ ดูแลแกยังไงถึงปล่อยให้แกตายได้!”
หวางลี่ลี่ยังคงร้องไห้ไม่หยุด “สามี แกตายั้แ่ก่อนฉันจะกลับมาครึ่งเดือนแล้ว”
“ทำไมถึงเป็แบบนั้นไปได้…” แล้วเขาก็นึกออกในนาทีต่อมา “เซี่ยอวิ๋นดูแลน้องยังไง?!”
เื่ดำเนินมาถึงขั้นนี้ หวางลี่ลี่ร้องไห้พร้อมกับเล่าเื่ที่เกิดขึ้นทั้งหมดออกไป รวมถึงเื่ที่เซี่ยเฉินซีขึ้นจากหลุมมาหลอกเซี่ยอวิ๋นจนเสียสติด้วย
เพื่อเป็การแก้แค้นเธอเลยหาสามีให้บุตรสาว ต่อมาถูกบ้านสามีส่งตัวคืนเพราะทราบเื่ที่เซี่ยอวิ๋นสติไม่ดี และตอนนี้เซี่ยอวิ๋นก็กำลังตั้งท้อง
เซี่ยฟู่กุ้ยนึกไม่ถึงเลยว่า่ที่เขาอยู่ในค่ายแรงงาน ที่บ้านจะเกิดเื่ขึ้นมากมายขนาดนี้
หลายปีที่ผ่านมาเขาเห็นเซี่ยอวิ๋นเป็เหมือนบุตรสาวแท้ๆ ของตนเอง วันที่ถูกตำรวจจับกุม ไม่ว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็ไม่ยอมเลี้ยงน้อง นั่นจึงทำให้เขารู้ว่าเด็กคนนี้คือหมาป่าตาขาวตัวหนึ่ง
คาดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายจะดูแลบุตรชายผู้เป็ความหวังของเขาไม่ดี จนถึงขั้นปล่อยให้ตายไป
ตอนนั้นไม่ควรใจอ่อนและยอมให้เซี่ยอวิ๋นดูแลบุตรชายของเขาเลย มาคิดได้ตอนนี้ก็สายเกินไปแล้ว
เขาหันไปมองเซี่ยอวิ๋นที่นอนอยู่บนเตียงด้วยแววตาโกรธแค้น นึกอยากจะจับมาสับเป็ชิ้นๆ เสียให้รู้แล้วรู้รอดไป
ทว่าเขานึกถึงความรู้พื้นฐานเื่กฎหมายที่ได้เรียนจากในค่ายแรงงานขึ้นมาได้
เซี่ยฟู่กุ้ยเก็บสายตาเคียดแค้นกลับคืน อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็กลายเป็คนเสียสติไปแล้ว ค่อยๆ เอาคืนทีละอย่างก็แล้วกัน
หวางลี่ลี่ไม่ได้รู้ถึงความคิดของสามีเลยสักนิดเดียว เธอยังคงพร่ำพรรณนาถึงวันก่อนที่ไปเอาเื่บ้านอดีตสามีของเซี่ยอวิ๋นให้ฟัง
“พวกนั้นมันไม่ใช่คน ไม่ยอมรับผิดชอบลูกในท้องของเซี่ยอวิ๋น หากคลอดออกมา เซี่ยอวิ๋นจะเลี้ยงลูกได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย”
“คุณโง่หรือเปล่า มัวแต่คิดเลี้ยงลูกให้คนอื่นอยู่ได้ เซี่ยอวิ๋นเป็แบบนี้แล้วจะเลี้ยงลูกได้ยังไง ไม่สู้เอาเด็กออกไม่ดีกว่าเหรอ” เซี่ยฟู่กุ้ยต่อว่า
ประโยคนี้ราวกับเป็การเตือนสติหวางลี่ลี่
ทุกวันเธอมัวแต่ยุ่งวุ่นวายกับบุตรสาวและเสียใจกับการจากไปของบุตรชาย เลยลืมนึกถึงเื่ทำแท้งไปเสียสนิท
ยุคนี้ผู้คนไม่ค่อยทำแท้ง เด็กที่เกิดมาส่วนใหญ่ล้วนได้คลอดออกมาดูโลกทั้งนั้น
“สามี โชคดีที่คุณกลับมา คุณคิดได้ยังไง” เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงดีใจ เหมือนเห็นแสงสว่างที่ปลายฟ้าอย่างไรอย่างนั้น
เซี่ยฟู่กุ้ยมองผู้เป็ภรรยา คงเป็เพราะ่นี้เธอต้องเจอเื่เครียดถาโถมใส่ บนศีรษะจึงมีผมขาวขึ้นมาหลายเส้น หน้าตาก็ดูอ่อนล้าอย่างเห็นได้ชัด
“คุณโง่หรือเปล่าเนี่ย มัวแต่คิดจะดูแลแกอยู่นั่นแหละ ตามใจจนแกเสียคนหมดแล้ว!”
หวางลี่ลี่ถอนหายใจ “แล้วจะให้ฉันทำยังไง จะไม่ดูแล ปล่อยให้ตายก็ไม่ได้นี่”
“ช่างเถอะ ตอนนี้ผมกลับมาแล้ว คอยดูแล้วกันว่าผมทำยังไงกับแก” เซี่ยฟู่กุ้ยเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนัก
เซี่ยอวิ๋นไม่ได้รู้เลยสักนิดว่าภัยกำลังมาถึงตัว ยังคงนอนหลับอยู่บนเตียงอย่างยังไม่รู้เื่รู้ราว
ต่อมาหวางลี่ลี่ไปที่โรงตรวจของหมอรักษาเท้าเพื่อซื้อยาแท้งลูก
กลับมาถึงบ้าน เธอจัดเตรียมยาเพื่อจะป้อนให้บุตรสาว แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรบุตรสาวก็ไม่ยอมดื่มเข้าไป สองสามีภรรยาจึงต้องขึงตัวเซี่ยอวิ๋นเอาไว้แล้วกรอกยาลงไป
เวลาผ่านไปไม่นานนักเซี่ยอวิ๋นเริ่มรู้สึกปวดท้อง ไม่กี่ชั่วโมงต่อมาศพเด็กก็ถูกขับออกมาจากช่องคลอด การทำแท้งในครั้งนี้ทำให้เด็กสาวเกือบต้องเสียชีวิต
หลังจากผ่านความเป็ความตายมาได้ อาการเสียสติของเ้าตัวก็ดีขึ้นมาเล็กน้อย ทว่าทุกครั้งที่เห็นหน้าบิดามารดาเธอจะนึกถึงน้องชายที่ตายไป ทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัวอย่างยิ่ง
หวางลี่ลี่ถอนหายใจอย่างโล่งอก ในที่สุดก็โยนภาระนี้ทิ้งไปได้เสียที ส่วนบุตรสาวก็อาการดีขึ้นมาก สติที่ฟั่นเฟือนไปฟื้นคืนมาไม่น้อย
เื่ที่เกิดขึ้นในบ้านตระกูลเซี่ยถูกพูดปากต่อปากจนคนรู้กันไปทั่ว ชายหัวล้านกับผู้เป็มารดาได้ข่าวก็กระทืบเท้าอย่างเจ็บใจ
“ต้องโทษแม่นั่นแหละ ไม่แน่เด็กคนนั้นอาจจะเป็ลูกชายก็ได้ น่าเสียดายจริงๆ”
“ก็ใครจะไปรู้ว่าพอสามีหวางลี่ลี่กลับมาจะใจเด็ดถึงขนาดให้ลูกสาวเอาลูกออกกันล่ะ” ผู้เป็มารดาถอนหายใจ นึกเสียใจภายหลังไม่น้อย
เซี่ยโม่และคนในครอบครัวเองก็รู้เื่ที่เกิดขึ้นเช่นกัน
“น่าสงสารเด็กคนนั้นจริงๆ ต้องมาตายั้แ่อยู่ในท้อง” คุณยายพูดพลางถอนหายใจ
แต่คุณตากลับเห็นต่าง “ตายไปน่ะดีแล้ว คลอดออกมาต่างหากถึงจะน่าสงสาร คนเป็แม่ดูแลลูกก็ไม่ได้ ส่วนตากับยายเห็นหน้าเด็กก็มีแต่จะนึกถึงลูกชายที่ตายไปของตัวเอง ไม่มีทางที่จะไม่รังแกเด็กคนนี้”
คุณยายพยักหน้าเห็นด้วย “ก็จริงอย่างที่แกว่า เอาออกนั่นแหละดีที่สุดแล้ว”
เมื่อรู้ว่าบุตรชายผู้เป็ความหวังของตัวเองเสียชีวิตไปแล้ว นั่นทำให้เซี่ยฟู่กุ้ยนึกถึงบุตรชายอีกคน หรือเซี่ยเฉินเฟิงขึ้นมา
ในเวลานี้เด็กนั่นไม่ได้เอาแต่เงียบเหมือนตอนที่อยู่บ้านตระกูลเซี่ยอีกแล้ว นิสัยแตกต่างราวกับเป็คนละคนเลยทีเดียว
หรือว่าสองสามีภรรยาบ้านอู๋จะรักษาบุตรชายคนนี้ของเขาจนหายดีแล้ว ได้ยินว่าหมอรักษาเท้าประจำหมู่บ้านสนิทสนมกับบ้านอู๋ ดังนั้นน่าจะเป็แบบที่เขาคาดเดา
เซี่ยเฉินซีไม่อยู่แล้ว เซี่ยเฉินเฟิงคือบุตรชายคนเดียวที่ยังเหลืออยู่ ในเมื่อหายดีแล้ว เช่นนั้นเขาก็จะไปรับกลับมา
ส่วนเซี่ยโม่ก็ปล่อยให้อยู่บ้านตากับยายไปตามเดิม
เวลาต่อมาเขาสืบข่าวจนทราบมาว่า ตอนนี้เซี่ยเฉินเฟิงเข้าโรงเรียนแล้ว
ตอนเที่ยงเซี่ยฟู่กุ้ยเลยไปด้อมๆ มองๆ แถวโรงเรียน เห็นว่ามีหญิงวัยกลางคนมารับเซี่ยเฉินเฟิงกับเด็กชายอีกคนไปบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งอยู่หมู่บ้านที่ไม่ไกลจากโรงเรียน
เซี่ยเฉินเฟิงที่เขาเห็นร่าเริงสดใส มีสติสมประกอบเหมือนกับเด็กคนอื่น
เป็เพราะมีคนอื่นอยู่ด้วย เขาเลยไม่กล้าเดินเข้าไปหา แต่ไม่เป็ไร เซี่ยเฉินเฟิงกับเด็กชายอีกคนจะต้องกลับไปเข้าเรียน่บ่ายต่ออีกแน่นอน
คิดได้ดังนั้นเขาเลยหาที่ซุ่มรอ
เวลาล่วงเลยผ่านไป ในที่สุดเขาก็เห็นเซี่ยเฉินเฟิงกับเด็กชายอีกคนออกจากบ้าน เดินกลับไปทางโรงเรียนโดยมีหญิงวัยกลางคนคนเดิมตามอยู่ด้านหลัง
เขารู้สึกผิดหวังอย่างยิ่ง แต่ไม่นานเขาก็นึกอะไรได้ เขาเป็บิดาแท้ๆ ของเซี่ยเฉินเฟิงย่อมมีสิทธิ์มาหาลูกชายอยู่แล้ว
