บทที่ 3: วาสนาในถ้ำลึกและสตรีปริศนา
เมื่อปณิธานในใจถูกตั้งขึ้นอย่างแน่วแน่แล้ว เย่เฟิงก็ไม่รอช้าอีกต่อไป เขานั่งขัดสมาธิลงบนพื้นถ้ำที่เย็นเฉียบ เริ่มต้นการ "ปิดด่าน" บำเพ็ญเพียรครั้งแรกในชีวิตของเขาอย่างแท้จริง
เขาหลับตาลง ส่งจิตสำนึกทั้งหมดกลับเข้าไปในร่างกาย สิ่งแรกที่เขาต้องทำคือการทำความเข้าใจและควบคุม "แม่น้ำสีทอง" ที่ไหลเวียนอยู่ในเส้นชีพจรของเขาให้ได้
เขาพยายามโคจรพลังัาให้ไหลไปตามเส้นทางของเคล็ดกระบี่เมฆาคล้อยอย่างช้าๆ ในตอนแรกมันช่างยากลำบากอย่างยิ่ง พลังงานนั้นทั้งป่าเถื่อนและเปี่ยมไปด้วยพลัง มันไม่ยอมถูกควบคุมโดยง่าย ราวกับพยัคฆ์ร้ายที่ไม่คุ้นเคยกับนายใหม่ แต่เย่เฟิงก็ไม่ได้ย่อท้อ เขาล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ยังคงพยายามต่อไปด้วยจิตใจที่แข็งแกร่งดุจหินผา
เวลาผ่านไปหลายวัน...ในที่สุดเขาก็เริ่มจับเคล็ดลับได้ เขาสามารถนำทางพลังงานสีทองนั้นให้ไหลเวียนไปทั่วร่างได้อย่างราบรื่นขึ้น แม้จะยังเชื่องช้าอยู่ก็ตาม ทุกครั้งที่พลังงานไหลผ่าน มันจะช่วยเสริมสร้างและขัดเกลาเส้นชีพจร กล้ามเนื้อ และกระดูกของเขาให้แข็งแกร่งขึ้นทีละน้อย
ในวันที่สิบของการปิดด่าน ขณะที่เขากำลังจะดื่มด่ำไปกับความรู้สึกที่พลังค่อยๆ เพิ่มพูนขึ้นนั้นเอง...เขาก็พลันััได้ถึงบางสิ่งที่ผิดปกติ
มันคือกระแสลม...กระแสลมที่อ่อนกำลังสายหนึ่งพัดมาจากส่วนที่ลึกที่สุดของถ้ำ
เย่เฟิงลืมตาขึ้นด้วยความประหลาดใจ ถ้ำแห่งนี้...มันไม่ได้มีเพียงเท่าที่เขาเห็น! มันยังมีส่วนที่ลึกกว่านี้ซ่อนอยู่อีก!
ด้วยความอยากรู้และความระแวดระวัง เขาลุกขึ้นยืนแล้วจุดคบไฟที่ทำขึ้นเองอย่างง่ายๆ ก่อนจะค่อยๆ เดินสำรวจลึกเข้าไปในความมืด เขาเดินไปตามทางเดินที่ลาดลึกลงไปใต้ดินเรื่อยๆ จนกระทั่งในที่สุด...เขาก็ได้พบกับห้องโถงใต้ดินขนาดมหึมาแห่งหนึ่ง
และภาพที่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าก็ทำให้เขาต้องตกตะลึงจนหยุดนิ่งอยู่กับที่!
ใจกลางห้องโถงนั้น มีค่ายกลโบราณที่สลักอยู่บนพื้นหินกำลังส่องแสงสีฟ้าจางๆ อยู่ แสงของมันริบหรี่และไม่สม่ำเสมอ ราวกับตะเกียงที่น้ำมันใกล้จะหมดเต็มที และที่ใจกลางของค่ายกลนั้น...มีร่างของสตรีผู้หนึ่งนอนหมดสติอยู่!
นางสวมใส่อาภรณ์สีขาวราวกับหิมะ เนื้อผ้าดูสูงค่าและงดงาม แต่บัดนี้มันกลับเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเืและมีรอยฉีกขาดอยู่หลายแห่ง เรือนผมสีดำขลับยาวสลวยของนางแผ่กระจายอยู่บนพื้นหิน ขับเน้นให้ใบหน้างามล่มเมืองนั้นดูซีดขาวยิ่งขึ้นไปอีก แม้จะอยู่ในสภาพที่น่าเวทนาและหมดสติ แต่นางก็ยังคงแผ่กลิ่นอายที่สูงส่งและบริสุทธิ์ออกมา ราวกับเทพธิดาหิมะที่ถูกเด็ดปีกแล้วร่วงหล่นลงมาจากสรวง์
เย่เฟิงยืนตะลึงงันไปชั่วขณะ นี่เป็ครั้งแรกในชีวิตที่เขาได้พบเห็นสตรีที่งดงามถึงเพียงนี้
แต่แล้วเขาก็รีบดึงสติกลับมา เขาสังเกตเห็นว่าแสงของค่ายกลที่ปกป้องนางอยู่นั้นกำลังจะดับลงในไม่ช้า และลมหายใจของนางก็อ่อนแรงและแ่เบาเต็มที...นางกำลังจะตาย!
ในใจของเขาเกิดความลังเลขึ้นมาอย่างรุนแรง
การช่วยเหลือคนแปลกหน้าในสถานการณ์เช่นนี้ คือการนำพาปัญหามาสู่ตนเองอย่างไม่ต้องสงสัย นางเป็ใคร? เหตุใดจึงมาตกอยู่ในสภาพนี้? และใครคือศัตรูที่ตามล่านางมา? เขาเพิ่งจะพบที่หลบภัยที่ปลอดภัย การเข้าไปพัวพันกับเื่ของนางอาจจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างได้
แต่แล้ว...ภาพของท่านอาจารย์จางที่สละชีพเพื่อปกป้องเขาก็ปรากฏขึ้นมาในหัว...หากท่านอาจารย์ยังอยู่ ท่านจะเมินเฉยต่อผู้ที่กำลังจะตายอยู่ตรงหน้าเช่นนี้หรือ?
"ให้มันได้อย่างนี้สิ..." เขาสบถกับตัวเองเบาๆ
ในที่สุด...มโนธรรมในใจของเขาก็เป็ฝ่ายชนะ
เขาตัดสินใจที่จะช่วยนาง เขาค่อยๆ ก้าวเท้าเข้าไปในห้องโถงอย่างระมัดระวัง พยายามจะไม่ไปรบกวนการทำงานของค่ายกลที่ใกล้จะพังทลายนั้น
แต่ในขณะที่เขากำลังจะก้าวเข้าไปในระยะสิบจั้ง...
เปรี้ยง!
ค่ายกลโบราณได้ส่องแสงสว่างวาบขึ้นเป็ครั้งสุดท้าย...แล้วก็ดับวูบลงโดยสิ้นเชิง!
เกราะป้องกันที่ปกป้องนางอยู่ได้สลายหายไป!
"อึก!"
สตรีปริศนาผู้นั้นกระอักเืสีแดงสดออกมาคำใหญ่ ร่างของนางกระตุกอย่างรุนแรง าแภายในที่เคยถูกสะกดไว้ได้กำเริบขึ้นมาพร้อมกัน!
และในวินาทีเดียวกันนั้นเอง...เย่เฟิงก็พลันรู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่น่าขนลุก!
เขาััได้ถึงกลิ่นอายพลังอันแข็งแกร่งสองสาย...ที่กำลังมุ่งหน้ามายังถ้ำแห่งนี้ด้วยความเร็วสูง! กลิ่นอายนั้นเต็มไปด้วยเจตนาสังหารอันเย็นเยียบ!
ศัตรูของนาง...ตามมาถึงแล้ว!
เย่เฟิงหน้าเปลี่ยนสีในทันที เขาไม่ได้ลังเลอีกต่อไป เขาทะยานร่างเข้าไปช้อนร่างที่อ่อนนุ่มและเย็นเฉียบของสตรีปริศนาขึ้นมาอุ้มไว้ในอ้อมแขน
"ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่ปลอดภัยอีกต่อไปแล้ว" เขากล่าวกับตัวเอง
เขามองไปยังทางเข้าถ้ำที่เขาเพิ่งจากมา...แล้วมองไปยังทางเดินที่ลึกเข้าไปอีกด้านหนึ่งซึ่งเขายังไม่เคยสำรวจ...
เขาต้องตัดสินใจในทันที...เขาจะสู้.
..หรือจะหนีให้ลึกเข้าไปในถ้ำที่ยังไม่รู้จักแห่งนี้!
(จบตอนที่ 3)