ตอนที่ 42 ผลึกดอกไม้หิน
ลู่เต้าและหวังเหล่ยไม่ถูกกันั้แ่เด็กๆ แล้ว เพราะอีกฝ่ายแข็งแรงกว่าเด็กในหมู่บ้านวัยเดียวกัน จึงคอยกลั่นแกล้งลู่เต้าอยู่เสมอ
ส่วนหลี่หูก็เพราะไม่อยากถูกกลั่นแกล้ง จึงยอมเป็ลูกสมุนของหวังเหล่ย วันๆ เอาแต่คอยประจบประแจงอยู่ไม่ห่าง
“คนบ้านนอกอย่างเ้ามาอยู่ที่เมืองัทมิฬได้อย่างไร” หวังเหล่ยยิ้มผยอง สีหน้าเต็มไปด้วยความโอหัง เห็นได้ชัดว่าเขาก็เหมือนกับชายร่างั์ที่จำไม่ได้ว่าเสื้อผ้าที่ลู่เต้าสวมใส่นั้นคือชุดของสำนักใด
จะตามกู่เสี่ยวอวี่ไปตอนนี้ก็ช้าไปแล้ว ลู่เต้าถอนหายใจอย่างจนใจ “เป็พวกเ้าเองหรือ...”
น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความผิดหวัง หลี่หูผู้สอเบี้ยสอพลอได้ยินเช่นนั้นก็ไม่พอใจ เข้าไปผลักลู่เต้า “ลูกพี่หวังเหล่ยอุตส่าห์ทักทาย เ้าทำท่าทีเช่นนี้ได้อย่างไร”
ทว่าลู่เต้าที่ถูกหลี่หูผลักไหล่นั้นกลับไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย ราวกับแรงมันสะท้อนกลับมาที่มือตนอย่างไรอย่างนั้น
ชั่วขณะหนึ่งหลี่หูรู้สึกเหมือนกับว่าเขาไม่ได้ผลักลู่เต้าอยู่ แต่เป็กำแพงหินขนาดมหึมาเสียมากกว่า
“หืม” หลี่หูรีบชักมือกลับมาราวกับว่าถูกไฟช็อต ขมวดคิ้วแน่น สงสัยว่าตนเองรู้สึกผิดไปเองหรือไม่
หวังเหล่ยไม่ได้สังเกตเห็นท่าทีของหลี่หู เพียงเดินมาหยุดตรงหน้าลู่เต้า พลางเลิกคิ้วกวาดตามองเขาั้แ่หัวจรดเท้า
ภาพตรงหน้าทำให้เขานึกถึงตอนที่เขาได้พบกับลู่เต้าครั้งแรกในวัยเด็ก กาลเวลาผ่านไป ทุกคนต่างก็จากหมู่บ้านเมฆาขาวมาเมืองัทมิฬ รูปร่างหน้าตาก็เปลี่ยนไปไม่น้อย แต่สิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนไปก็คือสีหน้าของลู่เต้า
สีหน้าเฉยเมยไม่แยแส... ไม่ว่าเขาจะถูกเด็กคนอื่นๆ รังแกอย่างไร สีหน้าของลู่เต้าก็ยังคงเดิม
ท่าทางที่ดูสบายๆ นี้ทำให้หวังเหล่ยทนไม่ไหว ยิ่งไปกว่านั้น หมัดที่เขาภาคภูมิใจที่สุดกลับใช้ไม่ได้ผลกับลู่เต้า เห็นได้ชัดว่าเพียงแค่เขาเงื้อหมัดขึ้น คนอื่นๆ ต่างก็เชื่อฟังอย่างว่าง่าย มีเพียงเ้าลู่เต้าเท่านั้นที่ไม่เคยยอมจำนน
หวังเหล่ยจ้องอยู่นาน เมื่อเห็นว่าลู่เต้าไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักนิด เขาก็หัวเราะอย่างพึงพอใจ ใบหน้าเปี่ยมล้นไปด้วยความยินดีในชัยชนะ เพราะตอนนี้เขาไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
“ความแค้นเมื่อสามปีก่อน ข้าไม่เคยลืมเลือน าแที่ถูกเ้าทำร้ายจนวันนี้ก็ยังคงเจ็บแปลบๆ ” หวังเหล่ยลูบท้ายทอยเอ่ยด้วยสีหน้าโอหัง
“สองคนนี้เป็ใครกัน” ไป๋เสียถามลู่เต้าพลางจ้องหวังเหล่ยอย่างไม่ละสายตา
“เอ่อ...คนจากหมู่บ้านเมฆาขาว ตอนเด็กๆ พวกนี้ชอบหาเื่ชกต่อยกับข้า แต่ไม่เคยชนะข้าได้เลยสักครั้ง”
ลู่เต้านับนิ้วมือ “น่าจะเมื่อสามปีก่อน อยู่มาวันหนึ่ง จู่ๆ เขาก็ทะลวงจุดชีพจรได้ สิ่งแรกที่เขาทำหลังจากทะลวงจุดชีพจรได้คือมาท้าสู้กับข้า ผลสุดท้ายก็คือถูกข้าสั่งสอนไปชุดใหญ่”
“โอ้? สามปีก่อนเ้าเป็เพียงคนธรรมดา แต่กลับเอาชนะผู้ฝึกตนที่ทะลวงจุดชีพจรได้งั้นหรือ” ไป๋เสียถามด้วยความสนอกสนใจ
“ไม่มีทาง วันนั้นข้าถูกท่านปู่ดุจนอารมณ์ไม่ดี เ้าหมอนี่ก็ยังมาโวยวายหน้าบ้านอีก ข้าเลยจัดการสั่งสอนมันไปชุดใหญ่ ใครจะไปรู้ว่ามันทนมือทนตีนัก! ต่อยจนข้าเจ็บมือไปหมด”
บางทีอาจเป็เพราะ ‘มีความได้เปรียบอยู่เห็นๆ แต่กลับพ่ายแพ้หมดรูป’ ทำให้หวังเหล่ยผู้พ่ายแพ้ซ้ำแล้วซ้ำเล่ารู้สึกเสียหน้า จึงแสร้งอ้างว่าจะไปฝึกฝนวิชา พร้อมกระเตงหลี่หูที่ไม่อาจอยู่ในหมู่บ้านได้มาอยู่ที่เมืองัทมิฬด้วยกัน
มีอยู่วันหนึ่ง หวังเหล่ยพลัดตกลงไปในโพรงใต้ดิน ขณะที่กำลังหาทางออก เขาก็พบกับโครงกระดูกสีขาวโพลนเก่าแก่ด้วยความบังเอิญ
เสื้อผ้าบนร่างโครงกระดูกเปื่อยยุ่ยจนหมดสิ้น เหลือเพียงโครงกระดูกที่พิงอยู่กับผนังถ้ำ บนนิ้วมือซ้ายมีใบมีดอาบยาพิษสีดำสนิทปักอยู่ที่กำแพง ส่วนอกก็ถูกแทงด้วยหอกยาวจนเสียชีวิตคาที่
เห็นได้ชัดว่าเคยมีการสังหารกันที่นี่ แรงจูงใจของฆาตกรยังไม่แน่ชัด หวังเหล่ยเดินเข้าไปในโพรงสิบกว่าย่างก้าว ก็พบกับศพแห้งกรังนอนตายอยู่บนพื้น ซึ่งแตกต่างจากศพแรก ศพนี้ถูกเก็บรักษาไว้อย่างสมบูรณ์กว่ามาก
ไม่เพียงแต่กระดูกและเนื้อเท่านั้น แม้แต่เสื้อผ้าก็ยังคงอยู่ จากสภาพศพที่ดำคล้ำไม่เน่าเปื่อย เป็ไปได้ว่าน่าจะตายเพราะพิษ ดูเหมือนว่าหลังจากที่คนผู้นี้สังหารคนแรกแล้วก็ได้รับพิษ วิ่งหนีไปได้ไม่ไกลก็สิ้นใจลง
ทันใดนั้น หางตาของหวังเหล่ยก็เหลือบไปเห็นบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ใต้ศพ เขาตบมืออย่างตื่นเต้น นกกระสากำลังสู้รบกับหอยนางรม สุดท้ายชาวประมงฉวยโอกาสจับทั้งสองไป
สิ่งที่ทำให้ทั้งสองต่อสู้กันจนตัวตายต้องเป็สมบัติล้ำค่าอย่างแน่นอน!
หวังเหล่ยรีบผลักศพออกดู และก็เป็อย่างที่เขาคิดไว้ เขาพบกล่องไม้ที่ถูกฝังอยู่ครึ่งหนึ่งในดิน เขารีบคว้ากล่องไม้ขึ้นมา ใช้แขนเสื้อเช็ดปัดฝุ่นดินที่เปื้อนอยู่ออก กล่องไม้สีดำอันแวววาวเผยออกมา
เมื่อศพแห้งที่กลิ้งไปด้านข้างได้ัักับลมหายใจของคนเป็ ในเบ้าตาสีดำสนิทพลันเปล่งประกายสีแดง
หวังเหล่ยไม่ได้สังเกตเห็นถึงความผิดปกติ เขายกกล่องไม้ขึ้น จากนั้นก็ััได้ถึงลางสังหรณ์บางอย่างอย่างรุนแรง
ถึงแม้จะมีกล่องไม้กั้นกลาง เขาก็ยังััได้ถึงพลังิญญาที่พวยพุ่งออกมาจากภายใน
“หากข้าเดาไม่ผิด...” ในตอนนั้นใบหน้าของหวังเหล่ยเต็มไปด้วยความหวัง ค่อยๆ เปิดกล่องไม้ออก
ด้านในบุด้วยผ้าไหมสีแดงสด และสิ่งที่วางอยู่ในนั้นก็คือดอกไม้หินที่กำลังเเบ่งบาน บริเวณใจกลางดอกมีผลสีแดงสดดุจทับทิมขนาดเท่าเล็บมือแผ่พลังิญญาออกมาไม่ขาดสาย
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือสิ่งที่หวังเหล่ยใฝ่ฝันมาตลอด ผลไม้ิญญาที่สามารถช่วยให้เขาเลื่อนขั้นได้
หวังเหล่ยตื่นเต้นเหลือแสน ค่อยๆ ยกดอกไม้หินขึ้นด้วยมือที่สั่นเทา ใช้นิ้วทั้งสองหยิบผลที่คล้ายทับทิมออกอย่างระมัดระวัง ก่อนจะโยนใส่เข้าปากแล้วกัดเบาๆ
น้ำผลไม้รสหวานละมุนไม่เลี่ยน หวังเหล่ยพยายามอย่างหนักกว่าจะกลืนน้ำผลไม้ทั้งหมดลงไปได้ จากนั้นก็รีบนั่งขัดสมาธิ ดูดซับพลังิญญาที่อยู่ในน้ำผลไม้
พลังิญญาอันบริสุทธิ์ไหลผ่านเส้นชีพจร ทะเลปราณเต็มไปด้วยพลังิญญา บนท้องฟ้ามีดวงดาวระยิบระยับ
หวังเหล่ยลืมตาขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม ทั่วร่างรู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก เพียงไม่นานหลังจากที่เขากลืนผลทับทิมลงไป เขาก็สามารถทะลวงผ่านขั้นเปิดจุดชีพจรที่ติดขัดมานานกว่าสองปี กลายเป็ผู้ฝึกตนระดับหนึ่งดารา
“สำเร็จแล้ว!” หลังจากเลื่อนระดับ หวังเหล่ยก็ตรวจสอบและััถึงความเปลี่ยนแปลงของร่างกายด้วยความตื่นเต้น
ทว่าก่อนที่เขาจะเฉลิมฉลอง ศพแห้งดวงตาสีแดงวาววับที่ถูกปลุกขึ้นมาก็พุ่งเข้าโจมตีทันใด หวังเหล่ยไม่ทันตั้งตัว ถูกการจู่โจมจนตัวแข็งทื่อไป
ทันใดนั้นก็เกิดเื่แปลกประหลาด ิัของเขาพลันแข็งราวกับหินในพริบตา กรงเล็บของศพแห้งที่เข้ามากระทบิัต่างก็หักสะบั้น ไม่ว่าจะออกแรงมากเพียงใด ก็มิอาจทะลุิัของเขาได้
เมื่อเห็นดังนั้น หวังเหล่ยจึงถือโอกาสคว้าหัวศพแห้งกระแทกกำแพงอย่างแรง เพียงแค่ครั้งเดียวหัวของมันก็แหลกละเอียดกลายเป็เถ้าธุลี
“ฮู่...” เมื่อหวังเหล่ยหายใจอีกครั้ง ิัของเขาก็กลับคืนสู่สภาพเดิม จากนั้นเขาก็เข้าใจว่า ตราบใดที่เขากลั้นลมหายใจเอาไว้ เขาก็จะสามารถใช้ทักษะ “ผิวศิลา” ได้ หรือใน่เวลาที่กลั้นหายใจ เขาก็จะยืนยงคงกระพันนั่นเอง
หวังเหล่ยมองมือทั้งสองข้าง แล้วหัวเราะเสียงดังด้วยความตื่นเต้น
เสียงนั้นดังก้องไปทั่วโพรงใต้ดิน
****
‘ด้วยผิวศิลานี้ ลู่เต้าไม่มีทางเทียบข้าได้!’ หวังเหล่ยจ้องลู่เต้าอย่างมั่นใจเต็มเปี่ยม เขารอที่จะได้เห็นอีกฝ่ายคุกเข่าขอร้องแทบไม่ไหวแล้ว
หวังเหล่ยแสร้งทำเป็มิตร ยื่นมือออกไปราวกับ้าจับมือกับลู่เต้า แต่ลอบกลั้นหายใจทำให้มือกลายเป็หิน ลู่เต้าไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับหวังเหล่ย แต่เมื่อคิดว่าทุกคนล้วนมาจากหมู่บ้านเมฆาขาว ด้วยมิตรภาพคนบ้านเดียวกันในต่างถิ่น เขาจึงไม่ได้เอะใจอะไร ยื่นมือไปจับมือหวังเหล่ย
“เอ๋” สีหน้าของลู่เต้าพลันเปลี่ยนไป
เมื่อเห็นว่าโอกาสมาถึงแล้ว หวังเหล่ยก็ออกแรงบีบมือลู่เต้าแน่นราวกับคีมเหล็กไม่ยอมปล่อย
หวังเหล่ยหวังว่าจะได้ยินเสียงร้องด้วยความเ็ป และร้องขอความเมตตา แต่เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าลู่เต้าไม่มีท่าทีเ็ปแม้แต่น้อย
“นี่...เกิดอะไรขึ้น” หวังเหล่ยเอ่ยอย่างตะกุกตะกัก
เขาใช้แรงน้อยเกินไปงั้นเหรอ เป็ไปไม่ได้! เขากัดฟันกรอดออกแรงบีบสุดกำลัง แต่ลู่เต้าก็ยังคงนิ่งเฉย
สาเหตุที่ลู่เต้าเสียสมาธิเป็เพราะเมื่อครู่นี้มีกลิ่นอายกดดันแปลกประหลาดสองกระแสแผ่ออกมาจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือ นั่นคือกลิ่นอายกดดันตามธรรมชาติของผู้แข็งแกร่ง
หนึ่งให้ความรู้สึกซาบซ่าน ส่วนอีกหนึ่งนั้นให้ความรู้สึกเย็นะเื
เพลี้ยง! มือหินของหวังเหล่ยพลันแตกร้าว เขาครวญครางออกมาด้วยความเ็ป แต่ก็ฝืนทนเอาไว้ ทั่วร่างเย็นเฉียบไปด้วยเหงื่อเย็น
“ข้ามีธุระ ต้องไปก่อนแล้ว” ลู่เต้าทิ้งหวังเหล่ยและหลี่หูไว้เื้ั แล้วมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองัทมิฬอย่างรวดเร็ว
ทั้งสองคนมองหน้ากันด้วยสีหน้ามึนงง ยืนนิ่งให้ลมพัดอยู่อย่างนั้น
ไป๋เสียปรากฏตัวข้างกายลู่เต้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึมกว่าทุกที
“ความรู้สึกแปลกประหลาดนี้...คืออะไรกัน” ลู่เต้าเอ่ยถามอย่างกังวล
ในเวลานี้ บนนภาเผยแสงสีขาวสองสายพุ่งผ่าน ก่อนจะร่วงหล่นลงไปในเมือง
“แย่แล้ว” เมื่อเห็นเช่นนั้น ไป๋เสียก็กัดฟันแน่น “พวกน่ารำคาญมาถึงแล้ว”
