หลังจากนี่จ้านเทียนกับจงเทาออกไป สองพี่น้องฟู่เจินฟู่หยิงและผู้สนับสนุนของพวกเขาก็เดินมาทางนี้ พร้อมกวาดตามองพวกเย่เฟิงด้วยสายตาดูแคลน
“แดนลับเป็สถานที่อันตราย เซี่ยจวิ้นหลงข้าขอแนะนำเ้าว่าอย่าเข้าไปจะดีกว่า ไม่งั้นสหายของเ้าสองคนนี้จะถ่วงแข้งถ่วงขาเ้าจนออกมาไม่ได้ เช่นนั้นก็คงไม่คุ้มกับการสูญเสีย!” ฟู่เจินกล่าวขณะเดินผ่านพวกเย่เฟิง และออกไปพร้อมกับเสียงหัวเราะดังลั่น จากนั้นฟู่เจิน ฟู่หยิง และคนอื่นก็เข้าไปข้างในช่องว่างนั่น
เซี่ยจวิ้นหลงเผยสีหน้าไม่สู้ดี เขากำหมัดแน่นจนเกิดเสียงดังกรอบแกรบ เห็นชัดว่าเขาโกรธเป็อย่างมาก
“พี่เซี่ย อย่าไปสนใจคนพวกนี้เลย เราไปกันเถอะ” เย่เฟิงกล่าว เซี่ยจวิ้นหลงก็พยักหน้า จากนั้นพวกเขาเดินเข้าสู่ช่องว่างมิติ
“วูบ!” พลันมีพลังมิติปะปนกับพลังธาตุไฟเข้าปกคลุมพวกเย่เฟิง ซึ่งพลังธาตุไฟร้อนมากจนทำให้เย่เฟิงรู้สึกวิงเวียนศีรษะ แต่เมื่อเท้าของเขาแตะถึงพื้นอีกครั้งก็พบว่าตัวเองอยู่ในอีกมิติหนึ่ง เขามองไปรอบ ๆ ก่อนจะเห็นว่าเซี่ยจวิ้นหลงไม่อยู่ มีเพียงนักดาบแขนเดียวเท่านั้น และพื้นที่อันกว้างขวางแห่งนี้ยังมีอากาศร้อนอีกด้วย
คลื่นความร้อนของที่นี่รุนแรงกว่าของยอดเขาเทพโอสถหลายเท่า ตามพื้นดินไม่มีหญ้าให้เห็น มีแต่รอยร้าวทั่วพื้นดิน ูเารอบ ๆ ก็เป็ูเาหัวโล้น อุณหภูมิก็ขึ้นสูงเรื่อย ๆ จนแทบไม่มีอากาศให้หายใจ ที่แห่งนี้ไม่ใช่สถานที่ที่มนุษย์ควรมา แต่ที่นี่เป็นรกชัด ๆ
“ที่นี่น่ะหรือแดนลับยอดเขาเทพโอสถ?” เย่เฟิงอุทานขณะมองไปรอบ ๆ ที่ไร้วี่แววสิ่งมีชีวิต
“วังเทพโอสถถนัดด้านการปรุงยา ซึ่งแดนศักดิ์สิทธิ์ภายในวังเสมือนเป็เตาอบเช่นนี้ ไม่น่าแปลกใจอะไร” นักดาบแขนเดียวกล่าว เย่เฟิงก็ผงกศีรษะขึ้นลง เพียงเวลาสั้น ๆ ทั้งตัวก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
“ไม่เห็นใครสักคนเลย มีแต่ความว่างเปล่า แล้วจะไปหามรดกที่ว่านั่นจากไหน?” เย่เฟิงคิดในใจ เวลาที่จะอยู่ในแดนลับได้คือครึ่งเดือน เขาจึงไม่อยากเสียเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์
“ตอนนี้แดนลับยอดเขาโอสถเปิดอย่างเป็ทางการแล้ว สิ่งที่พวกเ้าต้องทำคือตามหาคู่ต่อสู้และเอาชนะอีกฝ่าย ่ชิงชะตาของพวกเขา เมื่อชะตาของใครถึงระดับหนึ่ง พวกเ้าจะได้เห็นสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น สิ่งเหล่านี้อาจเป็ทักษะ คัมภีร์ หรือยาก็เป็ไปได้หมด สรุปคือการเก็บชะตาจะเป็ประโยชน์ต่อพวกเ้ามาก และยังเกี่ยวข้องโดยตรงกับโอกาสที่จะได้รับในแดนลับ หวังว่าพวกเ้าจะจำเื่นี้ไว้ในใจ”
พลันมีเสียงหนึ่งดังมาจากฟากฟ้าราวกับปกคลุมทั่วมิติแห่งนี้ ทำให้ทุกคนในมิตินี้ต่างได้ยินอย่างชัดเจน และอดแปลกใจไม่ได้
เอาชนะ เก็บสะสมชะตา แล้วจะได้เห็นสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น นี่ก็คือกฎของแดนลับยอดเขาเทพโอสถหรือ?
สิ่งนี้จะทำให้ศึกต่อสู้ระหว่างพวกเขาปะทุ ฆ่าฟันกันเอง กฎนี้ช่างโเี้ แต่พวกเขารู้ว่าแดนลับแห่งนี้มีแต่การเข่นฆ่าและการนองเื
เมื่อเสียงนั้นเงียบหายไป ผู้คนในแดนลับเริ่มเคลื่อนไหว เพื่อตามหาเหยื่อของตัวเอง ความวุ่นวายจึงเริ่มขึ้น
มีเพียงต่อสู้และ่ชิงชะตาของอีกฝ่าย จึงจะได้รับโอกาสยิ่งขึ้น ดังนั้นพวกเขาจำต้องทำเช่นนี้ มีคนบางส่วนเลือกซ่อนตัว ไม่เป็ฝ่ายยั่วยุคนอื่นก่อน กระทั่งมีคนอีกส่วนเลือกหลบหนี ตามหาที่ซ่อนตัวเพื่อไม่ให้คนอื่นพบเจอตน
เพียงเวลาสั้น ๆ บรรยากาศในแดนลับก็เปลี่ยนไปตึงเครียด มีหลายศึกปะทุขึ้น บางศึกก็น่าเวทนา มีน้อยคนที่จะรับพลังอันแกร่งกล้าของอีกฝ่าย จึงต้องตกตายในแดนลับแห่งนี้
“เก็บชะตางั้นหรือ?” เย่เฟิงแหงนหน้ามองฟ้าพร้อมแสงปะทุออกจากดวงตาลึกล้ำคู่นั้น ในเมื่อแดนลับมีกฎเช่นนี้ เขาจะแหกกฎได้อย่างไร?
“พี่แขนเดียว เราไปดูที่อื่นเถอะ” เย่เฟิงกล่าว นักดาบแขนเดียวก็พยักหน้าเบา ๆ จากนั้นทั้งสองคนออกไปจากที่นี่
ยอดเขาเทพโอสถที่โลกภายนอก บุคคลระดับสูงของวังเทพโอสถล้วนอยู่ที่นี่ ฟู่หยางและเซี่ยชิงซานก็อยู่เช่นกัน แต่ขณะนั้นพลังประหลาดบนท้องฟ้าแปรเปลี่ยนเป็ภาพผืนใหญ่ ค่อย ๆ แสดงอย่างชัดเจน ซึ่งมันสะท้อนภาพจากด้านในแดนลับ
“ดู นั่นสองพี่น้องฟู่เจินฟู่หยิง ฟู่เจินเก่งมาก สมแล้วที่เป็ยอดฝีมือรุ่นเยาว์ของวังเทพโอสถ คนรุ่นเยาว์จากกองกำลังอื่น ๆ มายั่วยุฟู่เจินฟู่หยิง แต่ฟู่เจินฆ่าพวกเขาด้วยตัวคนเดียวจนราบเป็หน้ากลอง พลังน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก ดูท่ามรดกของแดนลับคงตกเป็ของฟู่เจินแล้ว!” ผู้าุโวังเทพโอสถคนหนึ่งกล่าว พร้อมชี้นิ้วไปที่ภาพผืนั์บนท้องฟ้า ซึ่งตอนนี้กำลังฉายภาพการเข่นฆ่าของฟู่เจิน ทำให้หลาย ๆ คนมองภาพนั้นพลางผงกศีรษะขึ้นลงหลายรอบ
“ฟู่เจินแกร่งจริง ๆ แม้ถูกกดให้อยู่ขั้นรวมชี่ที่ 1 แต่มีน้อยคนที่จะเป็คู่ปรับของเขา ต่อให้เป็นี่จ้านเทียนจากสำนักยุทธ์เทียนเสวียนหรืออี้ชิงจากสำนักศึกษาเสินเจียงก็เทียบไม่ได้” ผู้าุโคนหนึ่งกล่าวต่อ
เมื่อฟู่หยางเห็นบุตรธิดาของตนแสดงความเฉิดฉายในแดนลับก็เชิดหน้าเชิดตาด้วยความภาคภูมิใจ
“แน่อยู่แล้ว ฟู่เจินเป็ใคร ไม่ใช่คนอย่างเซี่ยจวิ้นหลงจะแข่งได้ คบหาแต่สวะ ทำวังเทพโอสถข้าขายหน้าจริง ๆ!” จี๋เหยียนที่อยู่ข้าง ๆ ฟู่หยางกล่าวด้วยสายตาดูแคลน พลางเหลือบมองเซี่ยชิงซาน ทำให้เซี่ยชิงซานมีสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไร
“จี๋เหยียนเ้าอย่าพูดจาไร้สาระ จวิ้นหลงข้ามักจะชอบผูกมิตรสหาย ไปไหนก็มีแต่สหาย จะเหมือนอย่างที่เ้าพูดมาได้เยี่ยงไร?” เซี่ยชิงซานกล่าวเสียงเย็น แม้เขาจะพูดเช่นนี้ แต่ในใจกลับแคลงใจที่ก่อนหน้านี้เซี่ยจวิ้นหลงพูดคุยกับเย่เฟิง ถึงอย่างไรในสายตาของเซี่ยชิงซาน เย่เฟิงก็เป็เพียงคนไร้นามที่อยู่ขั้นบ่มเพาะกายา
แม้เซี่ยชิงซานจะไม่ชอบดูถูกผู้อื่น แต่เขาหวังว่าบุตรของตนจะคบหากับคนที่แกร่งกว่าตัวเอง และได้เรียนรู้สิ่งดี ๆ จากอีกฝ่าย
“หากจะผูกมิตรสหายก็ต้องดูฐานะของอีกฝ่ายด้วย ไม่ใช่สวะขั้นบ่มเพาะกายาแบบนี้ เมื่อครู่เซี่ยจวิ้นหลงปกป้องเขาไม่ใช่หรือ? ทำให้คนของวังเทพโอสถเกือบจะปะทะกัน คนนอกคงได้นินทาสนุกปากน่าดู!” จี๋เหยียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“พวกเ้าดู เด็กขั้นบ่มเพาะกายาคนนั้นกำลังเจอกับคนของกองกำลังจากเมืองหลวง มันต้องสนุกแน่ ๆ ข้าก็อยากเห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับสวะนั่นและคนอื่น ๆ” ขณะนั้นผู้าุโคนหนึ่งกล่าวพร้อมชี้นิ้วไปที่บางแห่งด้วยสีหน้าตื่นเต้น
ทุกคนต่างมองตามที่ผู้าุโคนนั้นชี้ ก่อนจะเห็นทางข้างหน้าที่เย่เฟิงกับนักดาบแขนเดียวกำลังเดินไปมีผู้ฝึกยุทธ์อยู่หลายคน ใช้เวลาไม่นานพวกเขาก็เจอกัน
“ฮ่า ๆ ๆ!”
จี๋เหยียนเห็นฉากนี้ก็แค่นเสียงหัวเราะ และกล่าวว่า “พอดีเลย แสดงให้ข้าดูทีว่าสหายคนนี้ของเซี่ยจวิ้นหลงจะตายยังไง!”
ฟู่หยางเหลือบมองเซี่ยชิงซานด้วยสายตาดูแคลน ทำให้เซี่ยชิงซานขุ่นเคืองจนสีหน้าเปลี่ยนเป็เขียวคล้ำ เขาโดนจี๋เหยียนและฟู่หยางดูถูก แต่ไม่รู้ว่าจะโต้อีกฝ่ายกลับไปอย่างไรดี
อย่างไรก็ตามสหายทั้งสองของเซี่ยจวิ้นหลงมีระดับการบ่มเพาะต่ำจริง ๆ นักดาบแขนเดียวคนนั้นอยู่จุดสูงสุดของขั้นรวมชี่ที่ 1 ส่วนอีกคนกลับอยู่แค่ขั้นบ่มเพาะกายา เข้าแดนลับทั้งที่มีพลังระดับนี้ก็เท่ากับไปหาที่ตาย ยิ่งทำให้ผู้คนหัวเราะเยาะด้วยความสนุกสนาน
“สองฝ่ายได้เจอกันแล้ว สวะขั้นบ่มเพาะกายานั่นจบเห่แน่ คงถูกอีกฝ่ายฆ่าตายอย่างน่าอนาถ”
ขณะนั้นมีผู้ฝึกยุทธ์วังเทพโอสถอีกคนพูดขึ้น ทำให้ทุกคนมองภาพบนท้องฟ้าด้วยความกระตือรือร้นและดูคึกคักกว่าเดิม