คุณชายท่านนี้ก็คือมู่หรงฉือนั่นเอง
มู่หรงฉือลูบไล้ข้อมือเล็กๆ ของสตรีชุดแดง การกระทำเช่นนี้ช่างดูคลุมเครือยิ่งนัก คิ้วเรียวของนางเลิกขึ้นเล็กน้อย “หากข้ากำลังมีเื่รำคาญใจ แม่นางจะช่วยข้ากำจัดมันออกไปได้หรือไม่?”
ใบหน้ารูปไข่ของสตรีชุดแดงปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ “ที่หอเฟิ่งหวง ไม่ว่าเื่รำคาญใจใดๆ ก็จะถูกขจัดให้หายไปจนหมดสิ้น คุณชายถูกใจคนไหนหรือ? เป็คนที่อยู่บนเวทีเ่าั้ หรือว่าเป็บุรุษหน้าหยกพวกนั้นกัน?”
“พวกเขายังไม่โตพอน่ะสิ ไม่เข้าใจอารมณ์ของข้านักหรอก ต้องอย่างแม่นางคนงามที่รู้ใจข้าเช่นนี้ต่างหาก ถึงจะถูกใจข้า”
มู่หรงฉือพูดเสร็จก็ลุกขึ้นเชยคางอีกฝ่าย จ้องนางด้วยสายตาดื้อรั้น
สตรีชุดแดงยกมือขึ้นลูบเส้นผมสีดำของตนอย่างเบามือ หัวเราะอย่างเย้ายวน “เป็เกียรติที่ได้รับคำชมจากคุณชาย ข้าน้อยมิบังอาจเ้าค่ะ เสียดายที่ข้าน้อยไม่ได้ทำหน้าที่เช่นนั้นแล้ว มิสู้ให้ข้าน้อยหาคนมีฝีมือมาดูแลคุณชายดีหรือไม่เ้าคะ?”
“ก็ดีเหมือนกัน เช่นนั้นก็รบกวนเ้าแล้ว”
“เชิญคุณชายตามข้าน้อยมาเถิดเ้าค่ะ”
มู่หรงฉือเดินตามสตรีชุดแดงขึ้นไปบนชั้นสามเข้าไปยังห้องๆ หนึ่ง
แต่พวกนางไม่รู้ตัวเลยว่ามีเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งแอบเดินตามพวกนางขึ้นไปยังชั้นสามด้วยเช่นกัน เด็กหนุ่มคนนั้นยืนครุ่นคิดอยู่ในมุมมืด ในดวงตางามคู่นั้นมีหยาดน้ำคลออยู่
เด็กหนุ่มเคยไปสอบถามมา สตรีชุดแดงผู้นั้นคือแม่เล้าของหอเฟิ่งหวง ส่วนคุณชายชุดขาวผู้นั้นรู้สึกเหมือนจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เดินย่องเข้าไปใกล้ๆ ห้องนั้น
ภายในห้องมืดสนิท มู่หรงฉือนั่งอยู่ที่โต๊ะหนังสือ นางสวมชุดสีขาวราวก้อนเมฆบนท้องฟ้าสีคราม
“่นี้มีข่าวอะไรบ้าง?”
“พวกเศรษฐีที่มีฐานะร่ำรวยและขุนนางเ่าั้ชื่นชอบหอเฟิ่งหวงอย่างหัวปักหัวปำ ผ่านไปไม่กี่วันก็จะกลับมากันอีก ทั้งยังเปิดเผยร่องรอยของตนออกมาโดยไม่รู้ตัว ข้าน้อยส่งคนไปแอบตรวจสอบมาได้เล็กน้อย” หรงหลันสตรีชุดแดงส่งกระดาษสามหน้าบางๆ ให้นาง “เถ้าแก่เก็บไปก่อนเถิดเ้าค่ะ กลับไปแล้วค่อยเปิดดู”
“อืม” มู่หรงฉือพับกระดาษแผ่นบางให้เรียบร้อยก่อนจะเก็บเข้าไปในเสื้อ “่นี้ไม่มีเื่ยุ่งยากใดใช่หรือไม่”
“ท่านยังไม่เชื่อใจข้าน้อยอีกหรือ? หากมีเื่ยุ่งยากข้าน้อยย่อมสามารถจัดการได้เ้าค่ะ” หรงหลันยิ้ม “พวกเด็กหนุ่มพวกนั้นถูกฝึกฝนมาเป็เวลาสามสี่ปีแล้ว แต่ละคนต่างเป็คนที่ยอดเยี่ยมกันทั้งนั้น ฝีมือดี รู้จักระมัดระวังตัว ไม่มีทางเกิดเื่อะไรขึ้นได้เ้าค่ะ”
มู่หรงฉือพยักหน้า พลันขมวดคิ้วแน่น “ด้านนอกมีคน!”
หรงหลันทำสัญญาณมือ ทั้งสองคนก็เข้าใจ
ต่อมานางก็เปิดประตูบานเล็กอีกบานออกไป
ด้านนอกมีร่างผอมบางของเด็กหนุ่มกำลังจิ้มหน้าต่างกระดาษให้เป็รู แล้วพยายามมองเข้าไปด้านใน
เอ๋ ทำไมไม่เห็นมีใครสักคนเลยล่ะ?
ทั้งๆ ที่เมื่อครู่เห็นคุณชายที่สวมหน้ากากทองกับหรงหลันผู้เป็แม่เล้าเดินเข้าไปด้วยกันแล้วนี่นา
นี่ช่างแปลกประหลาดเกินไปแล้ว!
“เ้ามาทำอะไรที่นี่?”
น้ำเสียงเย็นเยียบดังมาจากทางด้านหลังของเขา
เขาใจนตัวสั่น รีบหันกลับไปมองทันทีก่อนจะยกมือขึ้นทาบอกสูดหายใจเฮือกใหญ่
ที่ยืนอยู่ตรงหน้าของเขาก็คือแม่เล้าหรงหลัน!
เขาตะลึงตาค้างพูดไม่ออกชี้ไปทางนาง ไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง “เหตุใดเ้าถึงอยู่ที่นี่?”
“เหตุใดต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ เ้าต่างหากมีเป้าหมายอะไรกันแน่?” หรงหลันเอ่ยถามเสียงดุ
“ข้า… ข้า…”
เด็กหนุ่มพูดตะกุกตะกัก แต่ก็ไม่อาจพูดออกไปได้ว่าเป็เพราะเขารู้สึกคุ้นเคยกับคุณชายสวมหน้ากากทองคนนั้นเหลือเกิน คลับคล้ายคลับคลาว่าเป็คนเคยรู้จัก จึงอยากจะมาดูเสียหน่อยว่าเขาได้มาเที่ยวหอนางโลมใช่หรือไม่
ความจริงแล้วเขามาที่หอเฟิ่งหวงเพียงเพราะอยากรู้อยากเห็นเท่านั้น เขาอยากรู้ว่าบุรุษที่นกเขาไม่ขันพวกนั้นมาทำอะไรกันที่นี่ แล้วก็ถือว่าตนยังได้เปิดโลกกว้างด้วย
“เ้าจะดุร้ายถึงเพียงนี้ไปเพื่ออะไรกัน? คนที่มาเป็แขก เ้าปฏิบัติกับแขกเช่นนี้ได้อย่างไร?”
เขาพูดพลันเชิดหน้ายืดอก ถลึงั์ตาอย่างโมโห ต่อต้านอย่างหยิ่งยโส
หรงหลันเองก็พบเห็นผู้คนมามากมาย เห็นคนตรงหน้าที่โกรธแล้วเหมือนกับสตรียามโมโห ก็พอจะมองออกได้ว่าเขาคือสตรีที่แต่งตัวเป็บุรุษ
แม่นางน้อยคนหนึ่งกล้าเข้ามาถึงที่นี่เชียวหรือ?
ทันใดนั้น นางก็ยกมือขึ้นฟาดเข้าที่สันคอของเด็กหนุ่มอย่างแรง
“เ้า….”
ยังไม่ทันพูดจบ เด็กหนุ่มก็หมดสติล้มลงไป
บุรุษร่างสูงใหญ่สวมชุดสีเขียวสองคนปรากฏตัวขึ้นก่อนจะหิ้วเด็กหนุ่มผู้นั้นออกไป
มู่หรงฉือเดินออกมาจากด้านในห้อง และแน่นอน มู่หรงฉือไม่ได้กังวลว่าแม่นางที่แต่งตัวเป็บุรุษผู้นั้นจะได้ยินได้เห็นอะไร หรือนางจะพบสิ่งใดเข้า เพราะว่าห้องมืดๆ เล็กๆ นั้นอยู่ตรงกลางระหว่างสองห้อง นอกเสียจากจะหากลไกเจอ ถึงจะมีความเป็ไปได้ที่จะเห็นห้องมืดนั้น
พวกนางมาถึงห้องมืดที่เอาไว้ขังคน เด็กหนุ่มผู้นั้นถูกมัดมือมัดเท้า นอนตะแคงอยู่บนพื้น
“แม่นางน้อยผู้นี้ไม่รู้ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร ไม่รู้ว่าจะเป็สายสืบหรือไม่?” หรงหลันขมวดคิ้วครุ่นคิด รู้สึกว่าเื่นี้ผิดปกติ
“หากมีการส่งคนมาตรวจสอบ ก็ไม่มีทางที่จะส่งแม่นางน้อยที่ประมาทเลินเล่อถึงเพียงนี้มาแน่” ทันใดนั้นมู่หรงฉือก็รู้สึกคุ้นเคย เหมือนจะเคยพบเจอแม่นางผู้นี้ที่ใดมาก่อน
“เช่นนั้นท่านจะจัดการกับนางอย่างไร?” หรงหลันถาม
“ขังนางเอาไว้สักคืนก่อน” มู่หรงฉือตอบ
ขณะนั้นเอง ภายในห้องมืดก็มีเสียงดังออกมา ต่อมาก็เป็เสียงตวาดอย่างมีโทสะของแม่นางผู้นั้น “ปล่อยข้า! พวกเ้ากล้ามัดตัวข้าได้อย่างไร?”
หรงหลันกับมู่หรงฉือมองตากัน แสยะยิ้มเย็น “แม่นางผู้นั้นฟื้นแล้ว”
แม่นางผู้นั้นะโออกมาอย่างหยิ่งยโส “พวกเ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็ใคร? ข้าคือองค์หญิงตวนโหรว! ท่านอาสามของข้าก็คืออวี้หวาง! หากข้าบอกท่านอาสามของข้า พวกเ้าจะต้องหัวหลุดออกจากบ่าเป็แน่! หอเฟิ่งหวงอะไรนี่จะต้องพินาศราบคาบเป็หน้ากลอง! ”
“รีบปล่อยตัวข้าเดี๋ยวนี้ ได้ยินสิ่งที่ข้าสั่งหรือไม่!”
“ท่านอาสามของข้าเป็ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนองค์ฮ่องเต้ในตอนนี้ หากข้าได้รับาเ็ขึ้นมา พวกเ้าจะต้องถูกฆ่าล้างตระกูลเก้าชั่วโคตร!”
“ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!”
เสียงะโก่นด่าดังกังวานไปทั่วห้อง ทว่าห้องเก็บเสียงของหอเฟิ่งหวงทำได้ดียิ่ง เสียงไม่มีทางเล็ดลอดออกไป
หรงหลันขมวดคิ้วน้อยๆ “นางคือองค์หญิงตวนโหรวจริงหรือเ้าคะ?”
มู่หรงฉือเข้าใจขึ้นมาทันที ถึงว่านางรู้สึกเหมือนเคยเจอจากที่ไหนมาก่อน
มู่หรงอวี้มีพี่ชายสองคนที่เกิดจากมารดาคนเดียวกัน พี่ใหญ่คืออวี้หวางมู่หรงหยางที่ตายจากไปแล้ว ส่วนพี่คนรองนั้นเป็คนไม่เอาถ่าน ไม่ศึกษาเล่าเรียน ไม่ฝึกฝนวิทยายุทธ์ ตอนที่องค์หญิงตวนโหรวมู่หรงสืออายุได้สามขวบ ยามนั้นพี่คนรองของมู่หรงอวี้เพิ่งจะได้รับการตกรางวัลเพราะผลงานดีเด่น มู่หรงเฉิงจึงได้มอบตำแหน่งองค์หญิงตวนโหรวให้มู่หรงสือ ซึ่งนางก็คือลูกสาวของน้องชายแท้ๆ ของมู่หรงหยาง
เมื่อห้าปีก่อน มู่หรงอวี้เพิ่งกลับเมืองหลวงมาได้ไม่นาน พี่ชายผู้ไม่ได้ความและไม่เอาไหนผู้นั้นก็พาลูกสาวออกจากเมืองหลวงไปยังบ้านบรรพบุรุษของพวกเขา
แล้วมู่หรงสือกลับเมืองหลวงมาั้แ่เมื่อไรกัน?
“คงจะใช่ เดี๋ยวพวกเราค่อยพานางไปโยนไว้บนถนน”
แววตาของมู่หรงฉือสีเข้มขึ้น ก่อนจะเดินออกจากห้องมืดไป
หรงหลันพยักหน้า ในใจรู้ว่าสาเหตุที่เถ้าแก่ตัดสินใจอย่างนี้เพราะไม่อยากจะให้ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนมาตรวจพบหอเฟิ่งหวง เพียงเพราะองค์หญิงตวนโหรวที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรเลยคนหนึ่ง
นางเดินไปที่โถงใหญ่เคียงคู่กับเถ้าแก่ แต่กลับเห็นเถ้าแก่ที่เดินไปถึงชั้นสองแล้วกลับหยุดฝีเท้าลง
ในตอนนี้เอง นางก็เห็นบุรุษผู้หนึ่งเดินขึ้นมา
บุรุษผู้นั้นร่างกายสูงใหญ่สวมอาภรณ์สีดำ รูปหน้าหล่อเหลาเ็า ั์ตาดำลึกล้ำราวกับบ่อน้ำลึกที่ไร้ก้น สายตาเฉียบคมราวเหยี่ยว
นางไม่เคยเห็นบุรุษที่รูปลักษณ์สง่างามถึงเพียงนี้มาก่อน แม้แต่สตรีหรือเทพเซียนก็ยังริษยาในความงามของเขา
ทั้งยังไม่เคยเห็นสายตาที่ดุร้ายน่ากลัวถึงเพียงนี้มาก่อนเช่นเดียวกัน ราวกับว่าเพียงเขาใช้สายตามองก็สามารถเห็นความคิดของคนอื่นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
เขาเงยหน้าขึ้นจ้องเถ้าแก่ราวกับกำลังพินิจพิจารณาอย่างสนอกสนใจ
หรงหลันดูแลหอเฟิ่งหวงขนาดใหญ่แห่งนี้มานาน ความสามารถในการรับมือกับเหตุการณ์เฉพาะหน้านั้นไม่ต้องพูดถึง อีกทั้งนางยังเข้าใจมู่หรงฉืออยู่มาก ครั้นเห็นสีหน้าใจนทำอะไรไม่ถูกของนางจึงยิ้มแล้วเอ่ยพูด “คุณชาย เมื่อครู่ที่ท่านเห็นล้วนเป็บุรุษที่มีชื่อที่สุด ได้รับความนิยมมากที่สุดของที่นี่ทั้งนั้น ท่านไม่ต้องตาต้องใจพวกเขาสักคนเลยหรือ?”
“เ้าเอาคนที่คนอื่นเหลือทิ้งไว้ให้ข้า คิดว่าข้าตาบอดหรืออย่างไร?” มู่หรงฉือดึงสายตากลับมา สีหน้ากลับมาเป็ปกติ
“ข้าจะกล้าทำเื่แย่ๆ เช่นนั้นกับคุณชายได้อย่างไรกัน? บุรุษสองสามคนเ่าั้ล้วนเป็บุรุษชั้นสูงของพวกเราจริงๆ เป็คนที่ดึงแขกให้หอเฟิ่งหวงของพวกเรานะเ้าคะ” หรงหลันระบายยิ้มเต็มหน้า “เช่นนั้นข้าขอแนะนำบุรุษอีกสองสามคนให้ท่านดีหรือไม่?”
“ไม่จำเป็ ข้าจะไม่มาที่นี่อีกแล้ว”
มู่หรงฉือรีบเดินลงไป ตอนที่เดินผ่านมู่หรงอวี้ จู่ๆ ข้อมือของนางก็ถูกมือใหญ่คว้าเอาไว้
นางไม่้าให้ใครจำได้ แต่ก็ยังถูกเขาจำได้อยู่ดีสินะ
เขามาทำอะไรที่หอเฟิ่งหวง? ตามมู่หรงสือมาหรือ?
นางสะบัดแขนออกด้วยรู้สึกความหงุดหงิด เปลี่ยนน้ำเสียงให้ดังขึ้นด้วยความไม่พอใจ “เหตุใดเ้าถึงมาจับตัวข้า?”
หรงหลันพูดเสียงเบา “แย่แล้ว” มู่หรงอวี้ที่ยืนอยู่ด้านข้างกลับไม่พูดอะไรออกมาสักคำ
มู่หรงอวี้ใช้เพียงหางตามองมาทางมู่หรงฉือ ก่อนจะลากนางเดินกลับไปที่ชั้นสอง
มู่หรงฉือพยายามสะบัดออกหลายครั้งหวังจะเป็อิสระจากฝ่ามือของเขา แต่ก็ไม่มีเรี่ยวแรงมากพอ
หรงหลันมองพวกเขาทั้งสองเดินไปไกล แล้วกลอกตาไปมาหลายครั้ง บุรุษผู้นั้นคือใครกัน?
คงจะเป็คนรู้จักของเถ้าแก่ อีกทั้งคงจะคุ้นเคยกันมาก มิเช่นนั้นแล้วเถ้าแก่ก็คงไม่ถูกเขาลากไปเช่นนี้แน่
หากเป็คนไม่รู้จัก เถ้าแก่ก็คงตัดแขนคนที่มายุ่มย่ามกับแขนของนางไปแล้ว
มู่หรงอวี้ลากนางเข้าไปในห้อง มือขวายื่นไปด้านหลัง ก่อนจะมีพลังปราณสีขาวพุ่งออกมาพลันเกิดเสียงประตูปิดดังปัง
อารมณ์ของมู่หรงฉือในตอนนี้เต็มไปด้วยโทสะ ในที่สุดนางก็สะบัดมือของเขาหลุด
“คิดไม่ถึงว่าองค์รัชทายาทก็มีความชอบในตัวบุรุษผู้เป็เพศเดียวกันด้วย” ใบหน้าหล่อเหลาราวกับปกคลุมไปด้วยหมอกบางๆ หากแต่ในน้ำเสียงเย้าแหย่กลับแฝงการเสียดสีลงไป
“ท่านอ๋องเองก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ?” นางโต้กลับ
สายตาของเขามองไปยังเก้าอี้ด้านข้าง สื่อให้นางนั่งลง จากนั้นเขาก็รินชา
นางจงใจนั่งลงตรงข้ามเขา “ท่านมาทำอะไรที่หอเฟิ่งหวง?”
มู่หรงอวี้ดื่มชาทีเดียวหมด “เปิ่นหวางก็เหมือนกับเ้า”
มู่หรงฉือลอบคิดอยู่ในใจ ข้าไม่มีทางเชื่อคำพูดของเ้า
เขาเดินไปด้านหลังของนาง ก่อนที่นางจะลุกขึ้นเขาก็กดบ่าทั้งสองข้างของนางเอาไว้ และจับหน้าของนางให้หันไปด้านข้าง
ในใจของนางยิ่งหงุดหงิดจนอยากจะใช้ศอกกระทุ้งท้องของเขาแรงๆ
นิ้วยาวที่หนาเล็กน้อยของเขาลูบไปที่แก้มของนางเบาๆ ให้ความรู้สึกแปลกประหลาดตามมา
ช่างร้ายกาจจนทำให้นางขนลุกขนพอง บรรยากาศโดยรอบมีความคลุมเครือลอยวนอยู่
นางโกรธจนกำหมัดแน่น แทบจะเห็นกระดูกข้อมือของตัวเอง มู่หรงอวี้สมควรตาย เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?
“คิดว่าสวมหน้ากากเช่นนี้แล้ว เปิ่นหวางจะจำเ้าไม่ได้หรือ?”
มู่หรงอวี้ยิ้มเย็น ยกมือขึ้นมาโยนหน้ากากทองทิ้งลงบนโต๊ะ
มู่หรงฉือโกรธจนแทบกระอักเื แต่นางพยายามสะกดกลั้นไฟโทสะที่สุมอยู่ในอก “ยามเปิ่นกงสวมหน้ากาก จะทำอะไรก็สะดวกกว่า”
“เมืองหลวงของเรามีรสนิยมบุรุษรักบุรุษอยู่ ถึงแม้จะไม่ได้แสดงออกมาต่อหน้า แต่ในที่ลับก็ไปนัวเนียกันอยู่มาก หอเฟิ่งหวงให้บริการในด้านนี้โดยเฉพาะ ได้ยินว่ามีขุนนางจำนวนไม่น้อยมาหาความสุขที่นี่ หอเฟิ่งหวงเป็สถานที่ที่เป็ดั่ง์ของคนนิยมบุรุษเพศในเมืองหลวง” เขานั่งลงอีกครั้ง ั์ตาสีเข้มของเขาฉายแววสงสัย “เ้าจึงมาดูว่ามีขุนนางคนไหนที่มีความชอบด้านนี้ใช่หรือไม่?”
“หรือว่าท่านอ๋องไม่ได้มาด้วยเหตุนี้?” นางถามกลับ
“เช่นนั้นองค์รัชทายาทห็นอะไรบ้าง?”
“ขุนนางพวกนั้นต่างอยู่ในห้องกันหมด เปิ่นกงเพิ่งจะมาได้ครู่เดียวเท่านั้น ยังไม่ทันได้ตรวจสอบสิ่งใด”
“หากเ้าอยากรู้ว่ามีขุนนางคนใดบ้าง เปิ่นหวางมีอยู่วิธีหนึ่ง”
เมื่อได้ยินวิธีของเขา มู่หรงฉือก็อยากจะด่าเขาสักหนึ่งประโยคว่าสมองของเ้าถูกลาถีบออกมาแล้วหรือ
วิธีของเขามันช่างไม่มีความจำเป็เลย ใช้วิธีอื่นนางก็รู้ได้เหมือนกันว่ามีขุนนางคนไหนบ้าง!
มู่หรงอวี้พูดด้วยท่าทางจริงจัง “จะทำเื่ใหญ่แต่จะไม่สนใจเื่เล็กไม่ได้ แม้แต่เื่เล็กๆ แค่นี้เตี้ยนเซี่ยก็เสียสละไม่ได้เลยหรือ?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้