หรงจ้านเป็คนฉลาด คนฉลาดย่อมรู้สิ่งใดควรทำ และตอนนี้เขาก็ทำเช่นนั้นอยู่ หากเขาไปสู่ขอกับจวนซู่เฉิงโหวโดยตรง หรือต่อให้ฝ่าาพระราชทานสมรส เกรงว่าจวนซู่เฉิงโหวก็คงจะไม่ยินยอม คนตระกูลนี้เถรตรงอย่างยิ่ง ยึดมั่นในคุณธรรมสูงส่งมากว่าร้อยปี ทั้งยังมีความดื้อรั้นหัวแข็งเฉกเช่นบัณฑิตมากวิชาความรู้
บางครั้งการทำสิ่งใดต้องรู้จักพลิกแพลง เหมือนที่หรงจ้านทำอยู่ตอนนี้
เขาสงวนถ้อยคำ ทำงานไปเงียบๆ จนเป็ที่ชื่นชอบของไท่ไท่สาม และเื่ครานี้ก็ทำให้ซูซานหลางใจอ่อนลงกว่าเดิมไม่น้อย
แต่หรงจ้านหาใช่คนที่จะใช้บุญคุณมาบีบคั้นผู้อื่น เขาเป็คนเด็ดขาดทำสิ่งใดตรงไปตรงมาเสมอ สอดคล้องกับหลักการที่ยึดมั่นมาโดยตลอด ซึ่งก็คือผลลัพธ์สำคัญกว่าวิธีการ
ทว่าก็แล้วแต่ว่าเป็เื่อะไร อย่างตอนนี้เขาใช้วิธีนับไม่ถ้วน ค่อยๆ สั่งสมไปทีละอันพันละน้อย เพื่อให้ได้มาซึ่งผลลัพธ์เดียวที่้า
...
หรงจ้านจิบชาเพียงลำพังอยู่ หลี่เฉิงซูเดินมาข้างกายเขา แล้วเอ่ยอย่างสงบนิ่ง "วันนี้เป็วันที่ซูซานหลางสองสามีภรรยาเข้าวัง เ้าไม่ไปเป็กำลังเสริมหน่อยหรือ?"
หรงจ้านเลิกคิ้ว "สิ่งใดเกินพอดีก็เท่ากับไม่ดี หากข้าเข้าวัง จะเป็การเผยเจตนาที่โจ่งแจ้งเกินไป"
หลี่เฉิงซูหัวเราะเยาะ หลังจากนั้นก็เอ่ยว่า "น้อยนักที่จะได้เห็นเ้าวางแผนเพื่อผู้อื่น แต่ไม่รู้ว่าสกุลซูจะต้องจ่ายค่าตอบแทนมากมายเท่าไร"
พูดมาถึงตรงนี้ นางเองก็กระจ่างแจ้งดุจมีคันฉ่องส่องใจ รอยยิ้มคล้ายมีคล้ายไม่มีผุดขึ้นมาบนมุมปาก "แท้จริงแล้วเ้ากับคุณหนูเจ็ดสกุลซูดูไม่เข้ากันเลย"
ในที่สุดหรงจ้านก็เงยหน้ามองหลี่เฉิงซูไม่ขยับ
หลี่เฉิงซูเดินมานั่งข้างกายเขา แล้วพูดต่อไป "เ้ามืดมนเกินไป ไม่เหมาะสมกับแม่นางน้อยที่สดใสราวกับแสงอาทิตย์"
หรงจ้านหัวเราะเสียงใสกังวานออกมา "ท่านดูสิ ซูเฉียวเยว่มีความสามารถแค่ไหน เพียงไม่กี่วันก็มัดใจท่านได้แล้ว มิหนำซ้ำยังมาพูดแทนนางอีกด้วย แต่ข้าเป็ศิษย์น้องของท่าน ท่านคำนึงถึงแต่คนนอก ข้าเองก็น้อยใจเป็เหมือนกัน"
หลี่เฉิงซูขำพรืดออกมา หลังจากนั้นก็รินน้ำชาให้ตัวเองแล้วเอ่ยว่า "แต่ไรมาข้าทำสิ่งใดล้วนดูที่งานไม่ได้ดูที่คน ถ้าหากดูที่คนจริงๆ ล่ะก็..." หลี่เฉิงซูเงยหน้าขึ้น "ข้าไม่มีทางช่วยเหลือฉีอิ่งซินเด็ดขาด"
สีหน้าและแววตาของหรงจ้านอาบไปด้วยรอยยิ้ม "ไม่ใช่เพราะท่านคิดว่าจะสามารถตักตวงอะไรจากข้าได้มากกว่าหรือ ศิษย์พี่ พวกเราหาใช่คนอื่นไกล และไม่ได้เพิ่งรู้จักกัน อย่าเสแสร้งไปหน่อยเลย ข้ารู้ว่าท่านเ็าไร้หัวใจแค่ไหน"
หลี่เฉิงซูช้อนตาขึ้น กล่าวอย่างเฉยชา "หากข้าเป็คนจิตใจดี คงถูกสังหารทิ้งไปนานแล้ว"
พูดจบก็ลุกขึ้นจากไป
หรงจ้านคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม แล้วค่อยๆ เอ่ยว่า "จะหงุดหงิดอันใด? ตบะยังไม่แก่กล้าอีกหรือไร?"
ซื่อผิงเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน แล้วกระซิบข้างหูหรงจ้านสองสามประโยค หรงจ้านเบิกตากว้างอย่างไม่คาดคิด เขามองซื่อผิงแล้วเอ่ยปากทันที "รีบไปเชิญเข้ามา"
ไม่นานนัก ก็เห็นแม่นางน้อยหวานหยาดเยิ้มสาวเท้าเข้ามาอย่างเร่งด่วน หรงจ้านอมยิ้มถาม "นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเฉียวเยว่จะมา หรือว่าไม่พบหน้าหนึ่งวันเหมือนห่างกันสามฤดูสารท?"
ดวงหน้าของเฉียวเยว่พลันแดงซ่าน แต่นางเองก็เป็คนฝีปากกล้า ไหนเลยจะปล่อยให้ใครมาเกทับ นางเชิดหน้าเล็กน้อย เอ่ยว่า "ไม่พบหน้าหนึ่งวันเหมือนห่างกันสามฤดูสารท แต่จะใช่พี่จ้านหรือไม่ ยังบอกได้ยาก"
"หากมิใช่ข้า แล้วไยถึงมาหาก่อนเล่า? ดังนั้นเ้าต้องชอบข้าที่สุดแน่นอน ข้ากล่าวไม่ผิดกระมัง?" หรงจ้านอมยิ้ม
เฉียวเยว่แค่นเสียงเยาะ "ท่านจะคิดเช่นนี้ให้ได้ ข้าก็จนปัญญา ถึงอย่างไรข้าก็ไม่สามารถปลุกคนที่แกล้งหลับให้ตื่นได้อยู่แล้ว"
หรงจ้านมองนางอย่างพินิจ เฉียวเยว่ตัวสูงกว่าดรุณีน้อยวัยเดียวกันในเมืองหลวงไม่น้อย แต่ถึงกระนั้นก็ยังเตี้ยกว่าหรงจ้านอยู่มาก หรงจ้านก้มศีรษะลงมองนางพลางพูดหยอกเย้า "เอาไว้เ้ากลับไปแล้ว ข้าจะคุยกับศิษย์พี่ให้นางเตรียมยาให้เ้าสักสองสามเทียบ"
เฉียวเยว่ไม่รู้ว่าเื่ที่คุยกันวกมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร นางมองหรงจ้านด้วยความประหลาดใจ
"เพราะเหตุใด?"
หรงจ้านรอให้นางถามอยู่ เขาตอบด้วยสีหน้าจริงจัง "เด็กแคระอย่างเ้าต้องเงยหน้าคุยกับข้าทุกคราไป ข้าในฐานะพี่ชายจะไม่นำพาได้เยี่ยงไร ย่อมต้องช่วยเ้าอีกแรง"
เท้าเล็กจ้อยของเฉียวเยว่เหยียบไปบนเท้าของหรงจ้านทันควัน ดวงหน้าน้อยแทบจะเดือดปุดๆ "ท่านว่าร้ายข้าอีกแล้ว"
"โจมตีปมด้อยของผู้อื่น น่าชังที่สุด"
หรงจ้านเพียง้าแกล้งหยอกนางเล่นเท่านั้น ทุกคราที่เห็นนางโมโห ก็รู้สึกว่ามันตลกมากจริงๆ
"เ้าโกรธแล้วหรือ?" เขาเอ่ยเสียงเบา
เฉียวเยว่เชิดคางอย่างยโสโอหัง "หากท่านยอมช่วยข้า ข้าถึงจะให้อภัย"
หรงจ้านทอยิ้ม เขาก็เป็เช่นนี้เอง ตราบใดที่ยิ้มก็ราวกับมวลบุปผาทั่วหล้าเบ่งบานพร้อมกัน งดงามตระการตาเป็ที่สุด แต่หากมองลึกๆ ก็จะเห็นความเยือกเย็นและความชอบกลบางอย่าง
"มีอะไรล่ะ?" หรงจ้านถาม
เอ่ยถึงเื่นี้ ดวงหน้าน้อยของเฉียวเยว่ก็พองออก พลางเอ่ยเสียงเบา "บิดามารดาข้าเข้าวังถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับ ข้าเป็ห่วงมาก พี่จ้าน ท่านสามารถเข้าวังเมื่อไรก็ได้ตาม้า ท่านช่วยไปดูให้ข้าได้หรือไม่?"
หรงจ้านมองเฉียวเยว่อย่างพินิจ เฉียวเยว่คิ้วขมวดด้วยความหวาดวิตก ดวงหน้าเล็กจ้อยน่ารักกลมป่องราวกับซาลาเปาน้อย
หรงจ้านควบคุมตนเองไม่ได้ เชยคางของนางขึ้นมา
เฉียวเยว่ขบริมฝีปาก "ท่านจะทำอันใด" หัวคิ้วขมวดแน่นขึ้น นางกำลังร้อนใจจะแย่ แต่เขากลับยังมีอารมณ์ล้อเล่น น่าโมโหจริงๆ
เฉียวเยว่ทำปากยื่น "พี่จ้าน ตกลงท่านจะช่วยหรือไม่กันแน่"
มุมปากของหรงจ้านโค้งขึ้นเล็กน้อย "เ้าวางใจเถอะ บิดามารดาเ้าไม่มีปัญหาหรอก"
เฉียวเยว่เข้าใจเหตุผลข้อนี้ ทว่าเข้าใจก็ส่วนเข้าใจ แต่ไหนแต่ไรมานางไม่เคยเห็นผู้อื่นเป็คนเขลาเบาปัญญา หรือคิดว่าตนเองเป็สตรีข้ามภพแล้วจะวิเศษวิโสเหนือผู้อื่น
พูดให้ไม่น่าฟัง ก็คือนางระมัดระวังตัวเกินเหตุ และใช้เหตุผลมากเกินไป
นางยู่ปาก "แต่ในวังหาใช่สถานที่ที่ดีงาม หลายเื่สามารถพลิกผันได้ในชั่วพริบตา ข้าจะวางใจได้อย่างไร?"
เฉียวเยว่ดึงแขนเสื้อของหรงจ้านแล้วส่ายไปมาเหมือนเมื่อครั้งยังเด็ก "พี่จ้าน"
หรงจ้านหัวเราะ หลังจากนั้นก็ค้อมเอวลง แล้วกระซิบข้างหูเฉียวเยว่ "เ้าแตงน้อย ข้าไม่ช่วยเ้าที่ไหนกันเล่า แต่หากไปเองจะดูโจ่งแจ้งเกินไป ข้ามีตัวเลือกที่ดีกว่าเตรียมให้เ้าไว้แล้ว"
เฉียวเยว่ตะลึงงัน
แต่ก็มีการตอบสนองอย่างรวดเร็ว "ท่านไปขอความช่วยเหลือจากไทเฮาหรือ?" นางถามเสียงเบา
"เป็แม่นางน้อยที่เฉลียวฉลาดจริงๆ" หรงจ้านยกยิ้ม
เฉียวเยว่หันไปมองหรงจ้าน แต่เพราะเขาเข้ามาใกล้เกินไป เมื่อนางหันศีรษะไปด้านข้าง ริมฝีปากแดงนุ่มนวลจึงไปัักับแก้มของหรงจ้านอย่างฉิวเฉียด ทั้งสองต่างตกตะลึง
สีตาของหรงจ้านเข้มขึ้น สายตาของเขาเลื่อนลงไปจดจ้องที่ริมฝีปากของแม่นางน้อยเขม็ง
เฉียวเยว่หน้าแดงก่ำ อยากเป็ลมไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด นางประหม่าจะแย่อยู่แล้ว
นางขบริมฝีปาก เอ่ยเสียงเบา "ข้า..."
หรงจ้านคล้องแขนโอบรอบเอวของเฉียวเยว่ รั้งนางเข้ามาแนบชิดกับตนเอง แต่ไรมาเฉียวเยว่มักรู้สึกว่าตนเองโตแล้ว แต่เวลานี้นางกลับรู้สึกว่าตนเองตัวเล็กจ้อย พิงตัวหรงจ้านนิ่งไม่ขยับ เอ่ยเสียงเบาหวิว "ทะ... ทะ... ท่านจะ...ทะ ทำอันใด?"
น้ำเสียงนุ่มนวลแฝงไปด้วยความสับสน
เฉียวเยว่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง สติสัมปชัญญะบอกว่านางควรผลักคนผู้นี้ออกไป แต่กลับ... ทำใจไม่ได้เสียอย่างนั้น
นางยู่ปากเล็กน้อย พำพึมเสียงฉอเลาะ "หากท่านทำตัวรุ่มร่าม บิดาข้าต้องตีท่านเละแน่"
สายลมระลอกหนึ่งโชยมา กลีบบุปผาโปรยปรายลงมาจากบนต้นไม้ ร่วงลงมาบนเรือนผมของเฉียวเยว่ หรงจ้านมองกลีบดอกสีชมพูอ่อน ก็รู้สึกว่าไม่มีสีใดในโลกนี้ที่จะเข้ากับเฉียวเยว่ได้ดีไปกว่าสีชมพูของดอกท้ออีกแล้ว
เขากอดเฉียวเยว่เอาไว้นิ่งๆ มุมปากโค้งขึ้นเป็รอยยิ้ม
เฉียวเยว่ตกประหม่าจนไม่ไหว นางแทบไม่รู้แล้วว่าตนเองควรทำอย่างไร ยิ่งประหม่า ก็ยิ่งบ่นพึมพำ "ท่านไม่ควรทำเช่นนี้"
หรงจ้านเลิกคิ้ว "ข้าทำเช่นไร?"
เฉียวเยว่ถูกน้ำเสียงหยอกเย้าของเขายั่วล้อ ก็ทำปากยื่นแค่นเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ "ท่านไม่ควรรังแกข้าเช่นนี้"
นิ้วมือขาวนุ่มของนางสะกิดแขนของหรงจ้าน "ท่านอย่านึกว่าตนเองสูงกว่าแล้วจะทำอะไรก็ได้"
หรงจ้านหัวเราะพรืดเสียงดังออกมา พลางถอนใจเอ่ยว่า "นี่มันเกี่ยวข้องกันเสียที่ไหน"
บรรยากาศวาบหวามคลุมเครือในตอนแรกหายไปในพริบตา เฉียวเยว่ลอบรู้สึกโล่งอกอยู่เงียบๆ นางผลักหรงจ้านออกไป แล้วแสร้งทำเสียงข่มขู่ "ท่านยังไม่ปล่อยข้าอีกหรือ"
หรงจ้านไม่ปล่อย "หากข้าบอกว่าไม่เล่า?"
เฉียวเยว่เบิกตากว้าง เดิมทีดวงตาของนางก็เป็รูปผลซิ่งอยู่แล้ว เมื่อถลึงตาเช่นนี้ก็ยิ่งโตขึ้นเป็ทวี "ท่านเปลี่ยนไปเป็คนไร้เหตุผลเช่นนี้ได้อย่างไร"
เฉียวเยว่ใช้นิ้วจิ้มหรงจ้านอย่างแรง "เห็นทีหากข้าไม่จัดการท่านหน่อย ท่านก็คงไม่รู้ว่าดอกไม้ไยจึงเป็สีแดงสินะ"
หรงจ้านอดไม่ไหว ขำพรืดออกมา ในที่สุดเขาก็ปล่อยมือ แต่ถึงกระนั้นก็ยังมิวายก้มลงมาจุมพิตบนเรือนผมของนางเบาๆ ทีหนึ่ง
แม้เฉียวเยว่จะไม่รู้สึกถึงการจุมพิตอย่างดื่มด่ำใกล้ชิด แต่ก็ทำให้หัวใจนางเต้นไม่เป็ส่ำเหมือนมีกวางน้อยะโโลดเต้นอยู่ในอก ไม่รู้จะว่าอย่างไรดี จุมพิตที่แ่เบาคลุมเครือชั่วเสี้ยววินาทีนั้นทำให้นางรู้สึกเคลิบเคลิ้มมึนเมา ทำให้หัวใจของนางรู้สึกชอบกลยิ่งกว่าจุมพิตโดยตรงเสียอีก
นางขบริมฝีปาก แสร้งทำฉุนเฉียว "ข้าไม่กลัวท่านหรอกนะ หากรังแกข้าอีก ข้าจะ..."
หรงจ้านยิ้มออกมา "ให้ท่านลุงของเ้ามาตีข้าให้ตาย ให้ท่านพ่อของเ้ามาซัดข้าให้เละ ให้..." สายตาของหรงจ้านเลื่อนไปด้านหลังของเฉียวเยว่ แล้วเอ่ยถาม "มีอะไร?"
"เสนาบดีฉีมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ เขาบอก..." ซื่อผิงชำเลืองไปที่ซูเฉียเยว่ "เขาบอกให้คุณหนูเจ็ดสกุลซูออกไปขอรับ"
เฉียวเยว่ร้องไอ้หยาออกมา รู้ทันทีว่าเื่ที่ตนเองแอบหนีออกมาถูกเปิดโปงแล้ว นางยกมือปิดหน้าหมุนตัวเป็วงกลม "ข้าเสร็จแน่ ข้าเสร็จแน่"
หรงจ้านเห็นนางท่าทางน่าสงสาร จึงปลอบใจไปว่า "ไม่เป็ไร"
เฉียวเยว่เงยหน้าท่าทางร้อนใจจะแย่แล้ว "ไม่เป็ไรที่ไหนกัน ข้าจบเห่แล้ว ท่านลุงต้องมาเอาเื่กับข้าแน่"
หรงจ้านไม่ผลุนผลันแสดงความใกล้ชิด แต่กลับใช้น้ำเสียงอ่อนโยน "เ้าเชื่อข้าหรือไม่?"
ชั่วพริบตานั้น เฉียวเยว่พลันรู้กว่า ไฉนคำกล่าวนี้ถึงคลับคล้ายว่า... คุณเคยฟังแอมเวย์ไหม?
นางยกมือปิดหน้าอีกครั้ง ไม่ยอมเงยหน้าขึ้น ใน่เวลาตึงเครียดเช่นนี้นางยังคิดฟุ้งซ่านอะไรอยู่ได้ ช่างงี่เง่าเสียไม่มี!
"ท่านไม่ไหวหรอก เดี๋ยวข้าจัดการเอง"
หรงจ้านเห็นนางยังคงปิดหน้า ก็หัวเราะ ขยี้หัวนางอย่างอ่อนโยน "เด็กดื้อ"
น้ำเสียงอ่อนโยนเจือไปด้วยความรักใคร่ของเขาทำให้เฉียวเยว่หนาวสะท้าน เส้นขนลุกซู่ผุดขึ้นเป็ตุ่มหนังไก่ ยากจะหาถ้อยคำมาตอบโต้...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้