“พี่ใหญ่! ทำไมท่านไม่เคยกลับมาหาข้าเลย”
พอเห็นหน้าอันเถี่ยสือ ความน้อยใจก็ถาโถมเข้าใส่ อันซิ่วเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะโผเข้ากอดพี่ชาย เอ่ยได้เพียงประโยคเดียว เสียงก็สั่นเครือ พอเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาก็เอ่อคลอด้วยน้ำตา ไม่ต่างจากลูกสัตว์ตัวน้อยที่าเ็
“นี่พี่ก็ออกมาแล้วไม่ใช่รึ”
ชายฉกรรจ์ผู้สง่างามองอาจในสนามประลอง ผู้ซึ่งเ็าดุจเครื่องจักรสังหาร กลับทำตัวไม่ถูกเมื่ออยู่ต่อหน้าน้องสาว ยิ่งเห็นน้ำตาของนาง เขาก็ได้แต่เกาหัวอย่างงุ่มง่าม “เอาล่ะๆ อย่าร้องไห้เลยน่า”
“ท่านบอกว่าทำงานที่โรงสุราไม่ใช่หรือ แล้วทำไมถึงมาอยู่ที่ลานประลองนี่ได้”
อันซิ่วเอ๋อร์มองเขาอย่างขุ่นเคือง “หากวันนี้ข้าไม่บังเอิญมาที่นี่ ท่านคิดจะปิดบังข้าเื่นี้ไปตลอดเลยใช่หรือไม่”
“พี่ไม่ได้ตั้งใจจะปิดบัง แค่กลัวพวกเ้าจะเป็ห่วงเท่านั้น” อันเถี่ยสือตอบเสียงค่อย
“แล้วพอข้าตามมาถึงนี่ ท่านกลับทำเหมือนไม่รู้จักข้า ปล่อยให้คนอื่นคิดว่าข้าโป้ปด” อันซิ่วเอ๋อร์สะบัดหน้าหนี ยังไม่คลายความขุ่นเคืองง่ายๆ
“พี่ก็แค่กลัวว่าจะมีคนมาแอบอ้างเป็เ้าน่ะสิ” อันเถี่ยสือหัวเราะแห้งๆ พลันนึกขึ้นได้จึงรีบถาม “แล้วนี่เ้ามาที่เมืองนี้คนเดียวได้อย่างไร”
อันซิ่วเอ๋อร์เหลือบตามองจางเจิ้นอันแวบหนึ่ง อันเถี่ยสือเพิ่งสังเกตเห็นว่ามีชายหนุ่มวัยราวคราวเดียวกับตนยืนอยู่ไม่ไกล เขาจึงรู้สึกแปลกใจ รีบประสานมือทักทาย
“ไม่ทราบว่าสหายท่านนี้คือ...”
“สหายอะไรกัน เขาคือน้องเขยของท่านต่างหาก!” พูดจบ อันซิ่วเอ๋อร์ก็หน้าแดงซ่าน ก้มหน้าลงเล็กน้อยด้วยความเขินอาย
จางเจิ้นอันไม่คุ้นเคยกับอันเถี่ยสือ จึงเพียงประสานมือคารวะตอบตามมารยาท ไม่ได้เอ่ยคำใด
อันเถี่ยสือถึงกับยืนงง เขาฉุดแขนอันซิ่วเอ๋อร์ไปคุยอีกทางหนึ่ง “น้องหญิง เ้าไปแต่งงานั้แ่เมื่อใดกัน แถมยังแต่งกับคนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับพี่อีก เขาเป็ใครกัน ทำไมพี่ถึงรู้สึกคุ้นหน้าเขานัก”
เมื่อเห็นอันเถี่ยสือรัวคำถามเป็ชุด อันซิ่วเอ๋อร์ก็หายโกรธแล้ว ยิ้มบางๆ ตอบ
“ท่านคุ้นหน้าเขาก็ไม่แปลกหรอก เขาคือชาวประมงที่เคยไปหมู่บ้านเราเมื่อสองปีก่อนอย่างไรเล่า ท่านจำไม่ได้หรือ”
“เขาคือชาวประมงตาบอดคนนั้นน่ะรึ!”
พอได้ยินเช่นนั้น อันเถี่ยสือก็ใจนเผลอเสียงดังขึ้นหลายส่วน ถูกอันซิ่วเอ๋อร์ถลึงตาใส่จึงรู้ว่าตนเสียมารยาท แต่ก็ยังคงไม่อยากจะเชื่ออยู่ดี “แล้วเ้าไปแต่งงานกับเขาได้อย่างไรกัน”
เสียงของเขาดังพอสมควร อย่างน้อยจางเจิ้นอันที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ก็ได้ยินชัดเจน ชายหนุ่มได้แต่ยกมือลูบจมูกอย่างจนใจ เขาชินชากับคำพูดทำนองนี้เสียแล้ว
แต่อันเถี่ยสือยังคงตกตะลึงกับข่าวที่ได้รับ ยังตั้งสติไม่ได้ หลายปีมานี้ แม้เขาจะออกมาหาเลี้ยงชีพข้างนอก แต่่ปีใหม่ก็จะกลับบ้านเสมอ ดังนั้นเขาจึงเคยพบหน้าจางเจิ้นอันมาก่อน เพียงแต่ตอนนั้นจางเจิ้นอันใช้ผ้าปิดตา สวมหมวกสาน เขาจึงมองไม่เห็นใบหน้าชัดเจนนัก แต่ก็พอรู้สึกคุ้นๆ อยู่บ้าง
เขาไม่คาดคิดเลยว่าชายหน้าตาธรรมดาในวันนั้น วันนี้จะกลายมาเป็น้องเขยของตน เขายังคงรู้สึกติดใจอยู่ลึกๆ ด้วยรูปโฉมและนิสัยใจคอของน้องสาว นางสมควรจะได้แต่งงานกับชายที่ดีกว่านี้
อันซิ่วเอ๋อร์สังเกตเห็นแววตาซับซ้อนของพี่ชาย ในนั้นฉายชัดถึงความเ็ป ความรู้สึกผิด ความเสียดาย และความผิดหวัง อารมณ์หลากหลายปั่นป่วนอยู่ในดวงตาคู่นั้นจนน่าใจหาย อันซิ่วเอ๋อร์จึงตวาดเสียงลอดไรฟัน
“พี่ใหญ่! ท่านมองข้าด้วยสายตาแบบไหนกัน”
อันเถี่ยสือเพิ่งดึงสติกลับมาได้ รีบเก็บสายตานั้น แล้วก็ได้ยินอันซิ่วเอ๋อร์พูดต่อ “เอาล่ะ พี่ใหญ่ อย่าเพิ่งพูดเื่ของข้าเลย การแต่งงานของข้าเป็เื่ที่ผู้ใหญ่จัดการ แล้วท่านเล่า ปิดบังครอบครัว แอบมาเป็นักสู้อยู่ที่นี่ตามลำพัง ท่านรู้หรือไม่ว่าหากท่านพ่อท่านแม่รู้ว่าท่านทำงานเสี่ยงอันตรายเช่นนี้ พวกท่านจะเป็ห่วงท่านมากแค่ไหน”
“เื่นี้... เ้าอย่าบอกท่านพ่อท่านแม่นะ” อันเถี่ยสือเสียงแ่ลงทันที
“ต่อให้ข้าไม่บอกท่านพ่อท่านแม่ แล้วข้าเล่า ท่านไม่ห่วงข้าหรือ”
ดวงตาทั้งสองข้างของอันซิ่วเอ๋อร์แดงก่ำ นางจ้องมองอันเถี่ยสือ ขนตายาวงอนสั่นระริกเพียงนิด น้ำตาก็ร่วงหล่นจากหางตา ไหลผ่านแก้มเนียนราวหยก หยดลงสู่พื้น
“พี่ใหญ่ ท่านน่าจะรู้ดีที่สุด ในใจของข้า ข้ามองท่านเป็ทั้งพี่และเป็เหมือนพ่อมาตลอด นี่เป็ครั้งแรกที่ข้ามาที่เมืองนี้ ข้าอุตส่าห์เตรียมของขวัญมาให้ท่าน ตามหาท่านไปทีละโรงสุรา แต่ก็น่าเสียดายที่ไม่พบ”
“ข้ากำลังจะกลับอยู่แล้ว แต่พอมายืนอยู่หน้าประตูทางเข้าลานประลองแห่งนี้ ข้ากลับก้าวขาไม่ออก ข้าแค่อยากจะลองเข้ามาดู แล้วข้าก็ได้เห็นท่านสู้กับคนอื่น แม้พวกท่านจะสวมหน้ากาก แต่ข้าก็อดเป็ห่วงท่านไม่ได้ ข้าเห็นคู่ต่อสู้ของท่านใช้ศอกกระแทกท่านครั้งแล้วครั้งเล่า ใจข้าแทบจะหลุดออกมาจากอก ตอนแรกข้าคิดว่านี่คงเป็เื่ปกติ จนกระทั่งท่านถอดหน้ากากออก ข้าถึงได้รู้ว่า คนที่ดึงดูดให้ข้าเข้ามาในลานประลองนี้ั้แ่แรกจนจบ ก็คือท่าน... พี่ใหญ่ของข้า”
“พี่... ขอโทษ” อันเถี่ยสือก้มหน้าลง ไม่อาจสบตาน้องสาวได้
อันซิ่วเอ๋อร์ส่ายหน้าช้าๆ “ท่านไม่ได้ทำผิดต่อข้า ข้ารู้ว่าพี่ใหญ่คงทำไปเพื่อปากท้อง แต่ว่า... ท่านเปลี่ยนไปทำงานอื่นไม่ได้หรือ วันนี้ท่านชนะ แล้ววันพรุ่งนี้เล่า มะรืนนี้เล่า”
นางหยุดไปครู่หนึ่ง ปาดน้ำตา แล้วพูดต่อ “ข้ารู้ฝีมือพี่ใหญ่ดี แม้ตอนเด็กข้าจะมองท่านราวกับเทพเ้า แต่ข้ารู้ว่าสุดท้ายท่านก็เป็เพียงคนธรรมดา เป็แค่ชาวนาคนหนึ่ง ถึงแม้จะมีแรงเยอะกว่าคนอื่นไปบ้าง แต่ท่านก็คือชาวนา มือของท่านควรมีไว้เพื่อปักดำ หว่านไถ ทำไร่ทำนา ไม่ใช่มีไว้ชกต่อยใคร!”
“เ้าพูดถูกทุกอย่าง... แต่ว่า นอกจากใช้แรงแล้ว พี่จะไปทำอะไรได้อีกเล่า” อันเถี่ยสือฟังคำพูดของน้องสาวจบแล้วก็ได้แต่หัวเราะอย่างขมขื่น
“พี่มันก็แค่ชาวนาธรรมดาๆ มือคู่นี้ทำเป็แค่งานไร่งานนา นอกจากเรี่ยวแรงที่มากกว่าคนอื่นหน่อยแล้ว พี่ก็ไม่มีอะไรสู้คนอื่นได้เลย หัวก็ไม่ไว ไปทำงานที่โรงสุราได้ไม่กี่วัน เขาก็ไล่ออก ไปทำงานไม้ พี่ก็มือแข็งทื่อทำอะไรไม่เป็ เมื่อสองปีก่อน โชคดีหน่อยที่หาโรงตีเหล็กได้แห่งหนึ่ง ช่วยเขาตีเหล็กอยู่ปีกว่า แต่ปีที่แล้วญาติของเถ้าแก่จะมาทำงานแทน พี่ก็เลยต้องออกมา”
“แม้พี่จะมาหากินในเมืองนี้หลายปี แต่กลับทำอะไรไม่เป็ชิ้นเป็อัน มีอยู่่หนึ่ง เกือบจะต้องกลายเป็ขอทานอยู่ข้างถนน จนกระทั่งวันหนึ่ง พี่เห็นป้ายรับสมัครคนของลานประลองนี้ ในตอนที่จนตรอกสุดๆ พี่ไม่ได้คิดอะไรเลย ตัดสินใจเดินเข้าไปทันที”
ชายร่างสูงใหญ่กำยำ เมื่อเอ่ยถึงความขมขื่นในอดีต หลายครั้งที่ั์ตาแดงก่ำคล้ายจะร้องไห้ แต่ก็ยังคงฝืนทนไว้ น้ำเสียงจึงยิ่งสงบและราบเรียบ ราวกับกำลังเล่าเื่ของคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเอง
“ตอนแรกพี่สู้ไม่เป็เลย ใช้เป็แต่แรงควายอย่างเดียว ทุกครั้งที่ขึ้นลานประลอง ได้ยินเสียงโห่ร้องกึกก้อง เห็นคู่ต่อสู้ที่เหมือนสัตว์ป่าอยู่ตรงหน้า พี่ยอมรับว่าขาสั่นไปหมด ตอนนั้นพี่แพ้ติดๆ กันหลายครั้ง โดนอัดจนแทบลุกจากเตียงไม่ไหว ผู้ดูแลลานประลองมาบอกพี่ว่า ที่นี่ไม่เลี้ยงคนไร้ประโยชน์ ถ้าพี่ยังเป็แบบนี้อีก เขาก็จะโยนพี่ทิ้งออกไป”
“พี่ฟังแล้วก็กลัวจนตัวสั่น สภาพอย่างพี่ตอนนั้น ถ้าถูกโยนออกไปจริง คงไม่ถึงตาย แต่คงอนาถน่าดู พี่จะไม่มีที่ไปในเมืองนี้อีกแล้ว ทำได้แค่คลานกลับหมู่บ้านเหมือนหมาขี้แพ้ ทนให้คนอื่นหัวเราะเยาะน่ะไม่เท่าไหร่ แต่พี่ทนเห็นสายตาคาดหวังของพวกเ้าไม่ได้ พี่รู้ว่าเ้าคงรอปิ่นปักผมสวยๆ จากในเมืองที่พี่สัญญาจะซื้อไปฝาก ไหนจะท่านพ่อท่านแม่อีก พวกท่านก็คงตั้งความหวังไว้กับพี่ พี่ไม่อาจเดินกลับไปบอกพวกเขาว่า ‘ท่านพ่อ ท่านแม่ ลูกมันไม่ได้เื่ หางานดีๆ ทำไม่ได้’ จนไม่มีเงินติดตัวกลับมาเลยสักแดงเดียว แถมยังเจ็บตัวกลับมาเป็ภาระให้ทุกคนอีก”
“พี่บอกผู้ดูแลไปว่า ครั้งหน้าพี่จะชนะให้ได้ ถ้าทำไม่ได้ พี่ยินยอมเซ็นสัญญาขายตัวเป็ทาสให้เขาสิบปี เถ้าแก่ได้ยินแบบนั้น ถึงยอมให้พี่อยู่ที่นี่ต่อ แถมยังเรียกหมอมาดูอาการให้ด้วย พอผ่านไปไม่กี่วัน พอเริ่มขยับตัวได้ พี่ก็กลับขึ้นไปบนลานประลองอีกครั้ง”
“ตอนนั้น แผลของพี่ยังไม่หายดี หน้าตายังเขียวช้ำอยู่เลย คนดูในสนามต่างะโเรียกชื่อคู่ต่อสู้ พนันกันว่าพี่ต้องแพ้ยับ คู่ต่อสู้ก็บุกเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง พี่โดนต่อยไปไม่รู้กี่หมัด ตอนนั้นพี่โดนเขาซัดจนล้มลงกับพื้น เขาขึ้นคร่อม เหยียบหน้าอกพี่ มองลงมาอย่างเหนือกว่า เหมือนกำลังมองมดปลวกตัวหนึ่ง พี่ได้ยินเสียงโห่ไล่จากข้างสนาม พี่ถึงกับนึกภาพใบหน้าเกรี้ยวกราดของผู้ดูแลออกเลย”
“วินาทีนั้นพี่คิดว่าจบสิ้นแล้ว แพ้แน่แล้ว แต่พี่ไม่ยอมแพ้ พอนึกถึงท่านพ่อท่านแม่ที่แก่ชราลงทุกวัน นึกถึงเ้ากับต้าหยา นึกถึงหรงเหอน้องเล็ก เขาฉลาดหลักแหลมขนาดนั้น ถ้าพี่หาเงินส่งเสียเขาได้ไม่มากพอ เขาก็จะไม่ได้เรียนหนังสือ เท่ากับพี่เป็คนทำลายอนาคตของเขา... พอคิดแบบนี้ เรี่ยวแรงทั้งหมดก็พลุ่งพล่านขึ้นมาในร่างอย่างน่าประหลาด พี่ระดมหมัดชกไปที่ขาของมัน พลิกตัวดันมันออกไป แล้วกระหน่ำหมัดซัดมันจนล้มลงกับพื้น”
“จนกระทั่งกรรมการประกาศว่าพี่ชนะ พี่ก็ยังงงๆ อยู่ นั่นเป็ชัยชนะครั้งแรกของพี่ พอก้าวลงจากลานประลอง พี่ก็หมดสติไปเลย นอนหลับเป็ตายอยู่สามวันเต็มๆ การต่อสู้หลังจากนั้น ก็มีแพ้มีชนะสลับกันไป แต่ก็ไม่ย่ำแย่เหมือน่แรก พี่เริ่มค่อยๆ เรียนรู้วิธีสู้ของคนอื่น เรียนรู้ที่จะสังเกตจุดอ่อน เวลาว่าง พี่ยังไปแอบยกหินก้อนใหญ่ๆ เพื่อฝึกกำลังด้วย”
พอพูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงของอันเถี่ยสือก็ไม่หม่นหมองเหมือนตอนแรกอีกต่อไป ราวกับเมฆหมอกที่ปกคลุมได้จางหายไป เสียงของเขากลับมาอบอุ่นและทรงพลัง
“เพราะฉะนั้น น้องหญิง... เวลาเปลี่ยน คนก็เปลี่ยน พี่ใหญ่ของเ้าในตอนนี้ ไม่ใช่พี่ใหญ่คนเดิมที่เ้าเคยรู้จักแล้วนะ”
เขายืดอก ยกแขนกำยำขึ้นมาตบอกตัวเองดังปึ้กๆ ทำท่าเหมือนหมีตัวใหญ่ พูดเสียงห้าวว่า “เดี๋ยวนี้ใครๆ ก็เรียกพี่ว่า ‘ภูผาเหล็ก’ แข็งแกร่งจะตายไป!”
แม้ว่าเขาจะตั้งใจพูดติดตลกให้อันซิ่วเอ๋อร์หัวเราะ แต่นางกลับหัวเราะไม่ออก ได้แต่ก้มหน้าลง เสียงแ่เบา “พี่ใหญ่... ท่านลำบากมากจริงๆ”
นางรู้ว่าพี่ใหญ่ผู้เข้มแข็งคงไม่อยากให้นางเห็นด้านที่อ่อนแอของเขา นางเองก็ไม่อยากจะร้องไห้ฟูมฟายต่อหน้าพี่ชายเช่นกัน นางอยากให้เขารู้ว่า นางไม่ใช่เด็กหญิงขี้แยคนเดิมอีกต่อไปแล้ว นางหาเงินเองได้ และนางก็สามารถเป็เสาหลักให้ครอบครัวนี้ได้เช่นกัน
“ลูกผู้ชาย! หลั่งเืหลั่งเหงื่อได้ แต่ไม่หลั่งน้ำตา!”
อันเถี่ยสือยื่นมือออกไป ตั้งใจจะตบไหล่ให้กำลังใจอันซิ่วเอ๋อร์ แต่เมื่อเห็นว่าไหล่บอบบางของนางมีแขนของชายอีกคนโอบอยู่แล้ว เขาจึงเปลี่ยนทิศทาง หันไปใช้กำปั้นทุบไปที่อกของจางเจิ้นอันเบาๆ สองที
“เ้าเด็กนี่! กล้าดียังไงมาล่อลวงน้องสาวคนสวยของข้าไปได้”
จางเจิ้นอันได้ยินดังนั้น มุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อยเป็รอยยิ้ม ดูท่าทางอารมณ์ดีขึ้น อันเถี่ยสือเห็นแล้วก็หัวเราะออกมา การสื่อสารระหว่างลูกผู้ชายดูเหมือนจะเรียบง่ายกว่าที่คิด เพียงแค่สบตากันครั้งเดียว ก็เพียงพอที่จะเข้าใจและยอมรับซึ่งกันและกัน
