รถม้าของมู่หรงจิ่งหลีและองค์หญิงใหญ่พบกันระหว่างทาง ขณะที่กำลังจะไปยังชานเมือง
นับแต่องค์ชายสามตั้งใจจะปล่อยให้นางตายเป็ต้นมา กู่อวี่เสวียนก็ไม่ชอบขี้หน้าเขา เมื่อมาถึง หญิงสาวจึงไม่คิดจะเสวนาด้วย เพียงเดินตรงไปที่ห้องพักของโจวชิงหวาเท่านั้น
ทันทีที่เข้าไป พอเห็นหนีเจียเอ๋อร์นั่งอยู่ข้างเตียงชายหนุ่มไม่ห่าง นางก็ไล่อีกฝ่ายออกไปพลัน
การทำแบบนั้น ย่อมเป็เสมือนการเปิดโอกาส ให้มู่หรงจิ่งหลีได้มีเวลาอยู่กับแม่นางหนีเช่นกัน
เมื่อเห็นหนีเจียเอ๋อร์เดินลงบันไดมา องค์ชายสามก็ปรี่เข้าไปทักทาย ปลายนิ้วเรียวปัดปอยผมสลวยของหญิงสาวอย่างถือวิสาสะ ซึ่งการกระทำเช่นนี้ ทำให้บ่าวรับใช้ที่เดินผ่านไปมา ต่างพากันขัดเขิน
“เสี่ยวเอ๋อร์ วันนี้ข้านำสมุนไพรมาด้วยหลายอย่าง เดี๋ยวจะสั่งให้คนเอาไปต้ม เพื่อให้เ้าดื่มบำรุงร่างกาย จะได้กลับมาแข็งแรงในเร็ววัน”
หนีเจียเอ๋อร์เหลือบมองด้วยท่าทีเ็า ก่อนเอ่ยเสียงเฉยเมย “องค์ชายสาม โปรดอย่าเรียกข้าแบบนี้”
มู่หรงจิ่งหลียิ้มเจื่อนๆ แต่ก็ทำทีเป็เมินคำพูดอีกฝ่าย ก่อนเดินเคียงข้างนางไป “แล้วเหตุใดโจวชิงหวาจึงเรียกได้เล่า?”
หญิงสาวนิ่วหน้า พลางเหยียดหยาม “อย่าเปรียบเทียบกัน ท่านทาบเขาไม่ติดหรอก”
องค์ชายสามยิ้มเย็น “ทำไมจะเปรียบเทียบมิได้ หากดูจากฐานะและอำนาจ ข้าสูงส่งกว่าเขา ดังนั้นเขาต่างหากที่ทาบข้าไม่ติด!”
หนีเจียเอ๋อร์ชะงักฝีเท้า แล้วหันไปจ้องเขาเขม็ง “ข้าต้องไปคิดดูแล้ว ว่าความสามารถและสติปัญญาของท่านนั้น มีมากเพียงใด?”
กล่าวจบ ก็เดินฉับๆ จากไป มู่หรงจิ่งหลีจึงรีบตามไปติดๆ เช่นกัน
แต่เมื่อมาถึงประตูใหญ่ เท้าขวาของนางที่กำลังจะก้าวข้ามกรอบประตู พลันถูกดึงกลับเข้ามากะทันหัน ทำให้มู่หรงจิ่งหลีที่ตั้งตัวไม่ทัน เดินออกไปเพียงลำพัง หนีเจียเอ๋อร์จึงรีบฉวยโอกาส ปิดประตูทันที
เขาจึงรีบหันมาเคาะบานประตู “เสี่ยวเอ๋อร์ ทำอะไรน่ะ? เปิดประตูให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
หนีเจียเอ๋อร์ะโตอบ “องค์ชายสาม ท่านกลับไปเถอะ!”
…
อีกด้านหนึ่ง
ที่หลังกอไผ่ มีบุคคลปริศนาสองคนกำลังแอบมองสถานการณ์อยู่เงียบๆ เมื่อเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาก็รีบไปรายงานให้สวีซื่อทราบทันที
นางแสยะยิ้ม โยนเงินมาให้หนึ่งพันตำลึง ก่อนออกคำสั่งให้ลงมือทันที
...
กลางดึก ชายชุดดำกลุ่มหนึ่งได้ลอบเข้ามาในตำหนักเงียบๆ แต่ก็ไม่พ้นสายตาของทหารองครักษ์ซึ่งอยู่รอบๆ พื้นที่ เสียงะโดังขึ้น พร้อมเสียงกระทบฟาดฟันของกระบี่
เมื่อได้ยินเสียงการต่อสู้ ทั้งหนีเจียเอ๋อร์และกู่อวี่เสวียนต่างก็รีบมุ่งหน้าไปยังห้องของโจวชิงหวา เพื่อปกป้องเขา
...
ขณะเดียวกัน หนีเจียเฮ่อก็เดินทางมาที่จวนสกุลสวี
ผ่านไปหนึ่งก้านธูป พ่อบ้านก็ออกมาพาเขาเข้าไปข้างใน
ไม่ช้า ชายหนุ่มก็มาอยู่ในห้องหนังสือของนายท่านสวี
หลังโต๊ะไม้ตรงหน้า มีร่างของนายท่านสวีกำลังนั่งมองเขาอยู่
หนีเจียเฮ่อคำนับอีกฝ่ายด้วยท่าทีนอบน้อม “คารวะท่านลุง หากไม่จนตรอก ข้าคงจะไม่มาหาท่านในยามวิกาลเช่นนี้”
นายท่านสวีจึงรู้ทันที ว่าชายหนุ่มมาด้วยเื่ของหนีเจียเอ๋อร์ เขาจึงทำท่าไม่อยากจะเสวนาด้วย
แม้จะถูกปฏิเสธอ้อมๆ แต่หนีเจียเฮ่อก็มิได้โกรธเคืองอันใด เพียงโค้งคำนับอีกครั้ง “ท่านลุง ที่ข้ามาวันนี้ ก็เพื่อขอโทษในเื่ที่เกิดขึ้น ข้าเสียใจจริงๆ ที่ทำให้ตระกูลของท่านต้องขายหน้า ต้องขออภัยจริงๆ ดังนั้นช่วยเห็นแก่หน้าข้า โปรดยกโทษเสี่ยวเอ๋อร์ได้หรือไม่? อย่างน้อยนางก็เคารพท่านประหนึ่งลุงแท้ๆ โปรดยกเลิกคำสั่งสังหารด้วย”
นายท่านสวีพ่นลมหายใจ เขาไม่อยากรับคำขอโทษ เพราะการกระทำของเสี่ยวเอ๋อร์นั้น นอกจากจะทำให้สวีเพ่ยหรานขายหน้าแล้ว ยังทำให้ตระกูลของเขาต้องอับอายอีกด้วย
“พวกเรามิได้มีความสัมพันธ์กันทางสายเื ข้าเพียงเอ็นดูนางดั่งหลานสาวคนหนึ่งก็เท่านั้น อีกทั้ง หากนางเคารพข้าจริงๆ ก็คงจะไม่หักหน้ากันเช่นนี้!”
หนีเจียเฮ่อยังคงสงบนิ่ง ถึงจะถูกอีกฝ่ายตอกกลับอย่างไร ก็มิได้ตอบโต้ “นายท่านสวี ตั้งใจจะฆ่าเสี่ยวเอ๋อร์และโจวชิงหวาจริงๆ หรือ?”
อีกฝ่ายตอบว่า “นี่เป็ความผิดของนาง ดังนั้น อย่ามาทวงความเป็ธรรมจากข้า”
หนีเจียเฮ่อจึงหยิบสมุดเล่มหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ แล้วส่งให้ “เช่นนั้น ท่านควรจะอ่านนี่เสียก่อน”
ดวงตาคมปรายมองชายหนุ่ม ก่อนหยิบหนังสือขึ้นมาเปิดดู นี่เป็เพียงสมุดบัญชีเก่าๆ เล่มหนึ่ง แต่แค่หน้าแรก ก็ทำให้ดวงตาของนายท่านสวีเบิกกว้าง เขาเปิดดูหน้าที่สอง สาม และหน้าอื่นๆ จากนั้นจึงพูดด้วยความโกรธเคือง “หนีเจียเฮ่อ เพื่อช่วยน้องสาวแล้ว เ้าถึงกับใช้วิธีสกปรกเช่นนี้เลยหรือ? ฮึ่ม... ข้าประเมินเ้าต่ำเกินไป!”
“ท่านจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่ ส่วนข้า ไม่สนว่าสวีซื่อจะติดสินบนจริงหรือไม่ ทว่าสมุดบัญชีเล่มนี้ ได้ถูกตรวจสอบแล้ว” แววตาของเขาแปรเปลี่ยนเป็เย็นะเื “นายท่านสวี หากไม่จัดการเื่ทั้งหมดให้ข้าภายในหนึ่งก้านธูป ข้าจะไปยังราชสำนัก เพื่อถวายบัญชีเหล่านี้แด่องค์ฮ่องเต้”
หากเื่ไปถึงขั้นนั้น แน่ใจหรือ ว่าท่านจะรับมือได้?
นายท่านสวีกัดฟันกรอด รีบเรียกบ่าวผู้หนึ่งออกมา แล้วสั่งให้หยุดมือทันที
เมื่อได้คำตอบที่น่าพอใจ หนีเจียเฮ่อก็หมุนตัว หมายจะเดินจากไป
แต่นายท่านสวีโพล่งถามขึ้นว่า “บัญชีนี่ เ้ามีสำเนาหรือไม่?”
“แน่นอน ตราบใดที่น้องสาวของข้าและโจวชิงหวากลับมาได้อย่างปลอดภัย ข้าย่อมไม่แพร่งพรายเื่นี้ให้ผู้ใดทราบ ดังนั้น...” ชายหนุ่มหันหน้ากลับมา พร้อมเอ่ยอย่างเ็า “หากน้องสาวข้าเป็อะไรไป ข้าสาบานว่าจะล้างแค้นให้นาง ด้วยการทำให้ท่านรู้สึกอยู่ไม่สู้ตาย!”
นายท่านสวีหรี่ตามอง “หนีเจียเฮ่อ คิดว่าข้าจะกลัวเ้าหรือ?”
“เช่นนั้น ก็รอดูได้เลยขอรับท่านลุง”
เพียงคำพูดสั้นๆ แต่กลับทำให้นายท่านสวีพูดไม่ออก ได้แต่มองอีกฝ่ายเดินจากไปจนลับสายตา
...
ชานเมือง
ทหารองครักษ์เข้าต่อสู้กับชายชุดดำเป็เวลานาน แต่การที่มีศัตรูบุกเข้ามาเรื่อยๆ เช่นนี้ ก็ทำให้กองกำลังที่มีอยู่เพียงหยิบมือ เริ่มอ่อนแรงลงทุกที
ไม่ช้าฝ่ายทหารก็พ่ายแพ้ ทำให้ตอนนี้ เหล่าชายชุดดำได้บุกเข้ามาถึงตัวตำหนักแล้ว
ภายในที่ซ่อนตัว เมื่อกู่อวี่เสวียนรู้ว่าองครักษ์ของตนไม่อาจต้านทานได้แล้ว ก็เริ่มตื่นตระหนก
“หากรู้เช่นนี้ ข้าคงจะพาทหารมาอารักขาเพิ่ม” หลังจากไตร่ตรองอยู่พักหนึ่ง นางก็หันไปพูดกับหนีเจียเอ๋อร์ “เ้าอยู่นี่ คอยดูแลเขาเอาไว้”
ก่อนที่หนีเจียเอ๋อร์กับโจวชิงหวาจะคัดค้าน องค์หญิงใหญ่ก็รีบวิ่งออกไป
หนีเจียเอ๋อร์กล่าวอย่างร้อนรน “ข้าจะไปช่วยนาง”
แต่กลับถูกโจวชิงหวาคว้าข้อมือเอาไว้ “อย่านะ! นางเป็องค์หญิง ไม่มีใครกล้าทำอะไรหรอก แต่ถ้าเ้าออกไป คงได้ตายแน่!”
แม้จะเป็เช่นนั้น แต่จะมั่นใจได้อย่างไร “แต่...”
เขาจับข้อมือหญิงสาวไว้แน่น “หากเ้าอยากจะช่วยนาง เราก็ต้องรีบหนีไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด”
หนีเจียเอ๋อร์มองาแบนร่างกายของชายหนุ่ม ก่อนขมวดคิ้วแน่น “แต่เ้าในตอนนี้ จะหนีไปได้อย่างไร? หากฝืนสังขาร าแอาจจะสาหัสยิ่งขึ้น”
โจวชิงหวาเหยียดยิ้ม พลางส่ายหน้า “ไม่เป็ไร เราจะออกเดินทางกันแต่เช้าตรู่ เพื่อมิให้เกิดเื่วุ่นวาย เราจะให้องค์หญิงรู้เื่นี้มิได้ ข้าจะทิ้งข้อความเอาไว้ให้นาง บุญคุณในครั้งนี้ วันหน้าข้าต้องหาทางทดแทนแน่”
หลังลังเลพักหนึ่ง หนีเจียเอ๋อร์ก็พยักหน้าตกลง
--------------------------------
[1] โค่นกล้วยอย่าไว้หน่อ (斩草除根: จันเฉ่าชูเกิ้น) ซึ่งเป็ชื่อตอนนั้น หมายถึง การกำจัดศัตรูจะต้องกำจัดให้หมดสิ้นจริงๆ เพื่อมิให้เหลือผู้สืบทอด หรือพรรคพวกที่จะกลับมาเป็ศัตรูได้อีก