หลี่ฝูคังเล่าทั้งหัวเราะว่า “วันนี้พี่ใหญ่ข้าไปงานเลี้ยงแต่งงาน เอ่ยพึมพำว่า ลูกชิ้นเต้าหู้ทอดอร่อยนัก พอถึงวันเขาแต่งงานก็จะเอาอาหารนี้ด้วย”
หลี่เจี้ยนอันอายจนแก้มสองข้างแดงก่ำ รีบบอกว่า “มีเื่นี้ที่ใด เ้าฟังผิดแล้ว”
หลี่อิงฮว๋าหัวเราะลั่น เอ่ยว่า “พี่ใหญ่ ท่านอย่าบอกว่าตนเองไม่ได้พูดเลย พี่รองนั่งอยู่ทางด้านซ้ายของท่านยังได้ยิน ข้านั่งอยู่ด้านขวาของท่านก็ได้ยินด้วย” ความจริงแล้วเขาเอาแต่ห่วงกินไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น ก็แค่กระเซ้าพี่ใหญ่ที่ชอบปั้นหน้าบึ้งและเคร่งขรึมอยู่เสมอเท่านั้น
หลี่หรูอี้พูดล้อเล่นว่า “พี่ใหญ่ใจร้อนจะแต่งพี่เยี่ยนเข้าเรือนแล้วหรือเ้าคะ”
หลี่เจี้ยนอันส่ายหน้า ตอบว่า “ไม่ใช่”
หลี่หรูอี้เลิกคิ้วเอ่ยด้วยท่าทีขึงขัง “โอ้... พี่ใหญ่ไม่รีบแต่ง เช่นนั้นก็ไม่ชอบพี่เยี่ยน วันหลังข้าจะไปบอกกับพี่เยี่ยน เฮ้อ... พี่เยี่ยนต้องเสียใจเป็แน่”
หลี่เจี้ยนอันรีบแย้งว่า “ไม่ เ้าอย่าไปบอกเยี่ยนเอ๋อร์นะ”
หลี่ิ่หานที่ไม่ค่อยพูดจู่ๆ กลับเอ่ยอย่างมีลับลมคมในว่า “วันนี้พี่เยี่ยนคุยกับพี่ใหญ่ด้วย คุยกันสามประโยค ข้าได้ยินหมดแล้ว”
หลี่เจี้ยนอันร้องถามเสียงหลง “เ้าไปได้ยินมาจากที่ใด”
พี่น้องทั้งชายหญิงเห็นพี่ใหญ่อายหน้าแดงหมดแล้ว จึงถามด้วยความสงสัยว่า “คุยเื่ใดกัน”
“เจี้ยนอัน ข้าอยากให้เ้ามาขอข้าแต่งงาน”
“เจี้ยนอันคนดี เ้าคิดถึงข้าหรือไม่”
“เ้าสาวงามเท่าข้าหรือไม่”
หลี่เจี้ยนอันร้อนใจไปหมด จึงถลึงตาบอกว่า “ไม่มี เยี่ยนเอ๋อร์ไม่มีทางพูดจาเช่นนี้ พวกเ้าอย่าพูดส่งเดช”
หลี่หรูอี้มองพี่ชายทั้งสี่และถามว่า “พี่เยี่ยนพูดสิ่งใดกับพี่ใหญ่เ้าคะ”
หลี่ิ่หานกระแอมก่อนจะบอกเสียงดังว่า “พี่เยี่ยนถามว่าบ้านสกุลเติ้งอยู่ไกลหรือไม่ พี่ใหญ่ตอบว่าไม่นับว่าไกล พี่เยี่ยนจึงบอกว่าเ้าดื่มสุราให้น้อยหน่อย”
“พี่เยี่ยนยังไม่ทันแต่งกับพี่ใหญ่ก็เป็ห่วงพี่ใหญ่ขนาดนี้แล้ว”
“มิน่าเล่าวันนี้พี่ใหญ่ดื่มสุราไปครึ่งจอกเท่านั้น ที่แท้ก็เพราะกลัวพี่เยี่ยนจะโกรธ”
“พี่ใหญ่ที่แสนดีของข้า ท่านยังไม่ได้แต่งพี่เยี่ยนเข้าเรือนก็เริ่มเชื่อฟังคำของนางแล้วหรือ”
พี่น้องแต่ละคนต่างพูดกันคนละประโยค ทำเอาหลี่เจี้ยนอันต้องอ้างว่า จะไปปลดทุกข์เบา แล้วเดินออกไปข้างนอกเสีย
หลี่ซานสามีภรรยาคอยดูอยู่ข้างๆ ั้แ่ต้นจนจบพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า ในเวลาเดียวกันก็ใคร่ครวญในใจว่า งานแต่งของบุตรชายคนโตจะต้องจัดให้ยิ่งใหญ่กว่างานของเอ้อร์โก่วจื่อในวันนี้ เห็นชัดว่าพวกเขาทั้งให้ความสำคัญและพึงพอใจกับเื่แต่งงานครานี้อย่างยิ่ง
อู่เอ้อร์เข้ามารายงานว่า “นายท่าน ฮูหยินขอรับ มีคนมาจากในเมืองเยี่ยน บอกว่าจะซื้อเต้าหูจากเรือนเราห้าพันชั่งไปขายในเทศกาลโคมไฟ[1]ขอรับ”
เต้าหู้ตระกูลหลี่ เริ่มเปิดขายั้แ่วันที่แปดเดือนหนึ่งแล้ว แต่เพราะยังอยู่ใน่ปีใหม่ จึงขายเพียงครึ่งหนึ่งของเมื่อก่อนเท่านั้น
เดิมทีนึกว่าการค้าในหลายวันนี้จะยังเป็ดังนั้นอยู่ นึกไม่ถึงว่าวันนี้จะมีพ่อค้ามาขอซื้อเต้าหูห้าพันชั่งถึงเรือน
เมื่อการค้ามาถึงหน้าประตูย่อมไม่อาจผลักไสไปได้ หลี่ซานดีอกดีใจรีบออกไปต้อนรับด้วยตนเอง เมื่อเห็นว่าผู้มาเยือนเป็คนคุ้นเคยก็เชิญเข้ามาสนทนากันสองสามประโยค และได้รู้ว่านอกจากเต้าหู้แล้ว เขาก็ยัง้าเต้าหู้แห้งหนึ่งพันชั่ง และฟองเต้าหู้หนึ่งพันชั่งอีกด้วย จึงทำสัญญาและรับเงินมัดจำ จากนั้นก็เรียกให้พ่อลูกบ้านอู่ไปเริ่มทำเต้าหู้แห้งที่โรงเต้าหู้
หลี่หรูอี้ถามว่า “ท่านแม่เ้าคะ เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่า ท่านพ่อดีใจเสียยิ่งกว่าได้รับของกำนัลขอบคุณจากทั้งห้าจวนแม่ทัพเมื่อวันสองวันก่อนอีกเล่าเ้าคะ”
จ้าวซื่อเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ท่านพ่อเ้ามีชะตาของคนทำงาน จึงอยู่ว่างๆ ไม่ไหวแม้สักเค่อ”
“ข้าจะให้ท่านดูของอย่างหนึ่ง” หลี่หรูอี้เอาโฉนดที่ดินวางไว้บนมือของจ้าวซื่อ พลางกล่าวอย่างมั่นใจว่า “ท่านพ่อ เห็นของนี้แล้วจะต้องชอบมากเป็แน่”
จ้าวซื่อร้องอย่างใ “ที่นาดีห้าสิบหมู่ เ้าไปเอามาจากที่ใด”
“ท่านพ่อบ้านจวนสวี่บอกว่า นี่เป็ของที่นายผู้เฒ่าสวี่ของพวกเขามอบให้ข้าไว้เป็สินติดตัว ข้าคิดดูแล้วว่าข้าก็เพาะปลูกไม่เป็ เก็บโฉนดนี้ไว้ก็เปล่าประโยชน์ มิสู้มอบให้ท่านพ่อดีกว่าเ้าค่ะ”
จ้าวซื่อจำได้ชัดเจนว่า ไม่เคยมีคนจากจวนสวี่มาที่บ้านสกุลหลี่มาก่อน จึงถามว่า “พ่อบ้านจวนสวี่มอบให้เ้าเมื่อใด”
หลี่หรูอี้อธิบายว่า “พ่อบ้านจวนสวี่ไม่ได้มาที่บ้านเราเ้าค่ะ แต่ไปที่จวนของพี่เจียง ไม่กี่วันก่อนลุงฝูมาที่บ้านของเรา จึงนำความของพ่อบ้านจวนสวี่มาบอกข้าเ้าค่ะ ครั้งนั้นข้ากำลังรีบเอายาให้ลุงฝูจึงลืมเื่นี้เสียสนิท เพิ่งนึกขึ้นมาได้เมื่อคืนเ้าค่ะ”
จ้าวซื่อไตร่ตรองอยู่ในใจ
นึกย้อนกลับไปในวันนั้น หลังจากที่ลุงฝูมาก็ไม่ได้บอกแค่ครั้งเดียวว่า ของกำนัลขอบคุณเป็ทั้งห้าจวนมอบให้แก่ท่านหมอเทวดาน้อย
จ้าวซื่อจึงเข้าใจขึ้นมาในทันใด ตระกูลสวี่กลัวว่าบ้านหลี่จะเก็บของของหลี่หรูอี้เอาไว้เองทั้งหมด จึงให้ลุงฝูแอบมอบโฉนดที่ดินแก่หลี่หรูอี้
คนข้างในขุ่นมัว คนข้างนอกชัดแจ้ง
บ้านสกุลหลี่มีบุตรชายหกบุตรสาวหนึ่ง หลี่ซานไม่มีความสามารถ ก่อนนี้รายได้หนึ่งปียังหาเงินได้ไม่เท่ากับขายเต้าหู้หนึ่งวัน
ที่สกุลหลี่มีวันนี้ได้ล้วนเป็ความชอบของหลี่หรูอี้
หนำซ้ำหลี่หรูอี้ก็ยังเป็หมอเทวดาน้อยที่สามารถรักษาทั้งท่านชายและแม่ทัพหลายคนจนหายป่วยด้วย
คนนอกกลัวว่าสกุลหลี่จะละเลยต่อหลี่หรูอี้ แล้วเอาเงินทองที่นางหามาได้ทั้งหมดไปมอบให้พี่ชายและน้องชายทั้งหกคน
นายผู้เฒ่าสวี่ช่างซาบซึ้งในบุญคุณของหลี่หรูอี้จากใจจริง
คนนอกผู้หนึ่งยังคำนึงถึงหลี่หรูอี้เพียงนี้ จ้าวซื่อซึ่งเป็แม่แท้ๆ ของหลี่หรูอี้ยิ่งต้องเป็เช่นเดียวกัน
“ลูกสาว เ้าเก็บโฉนดที่ดินนี้เอาไว้เถิด แม่จะบอกท่านพ่อเ้าสักคำ ให้เขาว่าจ้างคนไปเพาะปลูก เงินค่าเช่าที่ได้หลังเก็บเกี่ยวก็จะให้เ้าทั้งหมด”
“ข้าจะเอาที่ดินตั้งมากมายไปทำสิ่งใดเล่าเ้าคะ”
“เป็สินติดตัว วันหน้าเมื่อเ้าแต่งเข้าเรือนแม่สามี เอวจะได้แข็ง[2]”
หลี่หรูอี้เห็นจ้าวซื่อมีท่าทีหนักแน่นนัก จึงได้แต่เก็บโฉนดที่ดินเอาไว้เช่นเดิม
จ้าวซื่อเอื้อมมือไปลูบผมบุตรีสุดที่รัก ปีก่อนยังเป็เพียงเด็กหญิงเล็กๆ ไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ได้กินดีอยู่ดีมาครึ่งปีก็กลายมาเป็แม่นางตัวโต ผมหนาขึ้น ตัวสูงขึ้น ทรวดทรงก็ชัดเจนขึ้นแล้ว แต่หน้าอกยังคงแบนราบอยู่ ยังห่างจากการมีรอบเดือนอีกนาน
“บ้านสกุลเติ้งให้สินติดตัวกับเติ้งอิ๋นฮวาน้อยเกินไป คนในหมู่บ้านจึงพากันหัวเราะเยาะท่านน้าของเ้า วันสองวันมานี้ท่านน้าของเ้าจึงอารมณ์ไม่ดี มาบ่นกับแม่ตั้งหลายครั้ง”
ในท้องถิ่นมักมีธรรมเนียมเื่สอดส่องสินสอดทองหมั้น สินติดตัวของเติ้งอิ๋นฮวาถูกยกมาที่บ้านสกุลสวี่ั้แ่สามวันก่อน ทั้งชายหญิง เด็ก และคนชราในหมู่บ้านหลี่ต่างพากันไปดูมาแล้ว
บ้านเติ้งยากจนจึงให้เงินก้นหีบเติ้งอิ๋นฮวาแค่สามสิบอีแปะ แม้แต่เตียงนอนสักเตียงก็ยังไม่มี ผ้าห่มนวมก็ไม่มี ให้มาแค่หีบไม้ที่ใหม่แปดส่วน กล่องไม้ใหม่หนึ่งกล่อง และยังมีเสื้อผ้าเก่าที่เติ้งอิ๋นฮวาเคยใส่มาแล้ว รวมๆ กันอย่างมากก็เป็เงินเพียงสองร้อยอีแปะเท่านั้น
ของหมั้นหมายที่บ้านสวี่ให้บ้านเติ้งลำพังแค่เงินทองก็มีถึงสามตำลึง ยังมีของกินของใช้ทั้งหมดรวมกันแล้วก็เกือบห้าตำลึง
ซึ่งบ้านเติ้งก็เก็บเอาไว้เองทั้งหมดไม่ได้มอบให้เติ้งอิ๋นฮวาเลย
หลี่หรูอี้เอ่ยเบาๆ ว่า “อู่โก่วจื่อได้ยินคนของร้านขายยาในตำบลบอกว่า ยามคนในหมู่บ้านที่พวกสกุลเติ้งอยู่แต่งบุตรสาวก็ทำเช่นนี้กันทั้งนั้นเ้าค่ะ”
“ข้าได้ยินท่านน้าหม่าบอกว่า ก่อนนี้ตาเฒ่าเติ้งบอกไว้ดิบดีว่าอย่างน้อยจะให้สินติดตัวเติ้งอิ๋นฮวาสองตำลึง ภายหลังพ่อของภรรยาเติ้งต้าป่วยหนักจึงยืมเงินไปหมด”
“อ้อ... ที่แท้เป็ดังนี้เอง ช่วยคนเหมือนช่วยดับเพลิง[3] เมื่อเทียบกับสินติดตัวแล้ว ชีวิตคนสำคัญเท่าฟ้า ชีวิตคนย่อมสำคัญกว่า”
“ถูกต้องแล้ว นั่นประไรตาเฒ่าเติ้งเอ่ยเื่นี้กับท่านลุงสวี่บนโต๊ะอาหาร ท่านพ่อเ้าอยู่ที่นั่นด้วยจึงได้ยินมา”
“เช่นนั้นท่านน้าหม่าคงอารมณ์ดีขึ้นบ้างแล้วกระมังเ้าคะ”
“ก็พอทำเนา”
“แต่งก็แต่งเข้าเรือนมาแล้ว ตนเองต้องใช้ชีวิตเอง ไม่ว่าผู้อื่นจะพูดอย่างไร วันหน้าเติ้งอิ๋นฮวาได้ใช้ชีวิตอยู่กับพี่เอ้อร์โก่วจื่อดีๆ มีหลานให้ท่านน้าหม่า มิใช่ว่าจะสำคัญกว่าเื่ใดๆ หรอกหรือเ้าคะ”
จ้าวซื่อเห็นว่าบุตรีสุดที่รักเข้าใจเื่ราวได้ทะลุปรุโปร่ง จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “คราหน้าเ้าก็ช่วยไปเตือนท่านน้าของเ้าแทนแม่สักหน่อย”
หลี่หรูอี้ถามขึ้นว่า “ไม่รู้ว่าท่านน้าเฟิงจะให้สินติดตัวพี่เยี่ยนสักเท่าใดนะเ้าคะ”
จ้าวซื่อเป็ว่าที่แม่สามีของหวังเยี่ยน จึงไม่เหมาะจะไปสอบถามเื่สินติดตัวกับครอบครัวดอง แต่ว่ากันตามนิสัยใจคอของหวังไห่สามีภรรยาแล้ว จึงเอ่ยอย่างมั่นใจได้ว่า “คงไม่น้อยทีเดียว”
“ก็ไม่แน่นะเ้าคะ ท่านลืมแล้วหรือว่าหวังจื้อเการ่ำเรียนหนังสือต้องมีค่าใช้จ่ายก้อนโต”
.............................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] เทศกาลโคมไฟ หรือเทศกาลหยวนเซียว คือ เทศกาลฉลองในวันที่ 15 เดือน 1 ตามปฏิทินจันทรคติ เป็สัญลักษณ์ของวันสุดท้ายในการฉลองเทศกาลปีใหม่ของจีน ตามปฏิทินทางจันทรคติ
[2] เอวแข็ง หมายถึง มีแรงช่วยหนุน ไม่ถูกคนรังแกหรือดูแคลนเอาง่ายๆ (คำว่า มีคนหนุนหลัง ถือหาง ในภาษาจีนเรียกว่า มีคนคอยดันเอว)
[3] ช่วยคนเหมือนช่วยดับเพลิง หมายถึง ช่วยชีวิตคนต้องรีบเร่งเหมือนช่วยดับเพลิงไหม้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้