ในความเป็จริงแล้ว การเดินออกไปเป็ครั้งคราวของหลงเซี่ยวเจ๋อนั้น เดิมทีฮองเฮาก็ไม่สนใจอยู่แล้ว เนื่องจากนิสัยที่ไม่อาจอยู่นิ่งดังคนสมาธิสั้นเช่นนั้นของหลงเซี่ยวเจ๋อ ทำให้เขาไม่อาจอยู่นิ่งๆ ได้นาน ดังนั้นฮองเฮาจึงไม่สนใจเขาเลย
แต่ต่อมาฮองเฮาพบว่า่เวลาระหว่างการออกไปของหลงเซี่ยวเจ๋อนั้นเกือบจะเท่ากันทั้งหมด
หากแค่ครั้งหรือสองครั้งก็เพียงพอแล้ว แต่นี่กลับมีหลายครั้ง จึงช่วยไม่ได้ที่คนจะเกิดความสงสัย
แท้ที่จริงแล้วเกิดสิ่งใดขึ้น? หลงเซี่ยวเจ๋อกำลังทำสิ่งใดอยู่?
ดวงตาของฮองเฮาจึงจับจ้องไปที่ประตูที่มืดมิดเล็กน้อย ความสงสัยผุดขึ้นในดวงตาของนาง
น่าเสียดาย...ในยามนี้ฮองเฮาไม่มีเวลาคิดเื่นี้เลย แม้ว่าจะมี นางหรือจะได้รับโอกาสนั้น
จนกระทั่งร่างของหลงเซี่ยวเจ๋อหายลับไปอย่างสมบูรณ์จากภายนอกประตู มู่จื่อหลิงจึงถอนสายตาออกมาด้วยความมั่นใจ
ฮองเฮามองไปที่ประตูอย่างครุ่นคิด และมู่จื่อหลิงก็สังเกตเห็นมัน ในใจของนางรู้อยู่ก่อนแล้ว
มู่จื่อหลิงยกมือขึ้นกอดอกของตน เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แล้วส่ายหัวด้วยรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้ม “จุ๊ จุ๊ ฮองเฮา คาดไม่ถึงว่าในบางครั้งท่านก็ยังมีความรู้สึกสับสน และท่านยังสั่งให้สิงกู้เหวินทำเื่เช่นนั้น”
มู่จื่อหลิงเยาะเย้ยอีกครั้ง
ดูเหมือนว่านางจะเคยถูกดูิ่และเย้ยหยัน เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคำถามของมู่จื่อหลิง ใบหน้าของฮองเฮาก็ไม่บูดบึ้งอีกต่อไป
ในยามนี้ มู่จื่อหลิงกับหลงเซี่ยวเจ๋อได้กระตุ้นความโกรธของนางได้สำเร็จแล้ว หากนางโกรธอีกสักนิด มันก็จะทำให้มู่จื่อหลิงยิ่งพึงพอใจมากขึ้นเท่านั้น
ดังนั้น ไม่ว่านางจะโกรธมากเพียงใด นางต้องควบคุมมันให้ได้ในยามนี้ และปล่อยให้ยายเด็กหน้าเหม็นผู้นี้ภาคภูมิใจต่อไป ด้วยแม้กระทั่งตัวของนางเองยังอยากที่จะเหยียดหยามตนเองเลย
หลังจากต่อสู้ในวังมาหลายปี ได้ต่อสู้กับผู้หญิงมานับไม่ถ้วน นางยังไม่เคยพบกับความล้มเหลวที่ผิดหวังเช่นนี้แม้แต่ครั้งเดียว
ฮองเฮาค่อยๆ หยิบเศษเครื่องเคลือบที่ติดอยู่ในฝ่ามือของนางออกทีละชิ้น เืจึงไหลออกมาในทันที นางหยิบผ้าเช็ดหน้าเนื้อนุ่มขึ้นมาแล้วค่อยๆ เช็ดฝ่ามือของตน
ด้วยฝ่ามือสีแดงสดนั้น ฮองเฮาไม่รู้สึกเ็ปเลย นางไม่แม้แต่จะย่นคิ้ว เพียงเช็ดมันอย่างจริงจังและระมัดระวังเท่านั้น
หลังจากนั้นไม่นานฮองเฮาก็ยกมุมปากสีแดงของนางขึ้น ก่อนเยาะเย้ยและพูดช้าๆ ว่า “เ้าวางแผนที่จะใช้เื่นี้มาคุกคามเปิ่นกงหรือ?”
ฮองเฮากล่าวขึ้นมา ราวกับนางมองทุกสิ่งออกหมดแล้ว ราวกับว่านางเข้าใจแผนการต่อไปของมู่จื่อหลิงได้อย่างชัดเจน
ภัยคุกคาม? ก็ยังพอจะเป็ไปได้
แต่ว่า ขอโทษนะ ตัวนางมู่จื่อหลิงเกลียดการถูกคุกคาม ดังนั้น นางย่อมไม่ข่มขู่ผู้อื่น และการทำเพียงข่มขู่ก็ไม่คุ้มค่า
มู่จื่อหลิงยกมุมปากของนางขึ้นเล็กน้อย ยิ้มออกมาโดยไม่ยอมรับหรือปฏิเสธ
นางยกมือขึ้นมาแตะคาง เดินวนรอบโต๊ะอย่างสบายๆ และตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า “เดิมพันที่เกี่ยวข้องกับเื่นี้ ฮองเฮายังไม่เข้าใจใช่ไหม?”
คิ้วของฮองเฮาขมวดเล็กน้อย ในชั่วขณะหนึ่งรู้สึกราวกับบางอย่างยังไม่ชัดเจน
สมองยังไม่ทันคิดสิ่งใดได้
ที่มุมปากของมู่จื่อหลิงก็มีแววของการเยาะเย้ยบางๆ “หรือว่าฮองเฮาคาดไม่ถึง และไม่คิดถึงผลที่ตามมาจากเื่นี้เลย?”
นางไม่อยากจะเชื่อเลยว่าสมองของฮองเฮาผู้เป็ที่รักจะเต็มไปด้วยอึ
นึกถึงยามนั้น เพราะกู่ปรสิต นางจึงถูกฮ่องเต้เหวินอิ้นส่งเข้าเรือนจำโดยไม่ทักท้วง
ฮองเฮาผู้มีเมตตาผู้นี้ยอมรับแล้วว่าเป็นางที่ใส่ร้ายนาง อีกทั้งนางยังยอมรับว่ากู่ที่อยู่ในตัวนางนั้นเป็ของตน หากฮ่องเต้เหวินอิ้นทรงรับรู้เื่นี้อาจทำให้เกิดคลื่นบางอย่างได้
“ผลที่ตามมา? เปิ่นกงจะตั้งตารอชมสิ่งที่เ้าสามารถทำได้ ว่าสิ่งใดคือผลที่ตามมาที่เปิ่นกงต้องแบกรับ?” ฮองเฮายิ้มอย่างเ็า เต็มไปด้วยความรังเกียจภายในใจ
ในยามนี้ที่กล้ายอมรับ เช่นนั้นย่อมมีวิธีที่จะปิดมันลงไป
ส่วนเื่ของกู่นั้น ยามนี้ไม่มีผู้ใดรู้เื่นี้นอกจากนางและซุนมามา
หากสิงกู้เหวินอยู่ในมือของพวกเขาจริง แต่เพียงแค่คำพูดของเ้าหน้าที่ตัวน้อยเพียงฝ่ายเดียวนั้น เป็ไปได้ไหมที่จะส่งผลต่อนางผู้ที่เป็ที่เลื่อมใสได้?
ยายเด็กหน้าเหม็นนั่นกล้าใช้เศษกระดาษขาดๆ เพียงแผ่นเดียว ยกเ้าหน้าที่ตัวเล็กๆ ที่ถูกลดตำแหน่งขึ้นมาพูดเช่นนั้นหรือ? ช่างไม่รู้จักประมาณตน
แม้ว่าจะมีพยานและหลักฐานทางกายภาพ แต่หลักฐานชิ้นนี้จะสามารถใช้ทำอะไรได้?
ด้วยทราบถึงความคิดของฮองเฮาอยู่ก่อนแล้ว มู่จื่อหลิงจึงพยักหน้าอย่างจริงจัง และยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า “อืม ข้ายังคงตระหนักในเื่นี้อยู่ และข้าไม่มีความสามารถนั้นจริงๆ”
หลังจากหยุดไปชั่วครู่ ดวงตาของนางก็จ้องไปที่ฮองเฮาอีกครู่หนึ่ง ก่อนที่นางจะพูดราวกับกำลังตกอยู่ในภวังค์ “แต่ว่า หากท่านอยากเล่นงานผู้ใด ย่อมมีเหตุผลหรือสามารถหาข้ออ้างได้เสมอ เหตุใดท่านไม่กังวล หรือว่าฮองเฮา ท่านไม่กลัวเลยหรือ...”
แต่ก่อนที่มู่จื่อหลิงจะพูดจบ ก็ถูกขัดจังหวะโดยฮองเฮา
“กลัวหรือ? เปิ่นกงต้องกลัวหรือ?” ฮองเฮาราวกับได้ยินเื่ตลกที่ดีที่สุดในชีวิตของนาง มุมปากของนางก็ยกขึ้นมีร่องรอยของการดูถูกเหยียดหยาม ก่อนเอ่ยเสียงอย่างเ็า “หากเปิ่นกงกลัว เ้าจะยังได้นั่งอยู่ในตำแหน่งนี้อีกหรือ? ช่างน่าขำเสียนี่กระไร!”
ผ่านไปครู่หนึ่ง มู่จื่อหลิงยังคงไม่สามารถโต้แย้งกับสิ่งนั้นได้
ต้องยอมรับว่า สิ่งที่ฮองเฮาพูดเป็ความจริง และมันเป็ความจริงที่ไม่อาจเถียง
การนั่งในตำแหน่งสูงส่งซึ่งเป็ที่ชื่นชมของผู้คนเช่นนี้ หากปราศจากฝีมือและกลอุบาย คงจะถูกเข่นฆ่าจนตายไปนานแล้ว แต่ด้วยมีทั้งฝีมือและกลอุบาย จึงย่อมต้องมีความสามารถในการไม่เกรงกลัวสิ่งใด
โดยรวมแล้ว ตำแหน่งฮองเฮา การที่สามารถนั่งอยู่บนตำแหน่งนี้ได้จะต้องมีความสามารถมาก
ควรมีทั้งแผนการและฝีมือ ควรผ่านการขัดแย้งและแข่งขัน สิ่งเหล่านี้มีให้พบไม่น้อยเลย และมันจะมีมาอย่างถึงอกถึงใจ
ดังนั้นนางจึง ‘กังวล’ เกี่ยวกับฮองเฮาผู้เป็ที่รักผู้นี้อย่างเสียเปล่าแล้วจริงๆ
ก็ได้ เนื่องจากฮองเฮาตรัสอย่างมั่นใจว่าไม่มีความเกรงกลัว นางจึง้าดูว่าไม่กลัวจริงหรือไม่
ภายนอกของมู่จื่อหลิงนั้นดูไร้เดียงสาและไม่มีพิษภัย แต่ดวงตาของนางกลับมีแสงที่มืดมนทั้งยังมีความเ้าเล่ห์
“จะว่าไปแล้วก็ใช่” มู่จื่อหลิงพยักหน้าเห็นด้วยและถามอย่างอ่อนแรงว่า “แต่ท่านคิดว่าผู้อื่นจะโง่เขลาทุกคนหรือ? คุณสั่งสิงกู้เหวินให้ใส่ร้ายฉีอ๋อง และกู่ที่องค์ชายห้าได้รับก็มาจากคำสั่งของท่านใช่หรือไม่?”
เมื่อเห็นว่ากลิ่นอายของมู่จื่อหลิงอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด ทันใดนั้นฮองเฮาก็นึกว่านางคงรู้สึกเสียหน้า จึงเริ่มค่อยๆ ตอบกลับ
ฮองเฮาพยักหน้าเบาๆ โดยคงไว้ซึ่งท่วงท่าที่สง่างามและสูงส่ง เป็ท่าทางที่ไม่อาจล่วงเกิน ก่อนจะพูดพร้อมกับหัวเราะเบาๆ ว่า “ทุกสิ่งต้องมีหลักฐาน ฉีหวางเฟยไม่อาจพูดจามั่วซั่วไม่คำนึงถึงความจริงได้”
น้ำเสียงที่ดูถูกเหยียดหยามและท่าทีที่เย่อหยิ่งแสดงถึงความมั่นใจที่หาที่เปรียบมิได้ของฮองเฮา
อันที่จริงแล้ว หากพูดตามตรง มู่จื่อหลิงไม่มีหลักฐานจริงๆ
“แท้จริงแล้ว ในเื่นี้ นอกจากความล้มเหลวของสิงกู้เหวินแล้ว ฮองเฮา ท่านเป็ผู้ที่คิดสิ่งต่างๆ ได้อย่างรอบคอบมากจริงๆ แม้ว่าเราจะตรวจสอบมานานแล้ว แต่กลับยังไม่พบเบาะแสที่ชัดเจนใดๆ เลย” มู่จื่อหลิงตัดสินความสามารถของฮองเฮาอย่างตรงไปตรงมา
มู่จื่อหลิงหาพบมากน้อยเพียงใด สืบหาจากที่ใด ฮองเฮาล้วนทราบดี
ยายเด็กหน้าเหม็นผู้นี้อยากจะใช้ไข่มากระทบหินจริงๆ นางช่างไม่เจียมตัวเสียจริง
ในที่สุดก็ได้เปรียบอีกครั้ง แต่ไม่ทันที่ฮองเฮาจะได้มี่เวลาที่ดี ก็ถูกขัดขึ้นมาเสียก่อน
“แต่...ฮองเฮา ท่านมั่นใจได้มากถึงเพียงนั้นเลยหรือ?” มู่จื่อหลิงเดินเข้ามาใกล้ฮองเฮา ก่อนจ้องมองนางอย่างจริงจัง มีรอยยิ้มอยู่ภายในแววตา เป็รอยยิ้มเยาะเย้ย
ฮองเฮาเงยคางขึ้นเล็กน้อย นางเลิกคิ้วขึ้นก่อนแย้มยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้มออกมา แล้วทำท่าทีอย่างภาคภูมิใจ
มู่จื่อหลิงกะพริบตาอย่างไร้เดียงสา เอ่ยเตือนอย่างจริงจังว่า “ฮองเฮา ไม่ว่าอย่างไรถนนก็มีจุดสิ้นสุด ยิ่งไปกว่านั้นเดินสะดุดยามอยู่บนท้องถนนท้ายที่สุดแล้วจะถูกเตะและเหยียบย่ำจนจมลงไปกับพื้น!”
ดูเหมือนจะเป็คำที่ไร้เดียงสา แต่กลับดูเหมือนยากแท้หยั่งถึง ฮองเฮาขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าของนางไม่เปลี่ยน “เ้าหมายความว่าอย่างไร?”
มู่จื่อหลิงนั่งลงข้างฮองเฮาอีกครั้ง อธิบายอย่างอวดรู้ “การเคลื่อนไหวที่ผิดพลาดไปหนึ่งครั้ง เช่นนั้น ฮองเฮา บางทีสิ่งชั่วร้ายอื่นๆ ที่ท่านได้กระทำไว้ มันอาจมีส่วนเกี่ยวข้องและถูกขุดคุ้ยขึ้นมาได้ ท่านเชื่อหรือไม่?”
เชื่อหรือไม่? แน่นอนว่าฮองเฮาย่อมไม่เชื่อ
นางยิ้มอย่างเ็า ยิ้มออกมาโดยไม่พูดอะไรเลย ยิ้มหน้าบานถึงเพียงนี้ไม่ต้องพูดก็เข้าใจได้
แม้ว่าฮองเฮาจะยังไม่กล้ามองมู่จื่อหลิง แต่มู่จื่อหลิงกลับจ้องมองนาง ความหมายในสายตาของฮองเฮานั้นชัดเจนว่านางไม่เชื่อ
อันที่จริงไม่ใช่ว่าฮองเฮาไม่เชื่อ ไม่ต้องพูดถึงว่าวันนี้นางถูกพวกเขาทำให้โกรธเคืองมากพอแล้ว และยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่านางรู้สึกอับอายจริงๆ กับการไม่เชื่อฟังของพวกเขา
กล่าวได้ว่าฮองเฮาเคยชินกับการถูกคนอื่นชื่นชมและเคารพ จู่ๆ ก็ต้องมาเจอกับคำถามเช่นนี้อย่างกะทันหัน หัวใจที่เย่อหยิ่งและความมั่นใจในตนเองของนางจะปล่อยให้ถูกเหยียบซ้ำได้อย่างไร?
“เฮ้อ ท่านไม่เชื่อจริงๆ หรือ?” มู่จื่อหลิงกางมือของนางออกและแสร้งทำเป็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้
นางยกนิ้วอันเรียวยาวขึ้นชี้ตรงตำแหน่งขมับของฮองเฮา แล้วเอ่ยเตือนอย่างเมตตาว่า “ฮองเฮาอย่ากลัวที่จะคิดเกี่ยวกับมันอย่างจริงจัง ลองพินิจพิเคราะห์ทุกคำที่ข้าพูดในวันนี้และสิ่งที่ต้องทำให้ละเอียดถี่ถ้วนสักนิดเถอะ”
ยามที่ฮองเฮาตระหนักว่ามู่จื่อหลิงกำลังเหยียดนิ้วของนางชี้มาที่ศีรษะของตน มู่จื่อหลิงก็ได้ถอนมือของนางออกอย่างเป็ธรรมชาติราวกับว่านางกำลังทำสิ่งที่ค่อนข้างธรรมดา
ถูกมู่จื่อหลิงทำให้เกิดความขุ่นเคืองอย่างกะทันหัน ร่องรอยของความไม่พอใจและความโกรธที่ไม่ได้ปิดบังปรากฏอยู่ในดวงตาของฮองเฮา
ทำให้คนโกรธจริงๆ! ยายเด็กหน้าเหม็นผู้นี้ช่างกล้าล่วงเกินผู้มีอำนาจ
ทั้งยังบอกให้นางคิดเกี่ยวกับมัน? ยายเด็กหน้าเหม็นผู้นี้มองนางเป็สิ่งใด?
แต่...สิ่งที่ยายเด็กหน้าเหม็นผู้นี้ทำในวันนี้ช่างกล้าหาญยิ่งนัก
แม้ว่าจะเป็ครั้งแรกที่พวกเขาได้เผชิญหน้ากันแบบตัวต่อตัว แต่ยายเด็กหน้าเหม็นผู้นี้ก็เป็คนเช่นกัน เหตุใดนางเป็คนบ้าระห่ำและ้าที่จะยั่วยุเช่นนี้?
จากทั้งหมดที่กล่าวมา สิ่งเดียวที่สามารถอธิบายได้ก็คือ ยายเด็กหน้าเหม็นผู้นี้ยังมีจุดอ่อนอื่นๆ ของนางอยู่ในมือ...แต่มันคือสิ่งใดกัน?
เมื่อคิดถึงเื่นี้ ฮองเฮาก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม ยายเด็กหน้าเหม็นผู้นี้กินน้ำแกงเมล็ดบัวเข้าไปแล้ว แม้ว่านางจะมีบางสิ่งที่ไม่เอื้ออำนวยต่อนางอยู่ในมือก็ตาม มันจะเป็คำพูดที่ไร้ความหมายและไม่มีอะไรต้องกลัว
การเปลี่ยนแปลงในท่าทีของฮองเฮามักจะรวดเร็วในชั่วพริบตาเสมอ แต่ความเชื่อมั่นเพียงเล็กน้อยที่เหลืออยู่ในแววตาคู่นั้น ไม่ใช่ว่ามู่จื่อหลิงมองไม่เห็นมัน
ั้แ่นางกินน้ำแกงเมล็ดบัวในชามนั้นเข้าไป ฮองเฮาผู้มีเมตตาก็คิดอยู่เสมอ ว่าหลังจากนี้อีกเจ็ดวันหนอนกู่ควบคุมจิตใจจะก่อตัวขึ้นเป็รูปเป็ร่าง และนางจะถูกควบคุมโดยฮองเฮาใช่หรือไม่?
มุมปากของมู่จื่อหลิงโค้งเป็รอยยิ้มประชดประชัน
ฮองเฮาไม่กลัวอย่างแท้จริง ทั้งยังมั่นใจมาก!
หึ นางไม่อยากที่จะทำลายความเชื่อมั่นที่มีอยู่เพียงอย่างเดียวในหัวใจของฮองเฮา
มู่จื่อหลิงลอบส่ายหัวอย่างลับๆ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าเล็กน้อย!
“ฮองเฮายังคิดสิ่งใดไม่ออกเลยหรือ?” มู่จื่อหลิงลูบคางของนาง แสร้งทำเป็ครุ่นคิด “ถ้าอย่างนั้นให้ข้าคิดดูว่าเหตุใด ฮองเฮา ท่านถึงได้มั่นใจถึงเพียงนั้น?”
ดวงตาของมู่จื่อหลิงหมุนไปรอบๆ ในที่สุดดวงตาของนางก็ตกลงไปที่ชามกระเบื้องที่นางดื่มไปแล้ว
นางจ้องชามเปล่าอยู่นาน ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบชามกระเบื้องและยื่นให้ฮองเฮา ก่อนที่นางจะพูดอย่างแน่วแน่ว่า “นี่คือเหตุผลที่ฮองเฮาทรงมั่นใจเช่นนั้น”
ทันใดนั้นฮองเฮาก็หยุดเช็ดเืในมือของนาง และจ้องไปที่ชามกระเบื้องตรงหน้านางอย่างแน่วแน่
จากนั้นมู่จื่อหลิงก็พูดอย่างจริงจังว่า “ท่านยอมอดทนและปล่อยให้ข้าชำระหนี้เก่าที่นี่ เป็เพราะข้าดื่มสิ่งนี้ไปใช่หรือไม่?”
หัวใจของฮองเฮาสั่นสะท้านในทันที จู่ๆ ก็รู้สึกว่าเชือกที่เริ่มหย่อนภายในใจกำลังรัดแน่นขึ้น ใบหน้าของนางก็แย่ลงทันที
สีหน้าของฮองเฮาดูแปลกไป ทั้งหมดอยู่ในสายตาของมู่จื่อหลิง นางเลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม ถามอย่างรู้เท่าทัน “ทำไม? ข้าเดาถูกหรือ?”
เดาถูก นางเดาถูกแล้ว
ทันใดนั้น ฮองเฮาก็รู้สึกหนักอึ้งอยู่ในใจ แต่นางก็ยังเอ่ยเสียงอย่างดูถูกเหยียดหยาม ท่าทีของนางแลดูคลุมเครือ ก่อนจะถามว่า “เ้าคิดว่าอย่างไร?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้