ผ้าป่านเนื้อััไม่ดีเท่าผ้าฝ้าย ััของมันไม่สบายมือเท่าไรนัก
เมื่อเทียบกับผ้าฝ้ายและผ้าป่านในยุคสมัยใหม่แล้ว คุณภาพและเนื้อััของผ้ายุคนี้แย่กว่ามาก
"ผ้าป่านราคาฉื่อละห้าอีแปะ ราคาย่อมเยากว่า" คนขายผ้ามองดูสีหน้าของหลินกู๋หยู่ แล้วตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
แม้ว่าจะราคาฉื่อละห้าอีแปะ แต่เนื้อัันั้นไม่ดีจริงๆ เสื้อผ้าที่นางใส่อยู่เสมอคือผ้าฝ้ายที่นางได้ตอนแต่งงานเข้ามา จากนั้นนางไม่สวมเสื้อผ้าเก่าๆ ที่นางเคยใส่อีกเลย
ซื้อผ้าขนาดสิบฉื่อให้ฉือหาง โดยคิดว่าจะต้องยัดขนห่านลงไป แน่นอนว่าจะต้องเผื่อผ้ามากกว่าที่เขาเคยใช้อย่างแน่นอน
นางดึงผ้าขนาดสิบห้าฉื่อสำหรับตัวเอง เป็ผ้าสีเขียวใบหญ้าและสีฟ้าอ่อน จากนั้นเลือกผ้าสีน้ำเงินไพลินและสีเขียวอ่อนสำหรับโต้ซา
จากนั้นเลือกผ้าฝ้ายสีขาว โดยคิดว่าจะใส่ไว้ในเสื้อเพื่อเป็ผ้าซับใน รวมแล้วยาวได้สี่สิบห้าฉื่อ
ฉือหางจ้องมองที่หลินกู๋หยู่อย่างตกตะลึง เขาเห็นคนขายผ้าช่วยนางตัดผ้าด้วยรอยยิ้ม สิ่งเหล่านี้ต้องใช้เงินจำนวนมากกระมัง
"ทั้งหมดเท่าไรหรือ?" หลินกู๋หยู่ดูเสี่ยวเอ้อพับผ้าทั้งหมด "เราซื้อจำนวนมาก ลดราคาให้เล็กน้อยเถอะ"
ผู้ขายผ้าชำเลืองมองไปที่ผ้าตรงหน้าหลินกู๋หยู่ หยิบลูกคิดที่ด้านข้างขึ้นมาเคาะสองสามครั้ง จากนั้นเงยหน้าขึ้นมองนางด้วยรอยยิ้ม "ทั้งหมดนี้แปดร้อยแปดสิบอีแปะ เอาล่ะ ลดให้เหลือแปดร้อยห้าสิบอีแปะ”
หลินกู๋หยู่คิดคำนวณ เขาลดให้สามสิบอีแปะ เทียบเท่ากับผ้าฝ้ายสามฉื่อ นางจึงขอให้เขาผ้าจัดผ้าให้เรียบร้อย หยิบถุงเงินออกมาจากกระเป๋า หยิบเงินออกมาหนึ่งตำลึงส่งให้คนขาย เมื่อได้รับเงินทอนก็เดินจากไปพร้อมกับฉือหาง
เสื้อผ้าทั้งตัวของฉือหางใช้ผ้าราวสิบเจ็ดหรือสิบแปดฉื่อ จะต้องใช้ผ้าฝ้ายบุด้านใน ซ้ำต้องยัดขนห่านเข้าไป หลังจากคำนวณดูแล้ว เสื้อผ้าทั้งตัวจะต้องใช้ทั้งหมดสิบเจ็ดหรือสิบแปดฉื่อ
หลินกู๋หยู่ยังซื้อผ้าป่านอีกเล็กน้อย ใส่ผ้าเหล่านี้เข้าไว้ด้วยกัน สิ่งเหล่านี้ไม่หนักมาก ดังนั้นนางจึงแบกมันไว้บนหลัง
เมื่อเห็นท่าทีที่มีความสุขของหลินกู๋หยู่ ฉือหางก็อดไม่ได้ที่จะเม้มปาก แล้วเดินตามนางกลับบ้าน
แค่นางมีความสุข จะอย่างไรก็ดีทั้งนั้น
เมื่อทั้งสามคนกลับถึงบ้าน หลินกู๋หยู่รีบเก็บผ้าเหล่านี้ทั้งหมด ผ้าที่ครอบครัวของนางนำมาให้เมื่อนางแต่งงานเข้ามายังเหลืออยู่บ้าง โชคดีที่เป็ผ้าฝ้ายทั้งหมด ซึ่งสามารถทำเป็ชุดนอนได้
หลังรับประทานอาหารเย็น หลินกู๋หยู่หยิบชุดของโต้ซาที่นางเย็บไว้ก่อนหน้าพลางคิดเกี่ยวกับการตัดผ้า
นางถือกรรไกรไว้ในมือ นาง้าจะลงมือตัดผ้า แต่นางไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร
ภายในบ้านจุดตะเกียงน้ำมัน หลินกู๋หยู่นำเอาเสื้อกันหนาวหนาๆ ของฉือหางออกมา นางเตรียมจะซักเสื้อผ้าเหล่านี้ทั้งหมด
“พรุ่งนี้เช้าเ้ายังต้องไปโรงหมอ อย่าทำงานหักโหมจนเกินไป รีบไปนอนเถอะ” ฉือหางหยิบเสื้อกันหนาวจากมือของหลินกู๋หยู่ เสื้อผ้าเหล่านี้เขาสวมใส่มาตลอด่ฤดูหนาว ความจริงแล้วเขาไม่เคยซักมันมาก่อนจึงมีกลิ่นเหม็น
“ซักเสร็จแล้วพรุ่งนี้เช้าจะได้ตากแดด พอเรากลับมาผ้าก็จะแห้ง ข้าจะได้ตัดเสื้อผ้าตามเค้าโครงเช่นนี้ได้ จะยัดขนห่านให้ด้วย” หลินกู๋หยู่ััเสื้อกันหนาวของฉือหางพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย นางััได้ว่าเป็ผ้าเนื้อหนา แต่ทำไมมันแข็งถึงเพียงนี้?
ฉือหางไม่สามารถรั้งหลินกู๋หยู่ไว้ได้ มือข้างหนึ่งถือกิ่งไม้และอีกข้างหนึ่งถือมีดสั้น เขาเริ่มเหลาลูกธนู
หลินกู๋หยู่ตัดร่องเสื้อผ้าของฉือหางออกอย่างระมัดระวัง การซักเสื้อผ้าประเภทนี้ ซักผ้าด้านนอกเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว และผ้าฝ้ายด้านในตากให้แห้งก็สามารถสวมใส่ได้แล้ว
เมื่อตัดเสื้อคลุมผ้าฝ้ายออก สีหน้าของนางไม่น่ามองในทันที
ด้านในไม่มีอะไรอื่น นอกจากสำลีและหญ้าแห้งกองหนึ่ง
หลินกู๋หยู่โยนสิ่งเ่าั้ลงบนพื้นเงียบๆ ด้วยความขยะแขยง
ไม่ต้องพูดถึงเสื้อผ้าที่มีกลิ่นเหม็นลอยฟุ้ง ยิ่งไปกว่านั้นด้านในยังเต็มไปด้วยสิ่งเหล่านี้อีก
ฉือหางได้ยินหลินกู๋หยู่ขว้างสิ่งเ่าั้ เขาเงยหน้าขึ้นมอง เห็นนางหยิบของด้านในทั้งหมดออกมา จึงพูดเสียงเบาว่า "ข้าไปซักผ้าให้"
“ข้าทำเองได้” ในที่สุดหลินกู๋หยู่ก็หยิบสิ่งที่อยู่ด้านในเสื้อกันหนาวทั้งหมดออกมา นางหันไปมองฉือหาง “เ้ามีเสื้อผ้าอื่นอีกหรือไม่?”
ฉือหางส่ายศีรษะเบาๆ “ไม่มีแล้ว”
หลินกู๋หยู่ไม่เข้าใจว่าทำไมนางถึงโกรธมากถึงเพียงนี้ ชายที่อยู่ข้างหน้านางกลับไม่แสดงสีหน้าใดๆ เมื่อเขาเห็นสิ่งที่อยู่ในเสื้อกันหนาว
"เ้าทำงานของเ้าเถอะ ข้าจะไปซักผ้าให้" หลินกู๋หยู่พูดพลางเดินไปที่ข้างเตา เทน้ำลงในถังไม้ ใส่เสื้อผ้าลงในอ่างและเริ่มซักผ้า
ฉือหางลุกขึ้นและหยิบไม้กวาดข้างตัวเขา กวาดหญ้าแห้งเ่าั้โดยไม่เอ่ยวาจาใด เสื้อกันหนาวตัวนี้เป็เสื้อที่แม่แท้ๆ ของโต้ซาทำให้เขา
ใน่สองสามวันหลังจากนั้น ฉือหางไปส่งหลินกู๋หยู่และโต้ซาไปที่โรงหมอในตอนเช้า ส่วนตนเองไปทีู่เาพร้อมกับคันธนูและลูกธนูเพียงลำพัง
เมื่อยามอาทิตย์อัสดง หลังจากจัดการเหยื่อในมือเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็ไปรับหลินกู๋หยู่ที่โรงหมอ
เนื่องจากการจ่ายภาษีประชากรเป็เหตุให้ผู้คนทั้งหมู่บ้านดูไร้ชีวิตชีวา นอกจากการทำงานในไร่นาแล้ว ผู้คนจำนวนมากยังไปทีู่เาเพื่อเก็บผักป่า
อากาศเริ่มเย็นลงแล้ว พื้นดินปกคลุมไปด้วยใบไม้ร่วงสีเหลืองทอง
เมื่อหลินกู๋หยู่ตื่นขึ้นในตอนเช้า นางรู้สึกหนาวมาก นางหนาวสั่นอย่างทนไม่ได้ นางรีบสวมเสื้อผ้าอีกชั้นหนึ่งแล้วสวมเสื้อกั๊กให้โต้ซา
ฉือหางก็ใส่เสื้อผ้าเพิ่มด้วยเช่นกัน เมื่อมองไปที่เสื้อผ้าที่หลินกู๋หยู่สวมให้โต้ซา เขาก็อดไม่ได้ที่จะััเสื้อของตนเอง
ตอนเขาัักับเสื้อตัวนี้ในวันที่อากาศปกติ เขาไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก แต่ตอนนี้เมื่อเขาเอามือเข้าไปใต้ผ้า ฉือหางรู้สึกอบอุ่นมาก
"เสื้อกันหนาวตัวนี้ดีจริงๆ" ฉือหางอดไม่ได้ที่จะพูดกับหลินกู๋หยู่ที่กำลังทำอาหารเช้า
"ใช่ มันอุ่นมาก" หลินกู๋หยู่กล่าว เมื่อนึกถึงขนเป็ดและขนห่านที่มีหลายสิบจิน นางก็ทอดถอนหายใจ "เดิมทีคิดว่าจะซื้อเก็บให้มากกว่านี้ ไม่คิดว่าสุดท้ายก็มีเพียงเท่านี้"
หลังจากทานอาหารเช้า ในขณะที่ฉือหางกำลังจะส่งหลินกู๋หยู่และโต้ซาเข้าไปในเมือง จู่ๆ ก็เห็นเด็กชายตัวเล็กๆ จูงเด็กหญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งยืนอยู่ที่ประตู เด็กทั้งสองแบกถุงย่ามคนละหนึ่งใบ
“พี่หญิง?” เด็กน้อยก้าวไปข้างหน้า มอบสัมภาระของเขาให้หลินกู๋หยู่ “ขนห่าน”
หลินกู๋หยู่เอื้อมมือไปหยิบถุงสัมภาระจากมือของเด็กชายคนนั้น จากนั้นเข้าไปในห้องหยิบตาชั่งออกมา
"ห้าจิน ยี่สิบห้าอีแปะ" ทันทีที่หลินกู๋หยู่พูดจบก็เห็นเด็กชายตัวเล็กๆ ถอดกระเป๋าสัมภาระออกจากเด็กหญิงตัวเล็กที่อยู่ข้างหลังเขายื่นให้หลินกู๋หยู่
"ยังมีอีก"
หลินกู๋หยู่หยิบมันขึ้นมาดู ด้านในเต็มไปด้วยขนห่าน "สามจิน สิบห้าอีแปะ"
"รวมเป็สี่สิบอีแปะ" ขณะที่หลินกู๋หยู่พูด นางก็แกะถุงเงินที่เอวออก หยิบสี่สิบอีแปะยื่นให้เด็กน้อย
“ขอบคุณ” เด็กน้อยตอบอย่างมีความสุข จับมือน้องสาวแล้ววิ่งหนีไป
ที่จริงขนห่านเ่าั้รวมกันได้เพียงหกจินเท่านั้น สาเหตุที่หลินกู๋หยู่พูดมากกว่าความจริง นั่นเพราะเห็นแก่เด็กสองคนนั้น พวกเขาสองคนก็ลำบากนัก
ในโรงหมอไม่มีอะไรให้ทำ ลู่จื่อยู่เห็นว่ามีผู้ป่วยไม่มากนัก หลังจากคิดเกี่ยวกับเื่นี้แล้วเขาจึงแบ่งงานให้พวกเขา หมอสี่คนแบ่งเป็สองคนต่อหนึ่งกลุ่ม หนึ่งกลุ่มทำงานสิบห้าวัน อีกหนึ่งกลุ่มสามารถพักผ่อนที่บ้านได้
แต่ค่าจ้างจะยังคงได้รับหนึ่งตำลึงเช่นเดิม
เนื่องจากก่อนหน้านี้มีจำนวนผู้ป่วยมากเกินไป โรงหมอจึงจ่ายเงินเดือนให้กับทุกคนเป็เงินจำนวนสองตำลึง
หลินกู๋หยู่ถูกจัดให้ทำงานครึ่งแรกของเดือน หลังจากผ่านไปสิบห้าวัน นางก็สามารถอยู่พักผ่อนที่บ้านได้แล้ว
เมื่อหลินกู๋หยู่มีเวลาว่าง นางฝึกคัดลายมือด้วยพู่กันจุ่มน้ำบนโต๊ะ นางเรียนรู้เร็วมาก ตราบใดที่นางไม่เขียนเร็ว ลายมือของนางยังพอให้คนอื่นดูได้
“ท่านแม่” โต้ซาลากหลินกู๋หยู่ไปที่สวนหลังบ้าน เขาร้องอย่างตื่นเต้น “ข้ารู้จักยาเยอะมาก”
ริมฝีปากของหลินกู๋หยู่โค้งขึ้นช้าๆ จากนั้นนางก็เดินตามโต้ซาไปที่สวนหลังบ้าน "เ้ารู้มากแค่ไหนแล้ว?"
"แปะเจียก" โต้ซาชี้ไปที่ยาสมุนไพรที่ตากอยู่ จากนั้นชี้ไปที่ยาที่ตากอยู่อีกด้านหนึ่ง "เหลียนเฉียว เมล็ดป๋ายเหอ[1] สายน้ำผึ้งและอบเชย!"
เสี่ยวซื่อซึ่งดูแลโต้ซามาเป็อย่างดีโดยตลอดกล่าวด้วยรอยยิ้ม "หมอหลิน โต้ซาเรียนรู้ได้เร็วมาก ไม่ว่าจะให้ดูอะไร เขาก็จะจำทุกอย่างได้"
“น่าเสียดายที่โต้ซายังเด็กเกินไป” หลินกู๋หยู่อดไม่ได้ที่จะทอดถอนหายใจ “ไม่เช่นนั้น ข้าจะส่งเขาไปเรียนที่สำนักศึกษา”
ตอนนี้โต้ซาอายุหนึ่งปีกว่าแล้ว จึงค่อนข้างเป็ไปได้ที่จะจำชื่อวัตถุดิบยาบางส่วน
หลินกู๋หยู่ััมือของโต้ซาอย่างใส่ใจ เมื่อััได้ว่าฝ่ามือของเขายังคงอุ่นจึงดึงมือออก "เ้ารู้หรือไม่ว่าที่สำนักศึกษา รับเด็กที่อายุน้อยที่สุดเท่าใด?"
“ห้าปี” เสี่ยวซื่อพูดด้วยรอยยิ้ม เอื้อมมือไปแตะโต้ซา “อีกสองปี ท่านสามารถส่งเขาไปที่นั่นได้”
ในยุคปัจจุบัน เด็กจำนวนมากถูกส่งตรงไปยังโรงเรียนอนุบาล เมื่ออายุได้หนึ่งหรือสองปี
ในความเป็จริงมันไม่เป็ความจริงที่จะส่งโต้ซาไปเรียนได้ เพียงแต่นางคิดว่า ถ้าเขาไปสำนักศึกษา เขาอาจจะสามารถเรียนรู้อะไรได้บ้างไม่มากก็น้อย
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะเป็ไปไม่ได้
ในตอนเย็น ฉือหางร่างเต็มไปด้วยฝุ่นยืนตระหง่านอยู่ที่ประตู เห็นหลินกู๋หยู่พาโต้ซาออกมา "กลับกันเถอะ"
ขณะที่เขาพูดนั้น ฉือหางก็ย่อตัวลงและอุ้มโต้ซาขึ้น จากนั้นหันศีรษะไปมองหลินกู๋หยู่ "วันนี้อากาศเย็นขึ้นมาก รู้สึกเหมือนว่าปีนี้จะหนาวเร็วเป็พิเศษ"
เมื่อได้ยินสิ่งที่ฉือหางพูด หลินกู๋หยู่ก็ผงะเล็กน้อย ราวกับว่าในความทรงจำของร่างเดิมไม่ได้อากาศหนาวเร็วถึงเพียงนั้น "ปีที่แล้วเริ่มหนาวั้แ่เมื่อไรหรือ?"
"นี่เพิ่งต้นเดือนสิบ" ฉือหางขมวดคิ้วเล็กน้อย "แต่ปีนี้อากาศหนาวกว่าปีที่แล้วมาก สองวันมานี้ที่ข้าขึ้นไปบนูเา ข้าเห็นสัตว์น้อยมาก"
ปีนี้อากาศหนาวมาก เมื่อคิดถึงเื่นี้หลินกู๋หยู่อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นอย่างฉับพลัน นางเงยหน้าขึ้นมองฉือหาง "วันที่ข้าไม่ต้องมาที่โรงหมอ เราควรจะเตรียมฟืนเพิ่มไหม?"
“อืม” ฉือหางพยักหน้าเห็นด้วย คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “หลายวันนี้ ข้าก็เก็บกลับมาบ้างแล้ว”
หลินกู๋หยู่พยักหน้า ก้มหน้าลงเล็กน้อยอย่างผิดหวัง เดิมทีนาง้าทำเสื้อกันหนาวขนเป็ดขนห่านขายในฤดูหนาวนี้ แต่นางซื้อขนเป็ดและขนห่านมาได้ไม่มากนัก
"ดูเหมือนว่าจะต้องตุนอาหารไว้ที่บ้านเพิ่มแล้ว เราจะได้ไม่ต้องออกไปข้างนอกใน่ฤดูหนาว "หลินกู๋หยู่อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ ในสมัยโบราณที่ไม่มีเครื่องทำความร้อน นางไม่รู้ว่าตนเองจะสามารถปรับตัวได้หรือไม่?
ทว่าเมื่อมองไปที่โต้ซา หลินกู๋หยู่เงยหน้ามองฉือหางด้วยรอยยิ้ม "ใน่หน้าหนาว ข้าจะสอนลูกอ่านหนังสือที่บ้าน"
ฉือหางชะงักนิ่งไปชั่วคราว เขามองหลินกู๋หยู่ด้วยแววตาซับซ้อน
…………………………………………………………………………………
[1] เมล็ดป๋ายเหอ หมายถึง เมล็ดดอกลิลลี่
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้