บรรยากาศภายในเมืองถงหลินยังคงตึงเครียดอยู่ดังเดิม
สองวันมานี้พวกตาตาร์และหว่าชื่อที่ประจำการอยู่นอกกำแพงเมืองหยุดลั่นกลองรบลง ไม่มีเจตนาที่จะบุกโจมตีอีก
แต่อย่างไรก็ตาม การเตรียมพร้อมป้องกันภายในกำแพงเมืองกลับไม่กล้าที่จะผ่อนกำลังลง เพราะกองกำลังของพันธมิตรรวมกำลังกันมาอย่างยิ่งใหญ่มาก
แม้จะถูกฝั่งตนเผาปืนใหญ่ทิ้งไปสองลำแล้วก็ตาม แต่ด้านหลังของพวกเขากลับเคลื่อนไหวนำขึ้นมาอีกสองลำ แค่ขนาดเล็กกว่าปืนใหญ่ครั้งก่อนเท่านั้นเอง
กลางกองทัพในค่ายใหญ่ จากานปาลากำลังหน้าดำคร่ำเครียดเดินเข้ากระโจมมา
อามู่เอ่อร์ฝืนอาการที่อยากยกมือขึ้นปิดจมูกตนเองไว้ ทว่าเท้ากลับถอยหลังไปสองก้าวอย่างไม่รู้ตัว นี่ก็ผ่านมาสองวันแล้วเหตุใดกลิ่นเหม็นนี่ยังมากเพียงนี้อยู่อีก
“เก๋อเกินกับถ่าลาที่อยู่ทางนั้นเป็อย่างไรบ้าง?” จากานปาลาเดินไปข้างหน้าสองก้าวก็ถามด้วยเสียงดุดัน
เหล่าทหารชั้นสูงในกระโจม ต่างได้กลิ่นเหม็นโฉ่หนึ่งสายตีเข้าปะทะหน้าทันที ทั่วทั้งกระโจมใหญ่ล้วนเต็มไปด้วยกลิ่นน่าสะอิดสะเอียนยิ่งกว่าหนูตาย
ชั่วขณะหนึ่ง กลับลืมไปว่าจะทำให้จากานปาลาขุ่นเคืองใจเข้า ต่างพากันถอยหลังยกแขนเสื้อขึ้นมาปิดจมูกไว้ทันที
จากานปาลาสีหน้าครึ้มดั่งสีหมึก ความอับอายเคียดแค้นและโมโหอย่างรุนแรงในดวงตาพวยพุ่งออกมา
“ปัง” โต๊ะสนทนาภายในกระโจมถูกเขาตบจนแตกเป็เสี่ยงๆ
“…แค่ก!” อามู่เอ่อร์มองจากานปาลาที่เกือบคลั่ง จึงรีบตอบออกไปทันที “เก๋อเกินกับถ่าลาทางนั้นเตรียมพร้อมแล้ว พรุ่งนี้พอรุ่งเช้าก็เริ่มลงมือได้ พวกเราจะร่วมมือเปิดฉากบุกโจมตี เ้าระงับความโกรธไว้หน่อย อย่าทำให้แผนการยุ่งเหยิง”
จากานปาลาใบหน้ามืดครึ้ม ปีกจมูกขยับขยุกขยิกไม่หยุด อยากระงับความโกรธในใจด้วยการหายใจเข้าออกลึกๆ แต่ลืมไปว่าสิ่งที่สูดเข้าไปในจมูกล้วนเป็กลิ่นเหม็นที่ได้กลิ่นแล้วแทบอยากจะอาเจียนเสียให้ได้
เขาสูดลมหายใจหนึ่งเฮือกกลั้นอยู่ในอก กลุ้มใจจนอยากะเิออกมา
เมื่อมองไปที่นายทหารชั้นสูงบริเวณโดยรอบไม่กี่นาย พวกเขาพากันปิดหน้าบังจมูก ระหว่างคิ้วกับตาที่เหลือล้วนเต็มไปด้วยความรังเกียจทั้งสิ้น
จากานปาลาจุกในอกจนอยากกระอักออกมาเป็เื เขาเตะโต๊ะที่เพิ่งตบแตกเป็ชิ้นๆ แล้วหมุนตัวออกจากกระโจมไป
เมื่อเขาเดินออกมาได้ไม่กี่ก้าว คนในกระโจมก็วิ่งออกมาราวกับหลบหนี ทั้งยังมีคนะโขึ้นอีกด้วย “เร็วๆ เปิดกระโจมออกให้ลมโกรก”
จากานปาลาสะดุดเท้าตัวเอง อีกนิดเกือบล้มคว่ำไปบนพื้น
เขากลับมาถึงกระโจมของตนเองด้วยความโมโหสุดขีด สั่งรองแม่ทัพของเขา “เร็ว ทำน้ำให้เหล่าจื่ออาบ!”
จนกระทั่งเขาจุ่มทั้งร่างลงในถังไม้ที่มีน้ำร้อนอุ่นๆ กลิ่นเหม็นบนกายถึงได้จางลงเล็กน้อย เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ จ้องไปทางกำแพงเมืองถงหลินและถ่มน้ำลายออกมาอย่างโเี้ “ไอ้ลูกสุนัขหนานหม่านจื่อ คอยเหล่าจื่อไว้เลย โจมตีเมืองถงหลินเมื่อไร เหล่าจื่อจะฆ่าพวกเ้าให้เรียบทั้งเมือง”
ดวงตาของเขาปรากฏความชั่วร้ายออกมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความอาฆาต
...เจินจูกับโหยวอวี่เวยฝนหมึกและวาดเขียนอยู่ในห้องเป็เวลาครึ่งวัน หลังทานอาหารกลางวันไปแล้ว ฐานที่มั่นของสองคนก็โยกย้ายมาบริเวณแปลงปลูกดอกไม้
“กลีบดอกกุหลาบสามารถทำชาดอกไม้ได้ด้วยหรือ? ข้าไม่เคยได้ยินเลย” โหยวอวี่เวยมองต้นกุหลาบในแปลงดอกไม้ด้วยความประหลาดใจ
“อื้ม ได้สิ เด็กผู้หญิงดื่มบ่อยๆ จะช่วยบำรุงผิวพรรณใบหน้าได้” เจินจูหยิบจอบเล็กขึ้นและพรวนดินให้ต้นกุหลาบ
“ว้าว ช่างยอดเยี่ยมไปเลย ฮ่าๆ ข้าอยากสั่งจองของเ้าเยอะๆ ปีหน้าอย่าลืมเก็บไว้ให้ข้ามากหน่อยนะ ข้าอยากได้ปริมาณที่ชงดื่มได้ทั้งปีเลย” โหยวอวี่เวยดวงตาเป็ประกาย มองผิวขาวเนียนสะอาดอ่อนนุ่มดูชุ่มชื้นของเจินจูด้วยความอิจฉา นางไม่เคยเห็นผิวขาวเนียนดั่งชิ้นหยกไร้ที่ติเช่นเจินจูมาก่อน
“ฮ่าๆ เช่นนั้นไม่ได้หรอก แปลงดอกไม้เล็กเท่านี้ จะมีกลีบดอกได้สักเท่าไรกันเชียว” เจินจูปฏิเสธอย่างไม่คิดเลยสักนิด
“ไอ๊หยา เ้าปลูกเพิ่มอีกหน่อยไม่ได้หรือ” โหยวอวี่เวยมุ่ยปากกล่าวออดอ้อน
เจินจูชำเลืองมองนางแวบหนึ่ง ส่ายหน้าอย่างขบขันแล้วพรวนดินของนางต่อ
...หลี่ซื่อต้อนรับแขกหนึ่งท่านที่มาเป็พิเศษอยู่ที่ห้องโถง
แขกที่มาเป็ฟู่เหรินอายุสามสิบปีโดยประมาณ บนใบหน้าทาชาดหนาเตอะ ด้านข้างมวยผมกลัดดอกไม้ผ้าไหมประดิษฐ์สีแดงหนึ่งดอก บนกายสวมผ้าไหมสีแดงสวยสดงดงาม พูดจาจีบปากจีบคอกิริยาท่าทางเกินจริง
“ฮูหยินหู ข้ามาแสดงความยินดีกับท่านแล้ว”
หลี่ซื่อขมวดคิ้ว ฟู่เหรินผู้นี้ดูก็รู้แล้วว่าเป็แม่สื่อเชื่อมความสัมพันธ์ เด็กที่อายุเหมาะสมของครอบครัวนางมีเพียงเจินจู แต่นางยังไม่อยากให้เจินจูพูดคุยเื่การแต่งงานนี่สิ
ฟู่เหรินผู้นั้นเห็นหลี่ซื่อไม่ตอบรับคำอะไรสักนิด ในใจจึงตื่นตระหนก ขณะที่นางเพิ่งเข้าลานบ้านมาก็รู้สึกว่าลานบ้านสกุลหูกว้างขวางโอ่อ่าพอๆ กับบ้านของครอบครัวร่ำรวยทั่วไปในอำเภอเลยทีเดียว ยิ่งเป็ครอบครัวเช่นนี้ ความคิดยิ่งสูงขึ้นไปอีก เช่นนั้นเื่การแต่งงานที่นางจะพูดเกรงว่าไม่อาจสำเร็จได้ง่าย
นางเป็สะพานเชื่อมความสัมพันธ์อยู่บริเวณอำเภอเจิ้นอัน เื่ของสกุลหูย่อมเคยได้ยินมาไม่น้อย เวลาไม่กี่ปีมานี้พวกเขาะโออกมากลายเป็เ้าของที่ดินผู้ร่ำรวยอันดับต้นๆ ในสิบลี้แปดหมู่บ้าน มีความสามารถมีลู่ทางของตนเอง นับเป็ครอบครัวที่โดดเด่นโด่งดังอยู่ละแวกเมืองไท่ผิง
“ฮ่าๆ ฮูหยินหู ลืมแนะนำตัวไปเลย ข้าเป็แม่สื่อฟางอยู่อำเภอเจิ้นอัน เป็แม่สื่อเชื่อมความสัมพันธ์ให้บุคคลที่มีชื่อเสียงครอบครัวร่ำรวยอยู่ในอำเภอโดยเฉพาะ” ดวงตาแม่สื่อฟางจับจ้องปฏิกิริยาของหลี่ซื่อ เห็นว่าท่าทีของนางยังคงเฉยชาอยู่เช่นเดิม นางอดฉีกมุมปากยิ้มขึ้นมาไม่ได้ “ว่ากันว่าบุรุษโตแล้วต้องแต่งภรรยาสตรีโตแล้วต้องแต่งสามี บุตรสาวคนโตของท่านอายุก็จวนจะสิบห้าปีแล้ว ยังไม่ได้พูดคุยการแต่งงานกับผู้อื่นเลยใช่หรือไม่?”
พานเสวี่ยหลันยกชาชงใหม่เข้ามาพอดี หลี่ซื่อรับมาและวางลงตรงหน้าแม่สื่อฟาง
แม่สื่อฟางเห็นพานเสวี่ยหลันหน้าตาสวยงาม ดวงตาอดเป็ประกายไม่ได้ “นี่เป็บุตรสาวคนโตของท่านหรือ? หน้าตางดงามยิ่งนัก”
พานเสวี่ยหลันชะงักงัน ยกถาดรองปิดรอยยิ้มตามมารยาทแล้วถอยหลังออกไป
“นางไม่ใช่แม่นางครอบครัวข้า” หลี่ซื่อส่ายหน้า ทั้งยังไม่แนะนำพานเสวี่ยหลันอีกด้วย “แม่สื่อฟาง แม่นางน้อยบ้านข้าเพิ่งอายุสิบสี่ปีเอง ยังไม่รีบร้อนพูดคุยเื่คนที่จะแต่งงานด้วยหรอกนะ”
“ไอ๊หยา ฮูหยินหู ไม่อาจกล่าวเช่นนี้ได้ พริบตาเดียวก็จะผ่านปีนี้ไปแล้ว พอผ่านปีไปแม่นางก็อายุสิบห้าปีพอดี เช่นนั้นก็ไม่เด็กแล้วนะ สิบลี้แปดหมู่บ้านละแวกใกล้เคียง พอผ่านอายุสิบห้าปีไปแล้วยังไม่หมั้นหมายมีไม่กี่คนเอง เพราะอย่างนั้น ถือโอกาสเลือกบุตรเขยไว้แต่เนิ่นๆ ถึงจะถูกสิ” แม่สื่อฟางกระดกนิ้วท่าดอกกล้วยไม้ สะบัดผ้าเช็ดหน้าสีแดงของนาง สีหน้าประดับรอยยิ้มอย่างเป็มืออาชีพ และเตรียมจะร่ายยาวขึ้นหนึ่งรอบ
ทว่าหลี่ซื่อกลับส่ายหน้าออกมาตามตรง “เช่นนั้นต้องรอสิ้นปีไปแล้วค่อยว่ากันเถอะ อย่างไรเสียตอนนี้ก็ยังไม่รีบร้อน ต้องทำให้ท่านลำบากมาเสียเที่ยวแล้ว”
หลี่ซื่อล้วงเอากระเป๋าใบเล็กออกมาจากในอก กำเหรียญทองแดงส่งให้นางไป
แม่สื่อฟางรับมาด้วยความชะงักงัน เหตุใดยังไม่ทันได้ฟังนางกล่าวว่าเป็ครอบครัวใดส่งมาสู่ขอก็ส่ายหน้าออกมาแล้วล่ะ
“ฮูหยินหู ท่านฟังข้าก่อน ในอำเภอมีครอบครัวร่ำรวยแซ่หยวนครอบครัวหนึ่ง ที่บ้านมีนาดีร้อยหมู่ มีร้านค้าขายหกร้านและคฤหาสน์หลังโตสามหลัง เป็ครอบครัวใหญ่นับว่าเป็อันดับชั้นดีในอำเภอเชียวนะ คุณชายคนเล็กของครอบครัวเขามีนามว่าหยวนเจิ้นเซวียน ปีนี้อายุสิบแปดปีพอดี หน้าตาหล่อเหลาไม่ธรรมดา ดั่งต้นหยกเล่นลม [1] คู่ควรกับแม่นางบ้านท่านได้พอดี ท่านดูสิ นี่เป็เื่ดีที่หาได้ยากยิ่งนัก ท่านต้องใคร่ครวญให้รอบคอบเสียหน่อยนะ”
เมื่อหลี่ซื่อได้ฟัง คุณชายคนเล็กของสกุลหยวนไม่ใช่คนที่หูชิวเซียงเอ่ยถึงครั้งก่อนหรือ นางเคยปฏิเสธไปแล้วไม่ใช่หรืออย่างไร? เหตุใดเปลี่ยนเป็แม่สื่อที่มาถึงประตูได้อีกล่ะ?
หลี่ซื่อสีหน้าครึ้มลง หยวนเจิ้นเซวียนผู้นั้นแปรงผมปะแป้งจนรูปงาม แววตาล่อกแล่กไม่อยู่กับร่องกับรอย พอเห็นสาวงามสายตาก็ไม่ละไปไหน บุรุษเช่นนี้จะคู่ควรกับเจินจูได้อย่างไรกัน
“แม่สื่อฟาง ท่านไม่ต้องกล่าวแล้ว ท่านกลับไปบอกคนสกุลหยวนผู้นั้น บอกว่าสกุลหูของพวกข้าไม่อาจเอื้อม เชิญพวกเขาเลือกผู้อื่นที่ดีกว่านี้เถอะ”
แม่สื่อฟางมองหลี่ซื่อด้วยความใ นางปฏิเสธจริงด้วย สกุลหยวนอยู่ในอำเภอเจิ้นอันมีแม่นางน้อยแทบทั้งเมืองตั้งเท่าไรที่อยากตบแต่งเข้าไปในอำเภอ แต่สกุลหูเป็เพียงเ้าของที่ดินผู้ร่ำรวยอาศัยอยู่หมู่บ้านชนบทเท่านั้น กลับปฏิเสธออกมาโต้งๆ เช่นนี้เสียได้
หลี่ซื่อไม่อยากเสวนากับนางอีก จึงหยัดกายลุกขึ้นยืน ทำท่าทางส่งแขกทันที
แม่สื่อฟางจึงได้สติจากอาการใ หลี่ซื่อไม่ได้ล้อเล่นแต่นางปฏิเสธจริงๆ
“ฮูหยินหู ท่านคิดดีแล้วหรือ นั่นเป็ครอบครัวร่ำรวยในอำเภอเจิ้นอันเลยนะ ไม่ใช่ผู้ร่ำรวยคหบดีในชนบททั่วไปเลย พลาดโอกาสไปแล้วอาจหาคนที่ดีเพียงนี้ไม่ได้แล้วนะ”
“ครอบครัวสกุลหูของพวกข้าเป็ครอบครัวชาวนาธรรมดา ไม่คู่ควรกับครอบครัวร่ำรวยใหญ่โตในอำเภอหรอก แม่สื่อฟาง ทำให้ท่านเดินทางมาเสียเปล่าแล้ว ท่านหาคนครอบครัวอื่นที่เหมาะสมให้พวกเขาเถอะ” หลี่ซื่อประคองแขนของนาง และพานางเดินออกจากประตูบ้านตลอดทาง
หยวนเจิ้นเซวียนผู้นี้ไม่เลิกลาเลยจริงๆ ปฏิเสธท่านป้าใหญ่ของสกุลหูไปแล้ว ยังเชิญแม่สื่อมาถึงประตูอีก
แม่สื่อฟางที่มัวแต่กอบเงินทองแดงอยู่ ได้ถูกหลี่ซื่อประคองออกจากประตูลานบ้าน
เมื่อประตูลานบ้านปิดลง นางถึงได้รู้สึกตัวขึ้น
เื่ที่นางคิดมาอย่างมั่นใจมาก กลับพังครืนลงเช่นนี้เสียได้
...พานเสวี่ยหลันเข้ามากระซิบข้างหูเจินจูสองสามประโยค
“…”
ชิ... ไม่คิดเลยว่าจะมีแม่สื่อมาหาถึงประตูบ้านแล้ว เจินจูรู้สึกเส้นดำเต็มศีรษะ สกุลหูนอกจากนางแล้วยังจะมีผู้ใดที่อายุถึงวัยต้องคุยเื่การแต่งงานได้อีกล่ะ
ั์ตาเจินจูแผ่ความไม่สบอารมณ์ขึ้นมาอย่างรุนแรง
โหยวอวี่เวยมองนางด้วยความประหลาดใจ “น้องสาวเจินจู เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
“เอ่อ... ฮ่าๆ ไม่มีอะไรหรอก” เจินจูหัวเราะอย่างไม่เป็ธรรมชาติ เปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที “ไปกัน ที่บ้านข้ายังมีเหอเถาไม่น้อย พวกเราไปแกะเหอเถาทานกันดีกว่า”
หยิบเอาเหอเถาออกมาจากห้องเก็บของหนึ่งชามใหญ่ สองคนนั่งอยู่บนม้าหินข้างลานบ้าน จับค้อนเล็กเริ่มทุบเหอเถา
จื่อยู่อยากเข้ามาช่วยลงมือทำให้ แต่โหยวอวี่เวยไม่อนุญาต นางมาถึงบ้านสกุลหูทำให้ได้พบสิ่งต่างๆ มากมาย ลงมือทำเองจึงจะสนุกยิ่งกว่า
...กู้ฉีกลับมาถึงฝูอันถัง
ลงมือจัดการส่งเครื่องบรรณาการโสมคนทันที
เขาแบ่งโสมคนออกมาสองต้น และส่งคนที่ไว้ใจได้รุดหน้าไปยังอำเภอหย่งหลินของจิ้งโจว ซึ่งเป็อำเภอทางด้านใต้ของเทือกเขาไท่หาง ร้านสาขาของฝูอันถังตั้งอยู่ในเมืองที่เป็เขตอำเภอแห่งนั้น
เขาส่งคนปลอมตัวเป็คนเก็บสมุนไพรไปขายโสมคน ทำให้ที่มาของโสมคนซับซ้อนไร้ความชัดเจนขึ้น ต่อไปหากมีการตรวจสอบขึ้นมา ทางด้านเอ้อโจวนี้จะได้มีความเชื่อมโยงน้อยลงไปมาก
การถวายขึ้นไปสองต้น เป็เื่ที่เขาใคร่ครวญมาดีแล้ว
ถวายขึ้นไปทั้งหมดครั้งเดียวห้าต้น ไม่อาจทำได้อย่างแน่นอน หากมีข่าวลือแพร่ออกไป เกรงว่าผู้คนมากมายคงพรั่งพรูพากันเข้าไปในเทือกเขาเพื่อเก็บโสมคนอย่างแน่นอน ยังไม่ต้องพูดถึงเลยว่าโสมคนชั้นยอดเช่นนี้จะหาได้พบหรือไม่ กล่าวเพียงเข้าสูู่เาลึกที่เต็มไปด้วยอันตรายอย่างเดียว จะมีสักกี่คนที่สามารถเข้าออกด้วยสภาพสมบูรณ์ไร้การขาดแหว่งของร่างกายไปได้
ขนาดฝีมือล้ำเลิศเช่นพวกเฉินเผิงเฟยนี้ อีกนิดก็เกือบเอาชีวิตเข้าไปทิ้งในป่าเขาแล้ว หากคนธรรมดาเข้าูเาไป เป็ไปได้อย่างมากที่จะไม่ได้กลับออกมา
รูปลักษณ์ของโสมคนครั้งนี้ดีกว่าต้นที่แล้วไม่รู้ตั้งกี่เท่า โสมคนสองต้นน่าจะสามารถประคับประคองให้อยู่ได้เป็ระยะเวลานาน่หนึ่ง
รอผ่านไปปีหรือสองปี ดูสถานการณ์พระพลานามัยของฮ่องเต้ว่าเป็เช่นไร แล้วค่อยใคร่ครวญปัญหาโสมคนที่เหลืออีกที
จัดการแผนเสร็จสิ้น เขาก็พิงไปบนเก้าอี้ไท่ซือแล้วผ่อนลมหายใจ
หลิวผิงยกถ้วยน้ำชาร้อนกรุ่นเดินเข้ามา “คุณชาย นี่เป็ชาดอกเบญจมาศที่สกุลหูมอบไว้ให้ขอรับ”
กู้ฉีตกตะลึงทันที “สกุลหูก็มอบชาดอกเบญจมาศให้เ้าด้วย?”
หลิวผิงรีบยิ้มและตอบทันที “ให้มาหนึ่งกระปุกเล็กขอรับ ข้าน้อยเคยดื่มไปครั้งเดียว ที่เหลือล้วนเก็บไว้ทั้งสิ้น ตอนคุณชายจะกลับจวนให้ท่านเอาไปด้วยเถอะขอรับ”
“ไม่เป็ไร ในเมื่อมอบให้เ้า เ้าก็เก็บไว้ทานเองเถอะ” กู้ฉีส่ายหน้า
หลิวผิงยิ้มแล้วตอบรับทราบ
“ขั้นตอนการสร้างที่พักของสกุลหู เ้าช่วยดำเนินการสักหน่อยแล้วกัน จะได้ไม่มีบางคนที่จิตใจประสงค์ร้ายแล้วมาสร้างความยุ่งยากเพิ่มให้พวกเขา แล้วก็การเคลื่อนไหวของครอบครัวสกุลหู เ้าต้องใส่ใจให้มาก มีเื่ใหญ่อะไรที่ทำการตัดสินใจไม่ได้ก็ไปหารือกับแม่นางสกุลหูก่อนสักหน่อย ทำตามความเห็นของพวกนางเป็หลัก จำได้หรือไม่?” กู้ฉีกำชับจริงจัง
“ขอรับ ข้าน้อยจดจำไว้แล้ว” หลิวผิงตอบรับเคร่งขรึม
กู้ฉีคิดเล็กน้อย และนำเื่เมื่อวานที่พบเข้ากับจางเฉิงหย่วนที่คฤหาสน์ที่พักของสกุลหูบอกแก่หลิวผิง โดยให้เขาจับตาดูการเคลื่อนไหวทางอำเภอเจิ้นอันไว้ด้วย
หลิวผิงน้อมรับคำสั่งทีละข้อๆ
เชิงอรรถ
[1] ต้นหยกเล่นลม หรือ 玉树临风 หมายถึง คำอุปมาถึงชายหนุ่มรูปงาม หล่อเหลา อ่อนโยนและสง่างาม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้