ผู้จัดการใหญ่อู่ตกอยู่ในอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ตอนนั้นเ้าของบ้านพูดเสียดิบดีว่ามีสิทธิ์ขาดในบ้านหลังนี้ บ้านทั้งหลังอยู่ภายใต้ชื่อของเขา บ้านลักษณะนี้เดิมทีมีอยู่ไม่มากนัก เรือนสี่ประสานส่วนใหญ่จะถูกซอยแบ่งเช่า หนึ่งเรือนมีหลายครอบครัวอาศัยอยู่ร่วมกัน บ้านเป็ของใครกันแน่ เรียกได้ว่าอีรุงตุงนังไปหมด
ใครจะไปคิดว่าบ้านหลังแรกที่เซี่ยเสี่ยวหลานมาดูด้วยตัวเอง พอมาถึงก็เจอกับสถานการณ์แบบนี้ทันที
อยากได้เงินออกนอกประเทศคือสาเหตุหนึ่ง แต่การสลัด ‘ผู้เช่า’ กลุ่มนี้ให้พ้นตัวก็คงเป็อีกหนึ่งในสาเหตุเช่นกันสินะ
“นักศึกษาเซี่ย คุณว่าเื่นี้ดูเหมือนจะ...”
“ไม่เป็ไรค่ะ มาก็มาแล้ว พวกเราใจเย็นๆ รอดูอีกหน่อยเถอะ”
มาซื้อบ้าน หาใช่ซื้อผักกาดขาวราคาถูก แม้แต่ผักกาดขาวยังต้องดูเลยว่าใช่ของจริงหรือไม่ หากมองครู่เดียวแล้วตัดสินใจทันทีว่าจะซื้อหรือไม่คงมีแต่พวกเศรษฐีเอาแต่ใจ เซี่ยเสี่ยวหลานยินดีเสียเวลามากหน่อย เพื่อจะได้เข้าใจสถานการณ์ของบ้านหลังนี้อย่างชัดเจน
ชายหนุ่มอายุสามสิบตอนต้นคือเ้าของบ้าน
เ้าของบ้านถูกต้อนจนเข้ามุมกำแพงเช่นนี้ ดูก็รู้ว่าเขาเป็คนสุภาพเรียบร้อย
ยุคสมัยนี้คนสุภาพมักถูกรังแก ผู้เช่าที่อารมณ์พลุ่งพล่านใช้มือชี้หน้าเ้าของบ้านพลางด่ากราด หากเป็สามสิบปีให้หลัง ใครจะไปกล้าคิดว่าจะมีสถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น เ้าของบ้านในปักกิ่งอีกสามสิบปีข้างหน้ามีใครเป็แบบนี้กันบ้างเล่า พวกเขาคิดอยากจะขึ้นค่าเช่าก็ขึ้น รับไม่ได้ก็เก็บข้าวของออกไป
แต่นี่คือปี 1984 เ้าของบ้านที่ได้รับมรดกตกทอด ยังสู้ผู้เช่าที่ไร้สิทธิ์ในการถือครองทรัพย์สินไม่ได้เลย
ผู้เช่าไร้กรรมสิทธิ์รังแกเ้าของบ้าน ทว่าเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ร้อนใจ เธอยืนมองดูคนกลุ่มนั้นจากที่ไกลๆ กับผู้จัดการใหญ่อู่ คนที่มามุงดูไม่ได้มีเพียงพวกเขาสองคน ผู้ชมในซอยนี้มีอีกมาก พวกเซี่ยเสี่ยวหลานจึงไม่ได้เป็จุดสนใจมากมายนัก
แม้เ้าของบ้านจะหลังชนฝา แต่เมื่อเห็นเหล่าผู้เช่าด่าจนเหนื่อยแล้วเขาก็ได้ย้ำอีกครั้งว่า
“ยังไงฉันก็จะขายบ้านหลังนี้ คนอื่นจะยอมให้คุณเช่าบ้านหรือไม่ ฉันไม่สน! เมื่อฉันตัดสินใจจะขายบ้าน พวกคุณก็ทำอะไรไม่ได้!”
เ้าของบ้านพูดอย่างสุภาพ แต่น้ำเสียงเจือไปด้วยความกรุ่นโกรธ
จะไม่โกรธได้อย่างไร?
มรดกของครอบครัวตัวเองได้รับกลับคืนมาอย่างสุจริต แต่คนพวกนี้ไม่เพียงไม่ยอมย้ายออก ทุกเดือนยังจ่ายค่าเช่าไม่กี่หยวนพอเป็พิธีเท่านั้น แถมยังมีนิสัยโหดร้ายยิ่งกว่าเ้าของบ้านอย่างเขาเสียอีก ความจริงแล้วเ้าของบ้านเพียงคนเดียวคงอาศัยอยู่บ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ตามลำพังไม่ไหว ทว่าเขาเองก็อยากมีสิทธิ์เลือกผู้เช่าด้วยตนเองน่ะสิ
จะปล่อยเช่าหรือไม่ ปล่อยเช่าให้ใคร เขา้าเป็ผู้ตัดสินใจ
ไม่ใช่คนบางกลุ่มนำเื่มรกดตกทอดทางประวัติศาสตร์มาบีบบังคับให้เขายอมรับเช่นนี้
เขาเคยขอให้สำนักงานท้องถิ่นช่วยแก้ปัญหา แต่ทางสำนักงานทำงานอย่างประนีประนอม เ้าของบ้านจึงหมดหนทาง บ้านที่แม้แต่ตัวเขาเองยังเข้าไปอยู่ไม่ได้ จะเก็บไว้ทำไมเล่า?
“ทำไมพวกเราจะทำอะไรไม่ได้?”
“นี่คือคำพูดติดปากของพวกนายทุน ไม่สนใจความเป็ความตายของชาวบ้านตาดำๆ !”
“บรรพบุรุษของพวกคุณก็คือพวกนายทุน...”
สีหน้าของเ้าของบ้านบอกบุญไม่รับ เขาพยายามอดกลั้นอารมณ์อย่างหนัก เมื่อก่อนเขาเคยขอเจรจากับคนพวกนี้ แต่ก็ไม่ได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ ซ้ำร้ายเขายังคงถูกรังแกหลายต่อหลายครั้ง ตอนนี้เขารู้จักสะกดอารมณ์แล้ว ถึงอย่างไรก็แค่ทนโดนด่าไม่กี่คำ บ้านที่ควรขายยังไงก็ต้องขาย นึกไม่ถึงเลยว่าภาพทั้งหมดจะตกอยู่ในสายตาของผู้สนใจซื้อบ้านหลังนี้อย่างเซี่ยเสี่ยวหลาน
มีกลุ่มผู้เช่าแบบนี้คงวุ่นวายน่าดู
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้กลับไปทันที เพราะสมัยนี้กว่าจะหาบ้านที่ถูกใจได้นั้นไม่ง่ายเลย เธอ้าดูสถานการณ์โดยรวมของบ้านหลังนี้ให้แน่ชัด หากมีคนพวกนี้ตามเกาะไม่ปล่อย แม้เ้าของบ้านอยากขายบ้านก็คงไม่ง่าย หากผู้ซื้อทั่วไปมาเห็นสภาพนี้แล้วเปอร์เซ็นต์การซื้อขายคงแทบเป็ศูนย์อย่างแน่นอน
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่กลัวความวุ่นวาย ในเมื่อผู้จัดการใหญ่อู่เป็คนพาเธอมาดูบ้าน เขาต่างหากที่ต้องหาทางแก้ไข
ตามคาด ผู้จัดการใหญ่อู่ร้อนใจยิ่งกว่าเซี่ยเสี่ยวหลานเสียอีก เขากำลังรอให้ลูกค้าชั้นหนึ่งซื้อพันธบัตรรัฐบาลจำนวนมาก ตอนนี้เซี่ยเสี่ยวหลานซื้อไปประมาณ 6,000 หยวนได้ ในอนาคตเธอก็สามารถซื้อ 60,000 หยวนได้เช่นกัน ผู้จัดการใหญ่อู่วาดฝันอนาคตไว้อย่างงดงาม
แต่คนพวกนี้กำลังก่อความวุ่นวายให้เ้าของบ้านอย่างนั้นหรือ?
ไม่ นี่เป็การก่อความวุ่นวายให้ลูกค้าชั้นหนึ่งของเขาต่างหาก!
“สหายเสี่ยวสวี นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
ผู้จัดการใหญ่อู่ก้าวเท้าแหวกวงล้อมจีนมุงออกไป เ้าของบ้านที่ชื่อเสี่ยวสวีหน้าผากชื้นไปด้วยเหงื่อ เขาไม่เคยเจอผู้จัดการใหญ่อู่ เนื่องจากคนรู้จักของคนรู้จักเป็ผู้แนะนำมาให้อีกทีหนึ่ง
“คุณคงเป็ผู้จัดการธนาคารแซ่อู่สินะครับ ขอโทษด้วยจริงๆ ที่ทำให้คุณเสียเวลา!”
ผู้จัดการใหญ่อู่พยักหน้า สีหน้าเคร่งขรึมของเขาช่างดูน่าเกรงขามยิ่งนัก
ผู้จัดการธนาคารสมัยนี้ไม่ควรเย่อหยิ่งอย่างนั้นหรือ?
หากไม่ใช่เพราะถูกบีบเื่พันธบัตรรัฐบาล ผู้จัดการใหญ่อู่จะหยิ่งที่ไหนก็ได้
ยืนเอามือไพล่หลังแบบนี้น่าเกรงขามไม่น้อย กลุ่มผู้เช่าที่เคยเสียงดังเอะอะพากันเงียบเป็การชั่วคราว หัวหน้าข้าราชการอย่างผู้จัดการใหญ่อู่ช่วยเสี่ยวสวีเอาไว้ ข้าราชการคนนี้อยากซื้อบ้านอย่างนั้นหรือ? หากใช่คงโวยวายต่อไปได้ยาก
เหล่าผู้เช่าสบตากัน
ผู้จัดการใหญ่อู่บอกว่าอยากดูบ้าน เซี่ยเสี่ยวหลานก็เดินตามหลังมา เสี่ยวสวีรู้ว่าผู้จัดการใหญ่อู่เป็แค่นายหน้า เช่นนั้นหรือว่าคนที่อยากซื้อบ้านคือเด็กสาวที่เดินตามหลังเขา?
เสี่ยวสวีเดาว่าการขายบ้านวันนี้คงไม่สำเร็จอย่างแน่นอน ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเด็กสาวจะมีเงินพอจ่ายตามราคาที่เขาเสนอหรือไม่ แต่เด็กสาวที่ไหนไม่กลัวความวุ่นวายบ้าง โดยเฉพาะเด็กสาวที่ยังสาวยังสวยแบบนี้ คงรับมือกับคนพวกนั้นไม่ไหวอย่างสิ้นเชิง
เสี่ยวสวีรู้สึกห่อเหี่ยวทันที แต่เห็นแก่หน้าของผู้จัดการใหญ่อู่ เขายังคงต้องแนะนำบ้านหลังนี้เป็อย่างดี
“บ้านหลังนี้เป็มรดกตกทอดจากคุณทวดของผม ตอนได้คืนมาจากรัฐเคยวัดขนาดพื้นที่ทั้งหมดเอาไว้เรียบร้อย ตัวบ้านรวมสวนมีขนาด 580 ตารางเมตร สภาพบ้านรักษาเอาไว้ได้ไม่เลว...”
“แต่มีการต่อเติมเองเพิ่มค่อนข้างเยอะเลยนะคะ”
เรือนสี่ประสานขนาด 580 ตารางเมตร ตั้งอยู่ในซอยหนานหลัวกู่ ถนนวงแหวนรอบสอง
ตอนแรกเซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกพอใจมาก
เธอดูออกว่าเรือนสี่ประสานที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวกับจวนอ๋องหลังนี้ เ้าของเดิมหากไม่ใช่ขุนนางระดับสูง อย่างไรก็คงไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป แม้ในเรือนจะมีบ้านหลังเล็กๆ ถูกต่อเติมเพิ่มเข้ามา แต่ก็ดูออกว่าแปลนเดิมของมันโอ่อ่าหรูหราแค่ไหน
ส่วนที่ต่อเติมเพิ่มนั้นไม่ใช่ปัญหา ค่อยทุบทิ้งตอนซื้อมาแล้วก็ย่อมได้
ทว่าเสี่ยวสวีไม่รู้ความคิดของเซี่ยเสี่ยวหลาน พอได้ยินคำวิจารณ์ของเธอเขาก็หน้าแดงขึ้นเล็กน้อย เรือนนี้ถูกทำลายจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม หลายครัวเรือนอาศัยอยู่ในนี้อย่างแน่นขนัด ทุกคนล้วนอยากยึดพื้นที่เป็ของตัวเองให้มากที่สุด พื้นที่สวนกลางบ้านถูกกินพื้นที่เข้ามาจนเหลือเพียงบ่อน้ำธรรมชาติขนาดเล็กเท่านั้น
เซี่ยเสี่ยวหลานเดินดูรอบๆ ด้านหลังของเธอมีผู้เช่ากลุ่มใหญ่คอยเดินตามอยู่ไม่ห่าง แต่เธอก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรออกไป
พวกผู้เช่าไม่รู้ว่าเด็กสาวอย่างเธอก็คือผู้ซื้อ ไม่อย่างนั้นคงรังแกเธอที่อายุน้อยกว่าเป็แน่ มีผู้จัดการใหญ่อู่คอยกันท่าเช่นนี้ คนพวกนั้นจึงทำได้แค่ถลึงตาใส่เสี่ยวสวี
เสี่ยวสวีเห็นเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้หันหลังกลับไปในทันทีก็เริ่มมีความหวัง
อีกฝ่ายอาจจะอยากซื้อจริงๆ ก็ได้?
เขาพูดกับผู้จัดการใหญ่อู่ แต่ที่จริงกำลังแนะนำบ้านให้เซี่ยเสี่ยวหลานฟัง
เซี่ยเสี่ยวหลานดูบ้านเสร็จก็เดินออกมา คนทั้งสามต้องเดินออกมาไกลถึงจะสลัดผู้เช่ากลุ่มนั้นได้ เซี่ยเสี่ยวหลานถามอย่างตรงไปตรงมา “สหายสวี บ้านหลังนี้ของคุณดูยุ่งยากอยู่นะคะ คุณคิดจะขายเท่าไรหรือ”
เสี่ยวสวีอยากขายราคาแปดหมื่น
แต่เพราะถูกเซี่ยเสี่ยวหลานเห็นภัยแฝงที่อยู่ในบ้านหลังนี้ ทำให้เขากัดฟันลดราคาลงห้าพัน
“เจ็ดหมื่นห้า ถ้าคุณอยากซื้อให้เอาเงินสดมา ฉันสามารถทำเอกสารให้คุณได้โดยเร็วที่สุด!”
เจ็ดหมื่นห้า?
เซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่าแพงเกินไป “ผู้จัดการใหญ่อู่ เราไปดูหลังต่อไปกันเถอะค่ะ”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้