คำพูดของเหยียนอู๋อวี้รู้พอเหมาะพอควร กระนั้นน้ำเสียงกลับมิได้อ่อนโยน มั่วหนงก้มศีรษะฟัง ด้านหนึ่งรู้สึกเกลียดชัง อีกด้านหนึ่งรู้สึกหวาดกลัวเพราะพฤติกรรมก่อนหน้านี้ของนาง จึงทำได้เพียงอดกลั้นฟังจนจบแล้วเอ่ยปากรับผิดพร้อมขอตัวกลับ หลังจากกลับมานางคิดจะสร้างเื่กลั่นแกล้งเหยียนอู๋อวี้เพื่อระบายความคับแค้นใจ
หลังจากมั่วหนงไปแล้ว เหยียนอู๋อวี้แอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก เมื่อครู่ฉีตงหยวนเข้ามากอดขานาง นางเกือบจะถูกลากลงไปด้วย จึงตั้งใจถีบเขาออกไปโดยไม่ลังเล และหาจังหวะแอบกลับเข้าไปในห้อง ในขณะที่พวกเขากำลังสนทนากัน นางรีบเปลี่ยนอาภรณ์เดินออกมารับหน้าจนผ่านวิกฤติครั้งนี้มาได้อย่างหวุดหวิด
จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ เหยียนอู๋อวี้มองออกถึงความไม่พร้อมของตำหนักเฟิ่งชัย
ป้าโฉ่วเป็คนที่นางไว้วางใจมากที่สุด ทว่านางไม่เคยอาศัยอยู่ในวังหลวง ไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับเล่ห์เหลี่ยมในวังหลวง โชคดีที่ครั้งนี้หากซูอิ่งไม่เฉลียวฉลาดมีไหวพริบ ผลที่ตามมาคงจะเป็หายนะ
ซวงสี่กับฉางฮวนเป็คนของโจวหลู่ชิง ยามนี้สามารถใช้งานได้ เพียงแต่ไม่สามารถใช้งานสำคัญได้ ยิ่งไปกว่านั้นทั้งคู่ยังใหม่กับวังหลวง ยังไม่เข้าใจเื่หลายสิ่งหลายอย่างในวังหลวง ดังนั้นบุคคลที่สามารถควบคุมสถานการณ์โดยรวมได้คงจะมีเพียงซูอิ่งเท่านั้น
คราวนี้ป้าโฉ่วมีท่าทีร้อนรน แม้แต่มั่วหนงยังสังเกตเห็น ซูอิ่งต้องรู้แน่นอน นางมิได้ถามเหตุผล หนำซ้ำยังช่วยปกปิดไว้ได้ทันเวลา เพียงจุดนี้ เหยียนอู๋อวี้ก็รู้สึกว่าผู้ที่จะคุมสถานการณ์โดยรวมได้มีเพียงซูอิ่ง
เมื่อเห็นซูอิ่งยืนนิ่งเงียบอยู่ด้านข้าง เหยียนอู๋อวี้คิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยถามว่า “ผ้าปักผืนนั้นมาจากที่ใด”
ซูอิ่งรู้ว่าเื่ที่เหยียนอู๋อวี้ถามคือของที่นางเพิ่งมอบให้มั่วหนง นางจึงตอบทันทีว่า “หรูอินมอบให้บ่าวมาเ้าค่ะ”
หรูอิน เหยียนอู๋อวี้จำชื่อนี้ได้ นางเคยมาพร้อมกับซูอิ่ง เพราะก่อนหน้านางอยู่ฝ่ายห้องเครื่องหลวง นางจึงมอบหน้าที่ตรวจสอบของเสวยทั้งหมดให้หรูอิน และต่อมาในรายชื่อที่ซูอิ่งส่งมาให้นางดู ความจริงแล้วนางเป็สายที่ไทเฮาส่งมาอยู่ที่ตำหนักเฟิ่งชัยั้แ่แรกแล้ว
ด้วยเหตุนี้เองที่เหยียนอู๋อวี้จึงส่งฉางฮวนไปที่ห้องเครื่องพร้อมกับหรูอิน เพื่อดูแลสำรับอาหารของนาง
หรูอินมีใบหน้าแลดูสัตย์ซื่อ ทว่าการกระทำไม่เหมือนดั่งใบหน้า
หลังจากเหยียนอู๋อวี้ได้ยินคำพูดของซูอิ่งจึงหันไปหาป้าโฉ่วพร้อมกล่าวว่า “นำผ้าเช็ดหน้าสองสามผืนมาที่นี่ เอาที่เป็งานเย็บปักของหนิงเสินเจิน จริงสิ เอาผ้าปักสองชิ้นที่ข้าเพิ่งได้มาใหม่ก่อนหน้านี้มาด้วย”
ป้าโฉ่วรีบตอบรับคำ ซูอิ่งมองนางด้วยความสับสน “นายหญิง นี่คือ......”
“ทำสิ่งใดในวังหลวง ต้องใช้เงินทองของมีค่าเป็ค่าเบิกทาง มอบสิ่งของที่ผู้อื่นชื่นชอบนั้นเป็อีกเื่หนึ่ง วันนี้ข้าได้สั่งสอนมั่วหนงไปแล้ว ต่อไปนางคงไม่สร้างปัญหาให้เ้ามากนัก เ้ารับของพวกนี้ไว้ หาจุดอ่อนของพวกเขา ไม่ให้เ้าต้องลำบากใจอีก”
ซูอิ่งรีบตอบรับคำ จากนั้นเหยียนอู๋อวี้จึงหยิบสิ่งของมีค่าออกมาจากลิ้นชักโต๊ะเครื่องแป้งแล้วมอบให้นางพร้อมกำชับว่า “เ้าเก็บสิ่งของเหล่านี้ไว้ ต่อไปเ้าคิดจะทำสิ่งใดในวังหลวง อาจจะต้องใช้ของเหล่านี้”
เมื่อซูอิ่งได้ยินคำพูดนี้พลันรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง มันเป็กฎที่มิได้เขียนไว้ในวังหลวงสำหรับนายหญิงที่จะตกรางวัลให้นางกำนัล ทว่ามันจะมีความหมายที่แตกต่างออกไปหากนางได้รับมาเพื่อจัดการงานบางอย่าง
ซูอิ่งน้ำตาเอ่อคลอ “นายหญิง......”
“เ้าเป็คนเดียวในตำหนักเฟิ่งชัยที่รับผิดชอบงานใหญ่ได้” เหยียนอู๋อวี้กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ต่อไปหากข้าต้องออกไปจัดการเื่ข้างนอก สถานการณ์ในตำหนักเฟิ่งชัยต้องพึ่งพาเ้าแล้ว ดูแลมันดีไม่มีรางวัล หากทำไม่ดีจะถูกลงโทษ”
ซูอิ่งคุกเข่าลงทันทีพลางโขกศีรษะเอ่ยว่า “ซูอิ่งจะไม่ทรยศต่อความไว้วางใจของนายหญิงอย่างแน่นอนเ้าค่ะ”
“เมื่อเ้าออกจากวังในอีกไม่กี่ปี ข้าจะเตรียมของขวัญล้ำค่าไว้เพื่อที่เ้าจะได้ไม่ต้องกังวลเื่อาหารและเครื่องนุ่งห่มหลังเ้าออกไปจากวังหลวงแห่งนี้ ขอเพียงเ้าภักดีต่อข้า ข้าจะรับรองความปลอดภัยของเ้า ให้เ้าออกจากวังหลวงได้อย่างราบรื่น”
คำพูดเหล่านี้โดนใจซูอิ่ง นางมิได้ขออันใดมาก นางเพียงแค่อยากมีชีวิตที่มั่นคงและเดินออกจากวังได้อย่างปลอดภัย ไม่ว่าคนอื่นจะสัญญากับนางมากมายเพียงใด ล้วนเป็เพียงความรุ่งโรจน์และความมั่งคั่งเท่านั้น
ทว่านางอยู่ในวังหลวงแห่งนี้ มีคนร่ำรวยและสูงศักดิ์กว่านางมากมายนัก ต่อให้มีทรัพย์สมบัติมากมายเพียงใด ก็ไม่มีสิ่งใดมากไปกว่านั้น การออกจากวังหลวงจึงเป็เพียงความคิดเดียวของนางในยามนี้ และยังเป็ความมุ่งมั่นเดียวของนาง
ซูอิ่งไม่รู้ว่าเหยียนอู๋อวี้ใช้วิธีการใดกันแน่ เพียงแต่นางรู้สึกอยู่เสมอว่าเหยียนอู๋อวี้ทำความปรารถนาของนางให้เป็จริงได้อย่างแน่นอน และน่าเชื่อถือกว่าผู้อื่นมากนัก
ซูอิ่งเก็บสิ่งของเหล่านี้ ในที่สุดก็เอ่ยปากถามว่า “นายหญิง บ่าวมีเื่หนึ่งอยากร้องขอเ้าค่ะ?”
“เ้าว่ามา” เหยียนอู๋อวี้ค่อนข้างประหลาดใจกับคำถามของนาง
“ครั้งหน้าหากนายหญิงออกไปข้างนอก บอกซูอิ่งได้หรือไม่?” ซูอิ่งเอ่ยพลางมองเหยียนอู๋อวี้อย่างไม่สบายใจ “ซูอิ่งรู้ว่าไม่ควรถาม ทว่าหากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก เกรงว่า...…”
เหยียนอู๋อวี้เอ่ยเสียงเบาว่า “เ้าออกไปเถิด”
ซูอิ่งคำนับอย่างมีความสุขอีกครั้งก่อนเดินออกจากห้อง
ขณะที่ประตูกำลังจะปิด เหยียนอู๋อวี้อ้าปากอาเจียนออกมาเป็เื เืหยดลงบนอาภรณ์สีขาวราวหิมะแจ่มชัดสะดุดตาอย่างยิ่ง
ป้าโฉ่วรีบก้าวไปข้างหน้าจับข้อมือเพื่อตรวจชีพจรพร้อมหยิบยามาให้นางทาน ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความรัก ทว่านางไม่สามารถพูดออกไปได้
“เ้าโกรธหรือไม่ที่ข้ามอบหน้าที่สำคัญให้ซูอิ่งทำ?” เหยียนอู๋อวี้หยิบผ้าเช็ดหน้าเช็ดเืที่บริเวณมุมปากก่อนหันไปถามนาง ขณะที่นางเอ่ยกลิ่นคาวเืยังคงฟุ้งออกมาจากปากนาง
ป้าโฉ่วเอ่ยอย่างช่วยไม่ได้ “แม่นางกล่าวเกินไป เดิมทีข้าไม่เก่งเื่พวกนี้ ซูอิ่งดูน่าเชื่อถือและสามารถใช้เพื่อจุดประสงค์นี้ได้ ย่อมเป็เื่ที่ดี คืนนี้อันตรายนัก หากไม่ใช่ซูอิ่งเข้ามาช่วยได้ทัน เกรงว่ามั่วหนงคงบุกเข้ามาในห้องแน่นอน”
“หากนางกล้าที่จะบุกเข้ามาในห้อง ข้าจะทำให้นางไม่สามารถยืนหยัดได้ตลอดชีวิต” แววตาของเหยียนอู๋อวี้เผยให้เห็นไอสังหาร “เป็เพียงนางกำนัลกล้ากระทำหยาบคายกับข้า ฮวารั่วซีนางคิดว่าปิดบังเบื้องสูงได้หรือ?”
ป้าโฉ่วมิได้มีความคิดเห็นในเื่นี้ เพียงเอ่ยว่า “แม่นางต่อไปควรกลับมาให้เร็วกว่านี้ เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นถึงสองครั้ง น่าเป็กังวลมากจริงๆ”
“ข้ารู้” เหยียนอู๋อวี้แย้มยิ้มสดใส นางไม่เคยปกปิดเื่เหล่านี้กับป้าโฉ่ว รอยยิ้มยังเผยให้เห็นความเขินอายอยู่เล็กน้อยด้วย ก่อนจะค่อยๆ จางหายไป
ไม่รู้ว่าจวินอู๋เสียไปถึงตำหนักรับรองของอาลักษณ์อู๋หรือยัง เขาพบหลักฐานเ่าั้แล้วหรือยัง มีเพียงตามหาหลักฐานเท่านั้น จึงจะสามารถมีวิธีโน้มน้าวให้ซ่งอี้หานออกหน้า
เหยียนอู๋อวี้ขบคิดเกี่ยวกับเื่นี้แล้วพลันรู้สึกปวดศีรษะเล็กน้อย เพราะเมื่อถึงเวลาพูดโน้มน้าวซ่งอี้หาน นางคงไม่สามารถออกหน้าได้แน่นอน นางควรจะมอบหน้าที่นี้ให้ผู้ใด?
......
เงาร่างหนึ่งยืนอยู่บริเวณประตูจวนเสียนอ๋อง โคมไฟสีแดงสดบริเวณประตูส่องแสงสลัว แสงสลัวสีแดงตกกระทบบนร่างนั้น เนื่องจากเสื้อคลุมขนาดใหญ่ปกคลุมทั่วทั้งร่างกาย ทำให้ไม่สามารถเห็นใบหน้าได้ชัดเจนนัก
ครู่หนึ่งประตูพลันเปิดออก พ่อบ้านเดินออกมาพร้อมกับรีบนำทางคนผู้นั้นเข้าไป และเร่งรัดให้บ่าวรับใช้ปิดประตูทันที
พ่อบ้านเดินนำทางไปถึงห้องอ่านหนังสือจึงค่อยจากไป
ชายผู้นั้นถอดเสื้อคลุมออก เผยใบหน้าหล่อเหลาและดวงตาดอกท้อที่ทำให้ผู้คนละสายตาไม่ได้ ครู่หนึ่งเขาผลักประตูและเห็นซ่งอี้หานยืนอยู่เบื้องหน้า
เมื่อซ่งอี้หานเห็นเขา สีหน้าพลันรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง “องค์ชายจวิน?”
จวินอู๋เสียยกมือขึ้นคำนับ ก่อนจะเอ่ยอย่างใจเย็น “เสียนอ๋อง ไม่ต้อนรับข้าน้อยหรือ?”
ซ่งอี้หานมองเขาด้วยสายตาค้นหาและสงสัย
ในฐานะที่เป็รัชทายาทที่ถูกปลดจากตำแหน่ง เขาจึงมีสถานะพิเศษ ภายนอก ขุนนางแทบทุกคนในราชสำนักไม่กล้าข้องแวะไปมาหาสู่กับเขา ในเวลาปกติแทบจะไม่มีผู้ใดมาหาเขาเลย ยกเว้นชาวบ้านธรรมดาทั่วไปและตัวประกันจากแคว้นอื่นบ้าง
ดังนั้นเขาเคยติดต่อสัมพันธ์กับจวินอู๋เสียบ้างเป็ครั้งคราว ดื่มสุราและรื่นเริงด้วยกันเป็บางครั้ง เขามักจะอยู่กับผู้อื่นเสียมากกว่า ทว่าคุยเื่จริงจังกับผู้อื่นนั้นน้อยยิ่งนัก
เนื่องจากจวินอู๋เสียเป็ตัวประกันของราชวงศ์ใต้ ทางราชสำนักราชวงศ์ใต้ไม่มีผู้ใดสนใจเขา ทว่าเขาได้ใช้สถานะของเขาสร้างความสัมพันธ์ ทำให้ทุกคนที่พบเขา้าผูกมิตรกับเขา แม้เขาจะไม่ค่อยมีท่าทีกระตือรือร้นต่อผู้อื่นมากนัก กระนั้นมารยาทที่พึงกระทำก็ควรมีให้ มิเช่นนั้นอาจทำลายชื่อเสียงตนเองได้
เพียงแต่คืนนี้ไม่ใช่เวลาที่พวกเขาควรพบหน้ากัน
และคนที่ซ่งอี้หาน้าพบในคืนนี้ไม่ควรเป็เขา จวินอู๋เสีย!