หลิวเต้าเซียงแบกเงินสองร้อยห้าสิบเหรียญไว้ กระทั่งเวลาเดินก็มีลมพัด นี่เพิ่งจะหนึ่งเดือน ก็สามารถหาเงินได้สองร้อยห้าสิบอีแปะ นางคิดในใจว่านี่ตนเองเพิ่งจะเจ็ดขวบ ปีนี้คงหาเงินได้สองสามตำลึงเงิน พอคำนวณเช่นนี้ ทั้งไม่เหนื่อยแล้วยังหาเงินได้ก็นับว่าคุ้มค่า นางจึงเริ่มพิจารณาเกี่ยวกับข้อเสนอของสัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ด
“เ้าสัตว์ปีศาจตัวน้อย อยู่หรือเปล่า?”
“อะแฮ่ม!” มันที่กำลังอยู่ในความหยิ่งยโส แสดงท่าทางว่าตนกำลังโกรธเคือง
“ฉันขอโทษน่า สัตว์ปีศาจตัวน้อย ฉันรู้ตัวว่าผิดไปแล้ว” เพื่อเงิน หลิวเต้าเซียงสามารถปรับท่าทีให้แข็งและอ่อนได้
“ผิดตรงไหนครับ?” น้ำเสียงของสัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดนั้นเ็าเล็กน้อย แต่ก็ไม่สามารถสลัดโฮสต์ที่ซื่อบื้อคนนี้ได้ มิเช่นนั้น มันคงต้องกลับบ้านเกิด รออยู่ในคลังเก็บของที่มืดมน แล้วต่อแถวรอเพื่อรับโอกาสใหม่
“สัตว์ปีศาจตัวน้อย นายดีที่สุดเลย ฉันผิดไปแล้ว ควรเชื่อคำพูดของนายที่บอกว่าขยายพื้นที่ห้วงมิติให้ใหญ่ก่อน” คำพูดของหลิวเต้าเซียงได้ใจสัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดที่ยังอยู่ในอารมณ์ขุ่นมัว
“เดิมที คุณขยายห้วงมิติให้กว้างหน่อย จะได้เลี้ยงไก่ได้มากกว่านี้ ถึงตอนนั้น ก็จะไม่ใช่แค่พื้นที่หนึ่งที่เลี้ยงไก่ได้ตัวเดียวเท่านั้น”
คําพูดของเ้าสัตว์ปีศาจทําให้หัวใจของหลิวเต้าเซียงสั่นไหว
“อะไรกัน เื่จริงหรือ?”
“แน่นอนสิครับ ตอนนี้พื้นที่ของคุณอยู่ที่หนึ่งจุดห้าตารางเมตร ถึงตอนนั้นคงขยายได้สามตารางเมตร เป็หนึ่งเท่าตัวของพื้นที่ปัจจุบัน”
ทันทีที่สัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดได้ยินว่าเธอมีความคิดเช่นนี้ ก็รีบเอาประโยชน์มาเกริ่นไว้ข้างหน้า
“ในความเป็จริง เ้าสัตว์ปีศาจตัวน้อย ฉันเองก็อยากขยายพื้นที่ห้วงมิติอย่างมาก” เมื่อได้ยินเช่นนี้ เ้าสัตว์ปีศาจก็เริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ
จริงตามคาด เมื่อหลิวเต้าเซียงเอ่ยอีก “เ้าสัตว์ปีศาจตัวน้อย หรือไม่ นายไปเจรจากับโปรดิวเซอร์หน่อยสิ ให้เราได้ยืมใช้พื้นที่อีกสักผืนเป็เช่นไร? ถึงตอนนั้นก็ยังใช้ไก่คืนค่าเช่าได้ เพราะถึงอย่างไรเราสองคนก็มีความเชื่อมั่นต่อกัน ล้วนเป็ประชากรที่จิตใจบริสุทธิ์”
สัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดหวั่นไหวมาก ยิ่งหลิวเต้าเซียงมีผลผลิตของสัตว์เลี้ยงให้แก่โปรดิวเซอร์มากเท่าไร รางวัลของมันก็ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น
“ผม ผม ผมขอคิดดูก่อนครับ”
ที่มันตอบรับไว้ เพราะว่าคำพูดของหลิวเต้าเซียงมีความน่าเชื่อถือ ไม่เหมือนโฮสต์บางคน เป็พวกปลิ้นปล้อน ลูกหนี้คือนายใหญ่ ส่วนคนที่ทวงหนี้คือลูกกระจ๊อก สัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดมักจะสนทนากับพวกพ้อง พบว่าหลิวเต้าเซียงนั้นเป็คนที่พูดคำไหนคำนั้น ไม่เหมือนกับพวกโฮสต์ขี้โกงที่ขึ้นชื่อ
แน่นอนว่า สัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดไม่มีทางบอกเื่นี้กับหลิวเต้าเซียงแน่ เพื่อให้ตนเองได้รางวัลที่สูงกว่านี้ เพื่อที่จะสลัดรูปลักษณ์เบื้องต้นซึ่งก็คือถั่วงอก มันสู้ตาย
หลิวเต้าเซียงรออยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าสัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดไม่ตอบ ก็ไม่รู้ว่ามันหายไปทำอะไร
แต่ถึงเวลาก็จำต้องสลัดเื่ราวเหล่านี้ออกไป นางจึงไปที่ร้านขายของชำเพื่อซื้อดอกพุทราจีนสี่สิบเหรียญ น้ำตาลแดงครึ่งกิโลกรัมอีกห้าสิบเหรียญ และแป้งอีกหนึ่งกิโลกรัมยี่สิบเหรียญ แล้วก็ไปยังที่ขายลูกไก่ พบว่าคนขายไก่คราวก่อนไม่อยู่แล้ว จึงต้องหาร้านใหม่แล้วต่อรองราคา จากนั้นก็ได้ไก่มาสามสิบตัว นางจ่ายไปทั้งหมดรวมสองร้อยสามสิบเหรียญ และได้ใส่ไก่ยี่สิบตัวในห้วงมิติ
เมื่อรวมอีกสามตัวที่กำลังเลี้ยงในห้วงมิติ จึงมีทั้งหมดห้าสิบสองตัว ในมือถือคอกไม้ไผ่ที่ร้านให้มา ด้านในมีลูกไก่อยู่สิบตัว
ขณะนี้ ในกระเป๋าเงินของนางจึงเหลือเงินยี่สิบเหรียญ
พอคิดๆ ดู ก็หยิบออกมาสองเหรียญ ตั้งใจเก็บหนึ่งเหรียญไว้นั่งรถวัว ส่วนอีกหนึ่งเหรียญตั้งใจว่าจะไปแลกผ้าแดงมัดผมสักไม่กี่เส้น
หลิวเต้าเซียงเป็สาวหวานที่รักสวยรักงามเช่นกัน ในมือของนางมีเงินสองเหรียญ ตั้งใจว่าจะให้กำลังใจตนเอง ชีวิตที่สวยงามเริ่มต้นจากการมีผ้าแดงมัดผม
สัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดยากที่จะได้เห็นภาพที่น่ารักของนาง จึงแอบหลบอยู่ในหลืบแล้วหัวเราะยกใหญ่ กลีบถั่วงอกที่เรียวยาวสองใบนั้นดีดไปมา
นางอยู่ตรงหน้าโรงปักแล้วจ่ายเงินไปหนึ่งเหรียญ ได้เชือกมัดผมมาสี่ฟุต
เชือกแดงนี้คุณภาพไม่ได้ถือว่าดีมาก แต่ว่าดีกว่าผ้าเน่าสองเส้นบนศีรษะของนางมากนัก
หลังจากทำธุระเหล่านี้เสร็จ นางก็เดินวนในโรงปักหนึ่งรอบ แม้จะมีคนมากมายแต่ไม่มีคนใดที่เป็เพื่อนร่วมหมู่บ้าน คิดดูแล้วไปยืนรออยู่ตรงทางเข้าใกล้ๆ นี้ดีกว่า เด็กสาวตัวน้อยอย่างเธอนั่งอยู่ตรงนั้นคงไม่มีใครสังเกต
หลิวเต้าเซียงอาศัยจังหวะที่ไม่มีใครเห็น แอบหยิบแป้งออกมาซ่อนใต้เสื้ออ๋าวตัวใหญ่
ไม่รู้ว่าชั้นบรรยาศยังไม่ถูกทำลายหรืออย่างไร ฤดูใบไม้ผลิของยุคโบราณจึงยังคงหนาว เข้าเดือนเมษายนแล้วแต่ยังต้องสวมใส่เสื้ออ๋าวตัวบางอยู่
ข้อดีคือนางตัวเล็ก แต่เสื้อตัวใหญ่ จึงแอบซ่อนของได้ง่าย
จางกุ้ยฮัวอุ้มหลิวชุนเซียงไว้ บนหลังแบกตะกร้าไม้ไผ่ที่มีมันหมูหนักห้ากิโลกรัมพร้อมกับของอื่นๆ แล้วเดินออกมา มองเห็นบุตรสาวคนรองนั่งอยู่ราวกับสุนัขตัวน้อยที่ถูกทอดทิ้งตรงขั้นบันไดหน้าโรงปัก
หัวใจของนางเจ็บแปลบแบบไม่รู้ที่มา รู้สึกว่าตนเองไม่ควรเชื่อฟังแม่สามีถึงเพียงนั้น ยามที่เห็นบุตรสาวที่น่าสงสารทั้งสามของตน หัวใจที่ดีงามมีเมตตาของจางกุ้ยฮัวก็เกิดความชิงชังต่อแม่สามีเป็ครั้งแรก
นางไม่้าเห็นบุตรสาวคนรองเป็เช่นนี้จึงเร่งฝีเท้าวิ่งไปหา จำนวนคนที่เดินเบียดเสียดกันทำให้ผมที่หวีเรียบร้อยก่อนออกมาจากบ้านนั้นยุ่งเหยิง แต่นางไม่มีเวลาใส่ใจ ขอเพียงไปหาบุตรสาวให้เร็วแล้วรีบบอกว่า แม่มาอยู่ข้างกายเ้าแล้ว ต่อไปจะดูแลพี่น้องทั้งสามคนอย่างดี
ผู้เป็มารดาย่อมแข็งแกร่ง เดิมทีไม่มีผู้ใดมาเตือนสติจางกุ้ยฮัว ทำให้นางต้องคอยเชื่อฟังพ่อและแม่สามีอย่างดีมาโดยตลอด แต่หลังจากเนื้อในของหลิวเต้าเซียนเปลี่ยนคน นางจึงเพิ่งรู้ว่าความกตัญญูกับการเชื่อฟังนั้นต่างกัน
“เต้าเซียง เต้าเซียง” หัวใจของจางกุ้ยฮัวเต็มไปด้วยความปวดร้าว
หลิวเต้าเซียงที่กำลังเบื่อจึงใช้ไม้เล็กๆ มาสะกิดมดที่กำลังปีนอยู่ตรงรอยแยกบันได มองดูพวกมันปีนขึ้นมาก็จะใช้ไม้เขี่ยให้ลงไป แล้วมองดูมันปีนขึ้นมาใหม่ นางกำลังเล่นเกมเด็กอนุบาล พลันรู้สึกดูแคลนตนเอง
เมื่อได้ยินเสียงะโที่คุ้นเคย หลิวเต้าเซียงก็โยนไม้ทิ้งไปอีกทางด้วยความดีใจ แต่ขณะจะลุกขึ้นก็ลืมไปว่ายังมีแป้งอยู่หนึ่งกิโลกรัมในอ้อมอก จึงเสียจังหวะและกลับลงไปนั่งใหม่
“เต้าเซียง เป็อะไร?” จางกุ้ยฮัวเห็นนางยืนขึ้นและนั่งลง จึงคิดว่านางไม่สบายตรงไหนหรือไม่
“ไม่มีอะไร นั่งนานไป ขาของข้าจึงชา” หลิวเต้าเซียงพูดปด
จางกุ้ยฮัวที่อุ้มเด็กน้อยแล้วยังแบกเนื้อหมูเดินเบียดเสียดกับผู้คน เหนื่อยจนแทบทนไม่ไหว เมื่อพบหลิวเต้าเซียงแล้วจึงนั่งลงบนบันไดก้อนหิน คนที่นั่งตามข้างทางร้านค้าแบบนี้ไม่ได้มีแค่นาง เพราะคนส่วนใหญ่ที่เหนื่อยจากการเดินจับจ่ายซื้อของก็จะมานั่งแบบนี้เช่นกัน มีบ้างที่พาเด็กน้อยมาด้วย และต่างก็ไม่ได้ใส่ใจเื่กาลเทศะอะไรมากมาย เช่นเดียวกับจางกุ้ยฮัว
หลิวเต้าเซียงเตรียมอ้าปากเหมือนจะพูดบางอย่างออกมา สายตามองดูใบหน้าซีดเผือดของจางกุ้ยฮัว แต่สุดท้ายก็ยังไม่ได้พูด
นางโอบกอดร่างเล็กของตนเอง นั่งข้างมารดาอย่างเงียบๆ แล้วเข้าไปโอบกอดลำคอแม่อย่างออดอ้อน “ท่านแม่ วันนี้ข้าโชคดีอย่างมาก”
จางกุ้ยฮัวนึกในใจ เด็กคนนี้คงไม่ได้เก็บเงินได้หรอกนะ “ออ? ไหนบอกแม่สิ เหตุใดโชคของเ้าเมื่อมาถึงในตำบลถึงได้ดี?”
“แม่ วันนี้หน้าโรงเตี๊ยมที่ลุงรองทำงานอยู่ ข้าเก็บเด็กน้อยได้หนึ่งคน”
สิ้นเสียงนั้น จางกุ้ยฮัวก็เก็บอาการไม่อยู่แล้วปล่อยเสียงหัวเราะออกมา หันมาเอ่ยกับหลิวเต้าเซียง “เ้าเองก็ยังเป็แค่เด็กน้อยอายุเจ็ดขวบ”
จริงสิ หลิวเต้าเซียงลืมเื่นี้ไปชั่วขณะ
นางคิดเสมอว่าตัวเองเป็ผู้ใหญ่ จนลืมไปว่าตอนนี้อยู่ในร่างของเด็กน้อยที่อายุเพียงแค่เจ็ดขวบ
จางกุ้ยฮัวเห็นว่าบุตรสาวคนรองมีท่าทีแข็งเกร็งและหน้าเหวอ จึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างมีความสุขขึ้นไปอีก “เอาเถอะ รีบบอกแม่เร็วเข้า เ้าไปเก็บเด็กน้อยที่ไหนมาได้”
หลิวเต้าเซียงเลือกที่จะไม่ถือสาแม่ผู้แสนดี
“อืม ข้าพาเด็กน้อยนั่นเล่นอยู่ข้างโรงเตี๊ยม รอจนคนที่บ้านนางมาหาเจอ ก็คืนให้กับเขาไป จากนั้น คนบ้านนั้นก็ให้รางวัลข้าเป็เงินหลายเหรียญ มีคนให้มาสองคน หนึ่งในนั้นคือแม่ของเด็กน้อยคนนั้น ให้ข้ามาหนึ่งพวง แล้วยังมีอีกคนให้ข้าเป็เศษเงิน ข้าซื้อแป้งมาหนึ่งกิโลกรัม พุทราจีนครึ่งกิโลกรัม น้ำตาลแดงครึ่งกิโลกรัม แล้วก็มีเชือกแดง แม่ ยังมีเงินเหลืออีกหลายเหรียญ กลับไปข้าค่อยให้ท่าน วันนี้เรานั่งรถเข็นวัวกลับไปกันเถอะ”
หลังจากพูดจบ ก็ชูคอกไม้ไผ่ที่มีลูกไก่สิบตัว แล้วเอ่ย “แล้วยังมีลูกไก่สิบตัว ป้าหลี่ซานเสิ่นรับปากแล้ว ให้ข้าแอบไปเลี้ยงไก่บ้านนางได้ พ่อเองก็ทำรังไก่ให้ข้าเรียบร้อย”
จางกุ้ยฮัวทอดถอนใจเมื่อได้ฟัง บุตรสาวคนรองนั้นโชคดีเหลือเกิน เคยมีลูกสะใภ้ในหมู่บ้านที่แอบทำเช่นนี้ เพียงแต่ตัวของนางนั้นไม่มีความกล้ามากพอ อีกอย่างคือไม่มีเวลาไปหาอาหารไก่จากข้างนอก ยิ่งไปกว่านั้นหลิวฉีซื่อมักจะเอาเก้าอี้เอนมานั่งตรงบันไดอาคารหลัก หากในลานบ้านมีความเคลื่อนไหวอันใด ไม่มีทางหลุดรอดไปจากสายตาของนางแน่ แค่จางกุ้ยฮัวคิดจะเก็บเงินส่วนตัวไว้ พบอกได้คำเดียวว่า ยาก!
นอกจากนี้ เื่ที่เด็กมักจะหายตัวไปเพราะโจรอาศัยจังหวะใน่ที่คนเยอะชุลมุนลักพาตัว ทำให้จางกุ้ยฮัวเชื่อคำพูดของหลิวเต้าเซียงที่ได้พบเด็กน้อย เพราะวันนี้เป็วันตลาดใหญ่ ผู้คนสัญจรเดินทางมาจากทั่วสารทิศ ล้วนมาเพื่อจับจ่ายซื้อของไปเซ่นไหว้
ในปีนี้ตระกูลหลิวก็เช่นกัน หลิวฉีซื่อให้เงินจางกุ้ยฮัวมาซื้อเงินกระดาษ ตำลึงทองกระดาษพับ ตำลึง เทียบ ประทัด กระดาษวางหน้าหลุม
กระดาษวางหน้าหลุมเป็ดอกไม้กระดาษที่ทําจากกระดาษสีขาวพับเป็พวงผูกติดกับไม้ไผ่ และจะเสียบไว้เหนือหลุมศพ
“เงินที่เหลือเ้าเก็บไว้ให้ดีเถิด ไว้กลับไปจะให้พ่อเ้าสอนการคิดคำนวณให้พวกเ้าสองพี่น้อง ต่อไปจะได้ไม่เสียรู้”
“การคำนวณ?” หลิวเต้าเซียงเพิ่งนึกได้ หลิวซานกุ้ยไม่เคยสอนตนเองมาก่อน โชคดีที่มารดาของตนนึกขึ้นได้ มิเช่นนั้นหากเกิดเหตุการณ์ขึ้นหลายครั้ง คงต้องถูกล่วงรู้แน่นอน
“ใช่แล้ว แม่เองก็ได้พ่อสอนมา มิเช่นนั้นเหตุใดย่าของเ้าจึงกล้าไว้ใจให้แม่มาซื้อของในตำบลเล่า?”
ที่แท้ก็เป็เช่นนี้ หลิวเต้าเซียงสงสัยมาโดยตลอด เหตุใดย่าจึงชอบสั่งให้จางกุ้ยฮัวเป็คนออกมาซื้อกับข้าว
“ท่านแม่เป็คนดีที่สุด ใช่แล้ว แม่ แป้ง พุทราจีนกับน้ำตาลแดง อย่าให้ย่ากับอาเล็กรู้เื่เชียว แล้วยังมีปู่ด้วย ห้ามให้เขารู้เด็ดขาด”
หลิวเต้าเซียงกลัวว่าจางกุ้ยฮัวจะหยิบของเหล่านี้ออกมา จึงรีบบอกกับนางก่อน
จางกุ้ยฮัวนึกถอนหายใจ กระทั่งเด็กสาวเจ็ดขวบก็คิดเพื่อครอบครัวตนเอง น่าชิงชังที่นางกับหลิวซานกุ้ยซึ่งเป็พ่อแม่ กลับไม่เคยคิดจะทำเพื่อลูกตนเองเช่นนี้
“ต่อไป เงินที่พวกเ้าหามาได้ พวกเ้าเก็บไว้เองเถิด นิสัยของย่าเ้า… พ่อแม่จะไม่มีทางทำเช่นนั้นแน่”
หลิวเต้าเซียงเข้าใจคำพูดของจางกุ้ยฮัว รู้ว่าความคิดของนางเปลี่ยนไปแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าวิธีที่จะใช้ได้ผลดีที่สุดกับพ่อแม่ ก็คือการลงมือทำให้เห็น
“แม่ งั้นของเหล่านี้เก็บไว้ที่ข้าเถิด รอจนกลับถึงบ้าน ค่อยหาที่ซ่อนไว้”
“เ้าถือไหวหรือ? ให้แม่ช่วยเ้าหิ้วบ้างเถิด”
“ไม่เป็ไร ข้าถือเองดีกว่า” หลิวเต้าเซียงเชื่อในระบบความปลอดภัยของห้วงมิติ ดีกว่าปล่อยให้จางกุ้ยฮัวถือไว้เอง แบบนั้นจะเป็จุดสังเกตได้ง่ายเกินไป
จางกุ้ยฮัวนั่งพักอยู่ชั่วครู่ เมื่อรู้สึกว่าดีขึ้นแล้วก็ให้หลิวเต้าเซียงเฝ้าของในตะกร้าให้ดี ส่วนตนเองก็อุ้มหลิวชุนเซียงเข้าไปในโรงปัก
หลิวเต้าเซียงมองผู้เป็แม่ที่กำลังเดินอย่างยากลำบากพลันทอดถอนใจ ในฐานะผู้หญิง ชาตินี้จางกุ้ยฮัวได้เกิดมาเจอกับความตรากตรำไม่น้อย นางกำหมัดแน่น เกิดมาเป็แม่ผู้แสนดีของหลิวเต้าเซียง ต่อไปจำต้องได้นั่งเกี้ยว เข้าบ้านไปก็มีคนรับใช้คอยปรนนิบัติให้ได้
-----