ทุกเมืองและมณฑลของราชวงศ์ต้าเหยียน ยกเว้นเมืองมู่เหย่ กิจการการค้าของตระกูลจ้านถูกกีดกัน ตระกูลจ้านกลับมิได้ต่อต้านขัดขืนแต่อย่างใด ซึ่งเกินความคาดหมาย พวกเขาพากันถอนกิจการของตระกูลจ้านในเมืองและมณฑลต่างๆ กลับมารวมตัวกันทั้งหมดในเมืองมู่เหย่ หาก้าทำธุรกิจการค้ากับตระกูลจ้าน ก็จำเป็ต้องมาที่เมืองมู่เหย่ด้วยตนเอง
อีกด้านหนึ่ง ตระกูลจ้านพยายามอย่างเต็มที่เพื่อขยายกิจการออกไปนอกราชวงศ์ต้าเหยียน เม็ดโอสถของตระกูลจ้านได้รับความนิยมมากจากผู้ฝึกฌานระดับต้นและเป็ที่โปรดปรานของบุรุษ
ในแผ่นดินใหญ่แห่งนี้ ผู้ฝึกฌานระดับต้นมีสัดส่วนมากกว่าเก้าสิบส่วนและเป็ผู้ชายเสียครึ่งหนึ่ง ดังนั้นขอเพียงสถานที่ที่มีผู้คนอาศัยอยู่ ตระกูลจ้านก็มิต้องกังวลเื่ธุรกิจการค้า
ทุกแห่งที่ตระกูลจ้านไปก็จะร่วมมือกับบรรดาตระกูลและกลุ่มอำนาจที่มีอิทธิพลมากที่สุดในพื้นที่ ไม่จำหน่ายโอสถด้วยตนเอง นำเสนอให้ตัวแทนจัดจำหน่ายเท่านั้น เมื่อเป็เช่นนี้ธุรกิจของตระกูลจ้านมิเพียงแต่ไม่ถูกกีดกันจากกลุ่มอำนาจในท้องถิ่นเท่านั้น ยังได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากกลุ่มอำนาจต่างๆ ในพื้นที่อีกด้วย ล้วน้าเป็คู่ค้าของตระกูลจ้าน เพื่อผลประโยชน์แล้ว อย่างอื่นทั้งหมดล้วนของปลอมทั้งสิ้น
ในแผ่นดินใหญ่นี้ สิ่งที่ไม่ต้องกังวลมากที่สุดคือการขนส่ง เนื่องจากมีการใช้กระเป๋าจักรวาลและแหวนจักรวาล ทำให้การขนส่งสะดวกสบายยิ่งนัก การค้าของตระกูลจ้านล้วนเป็กองทัพมด หลักแหล่งไม่แน่นอน ควบคุมยากลำบาก ยกเว้นพวกเขาเป็ฝ่ายมาหาตระกูลในท้องถิ่นด้วยตนเอง มิฉะนั้นแล้วจะหาตัวพบยาก
ขณะตระกูลจ้านอยู่ระหว่างการเปลี่ยนแปลงวิธีดำเนินการอยู่ จ้านอู๋มิ่งรอจนกระทั่งเจี่ยชิงมาถึง จุดหมายปลายทางของจ้านอู๋มิ่งมิใช่เมืองหลวงของราชวงศ์ต้าเหยียน แต่เป็เมืองหนานเจา เมืองหลวงของราชวงศ์หนานเจา เพื่อนบ้านของต้าเหยียน
เมืองหนานเจาตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของราชวงศ์ต้าเหยียน อยู่ติดกับราชวงศ์ต้าเหยียน มีศึกสู้รบเป็ครั้งคราว ผลัดกันแพ้บ้าง ชนะบ้าง แต่ไม่มีข้อห้ามการค้าระหว่างสองประเทศ พ่อค้าจากทั้งสองประเทศค้าขายกันเป็การส่วนตัว ามักเป็โอกาสดีของการแสวงโชคลาภ ตระกูลจ้านก็สร้างรายได้มหาศาลจากากับต่างแคว้นของราชวงศ์ต้าเหยียน ตระกูลจ้านขายเม็ดโอสถะเิให้กองทัพ
เหตุผลที่จ้านอู๋มิ่งเลือกเมืองหนานเจา เป็เพราะเมืองมู่เหย่ส่งข่าวมาว่าแคว้นหนานเจาจะจัดงานชุมนุมใหญ่ของแปดสำนักนิกายเพื่อคัดเลือกศิษย์ที่จัดขึ้นทุกยี่สิบปี นี่คืองานประชุมครั้งยิ่งใหญ่ที่ทำให้คนหนุ่มสาวมากความสามารถทั่วหล้าพากันตื่นเต้น
แปดสำนักนิกายหมายรวมถึงสี่สำนักชั้นนำ ได้แก่ สำนักิญญาเร้นลับ สำนักิญญา์ สำนักเมฆาอาทิตย์อัสดงและสำนักอสูรโชคชะตา ผู้ที่สี่สำนักใหญ่นี้้าคัดเลือกมิมีผู้ใดที่ไม่ใช่สุดยอดอัจฉริยะ สำนักที่เหลือได้แก่ สำนักกระบี่ิญญา สำนักบริบาลเดรัจฉาน สำนักบริบาลปีศาจและสำนักเบญจพิษ ถึงแม้จะไม่เทียบเท่าสี่สำนักใหญ่ แต่กลับเปี่ยมพลังอำนาจยิ่งใหญ่ต่อแผ่นดินใหญ่แห่งนี้ ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าสามแคว้นของมหาจักรพรรดิ
ไม่ว่าได้เข้าเป็ศิษย์ของสำนักใดสำนักหนึ่ง เส้นทางการฝึกฌานบ่มเพาะพลังในอนาคตล้วนราบรื่นยิ่ง ต่อให้เป็แค่ลูกศิษย์สายนอกก็ตาม ในอนาคตการเป็ราชันาก็เป็เื่ปกติยิ่งนัก
จ้านอู๋มิ่งที่แม้แต่พลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ก็มิมี กลับ้าไปชมความครึกครื้น ทำให้ผู้คนรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง จ้านอู๋มิ่งก็มิได้อธิบายอะไรมากมายนัก เดินทางท่องเที่ยวคล้ายชมวิวทิวทัศน์ตลอดทางก็มิปาน นั่งรถเทียมสัตว์อสูรวิหคกระจอกสีขาวคันหนึ่ง คนขับเป็ราชันาผู้หนึ่งพร้อมผู้พิทักษ์ราชันาผู้หนึ่ง เพียงพอที่จะปัดเป่าโจรผู้ร้ายเจตนามิดีบนเส้นทางสัญจร ลองคิดดูว่าคนประเภทใดที่สามารถทำให้ราชันากลายเป็บ่าวได้บ้าง แน่นอนว่ายังมีบุตรหลานจากตระกูลใหญ่จำนวนมากมายอยู่บนเส้นทาง ที่แต่ละคนล้วนแล้วแต่มากฝีมือ มีแต่โดดเด่นกว่า มิมีด้อยกว่าจ้านอู๋มิ่งทั้งสิ้น จึงทำให้การเดินทางของจ้านอู๋มิ่งไม่สะดุดตาจนเกินไป
การคัดเลือกศิษย์ครั้งใหญ่ของแปดสำนักนิกายใหญ่ มีสาขาอยู่ในสามแคว้นมหาจักรพรรดิ แคว้นชางเหยียนมีเพียงเมืองหนานเจาแห่งเดียวเท่านั้น ดังนั้นผู้เยาว์ผู้เปี่ยมพร์และคุณสมบัติทั่วทั้งอาณาจักรชางเหยียนจึงล้วนมารวมตัวกันในเมืองหนานเจา
โรงเตี๊ยมในเมืองหนานเจาจึงล้วนมีคนพักจนเต็มแล้ว หัวข้อสนทนาของทุกคนล้วนวนเวียนเกี่ยวกับการคัดเลือกศิษย์ของสำนักใหญ่
จ้านอู๋มิ่งโชคดียิ่งนัก เนื่องเพราะตระกูลจ้านมีสถานที่ดำเนินกิจการลับแห่งหนึ่งในหนานเจา พ่อค้าหนานเจาแสวงหากำไรเงินทอง เมืองหนานเจาเพื่อเตรียมรับมือการโจมตีของกองทัพราชวงศ์ต้าเหยียนที่มีเม็ดโอสถะเิเพลิง ดังนั้นการลอบสั่งซื้อโอสถะเิเพลิงกับตระกูลจ้านอย่างลับๆ มีเหตุผลของมันอยู่
“เมืองหนานเจาช่างครึกครื้นนัก!” หลิ่วหว่านอวี๋ตื่นเต้นสุดเปรียบปานเหมือนวิหคถูกปล่อยให้โบยบินก็ปาน สุดท้ายก็ได้ห่างไกลจากเมืองหลวง และยังได้มาร่วมงานชุมนุมใหญ่แสนครึกครื้นเช่นนี้อีกด้วย
“พวกท่านมิต้องติดตามใกล้ชิดเกินไป ให้พวกเราได้ประทักษ์แก่สายตา ดูผู้เปี่ยมพร์จากทุกสารทิศด้วยตนเอง” จ้านอู๋มิ่งหันหน้าสั่งเหยียนอี้และเจี่ยชิง
เหยียนอี้รับคำอย่างเงียบสงบ แต่เจี่ยชิงรู้สึกไม่วางใจอยู่บ้าง เขาไม่เหมือนเหยียนอี้ ซึ่งทราบความแข็งแกร่งของจ้านอู๋มิ่งกระจ่างเช่นนั้น แต่เมื่อเห็นหลิ่วหว่านอวี๋เบิกบานใจเช่นนี้ ก็มิคิดกวนใจทำให้ทั้งสองคนหมดสนุก
มองเมืองหนานเจาตรงหน้าแล้ว จ้านอู๋มิ่งอดมิได้ที่จะรู้สึกสะท้อนใจ ยังคงเป็เมืองหนานเจาเช่นเดิม แต่ทุกอย่างล้วนแตกต่างจากเดิม งานชุมนุมใหญ่ของสำนักต่างๆ ที่ครั้งหนึ่ง เขาเป็ได้เพียงผู้เข้าชมเท่านั้น ผู้เข้าชมที่ถูกดูแคลนและเหยียบย่ำรังเกียจ แม้กระทั่งคุณสมบัติลงชื่อเข้าร่วมก็มิมีด้วยซ้ำ จ้านอู๋มิ่งในวันนี้ ้าเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตที่เคยเป็ในอดีตด้วยจุดเริ่มต้นที่โชติ่มากสีสัน
วิถีแห่งการฝึกฌานบ่มเพาะพลังชีวิต บำเพ็ญเพียรเสริมดวงชะตาเพื่อหล่อเลี้ยงธาตุแห่งชีวิตและโชคชะตา มีเพียงเติมเต็มทุกสิ่งแล้วจึงเป็ชะตาชีวิตที่สมบูรณ์แบบ ยิ่งมรรคาแห่งชะตาชีวิตอยู่ที่การ่ชิงดวงชะตาที่ฟ้าดินกำหนด ดวงชะตาแห่งฟ้าดินมักเจตนาเพิ่มในร่างบุคคลที่ฟ้าดินกำหนด ดังนั้นขณะที่ข้าบดขยี้เหล่าบรรดาอัจฉริยบุคคลที่ฟ้าดินกำหนดด้วยพลังสูงส่งไร้เทียมทานของตนเอง ดวงชะตาที่ฟ้าดินกำหนดก็จะย้ายจากร่างของผู้อื่นถ่ายทอดมาที่ร่างของตน นี่คือวิถีทางแห่งการ่ชิงโชคชะตา การชุมนุมของเหล่าบรรดาอัจฉริยะครั้งนี้ เป็โอกาสที่ดีที่สุดในการ่ชิงดวงชะตาฟ้ากำหนด ดังนั้นจ้านอู๋มิ่งจึงมิคิดซ่อนเร้นประกายอีกต่อไปแล้ว
เมืองหนานเจาครึกครื้นเป็พิเศษ ราชันหนานเจาสนใจและเอาใจใส่งานชุมนุมใหญ่ครั้งนี้อย่างยิ่ง สำหรับราชวงศ์ใดๆ ก็ตามล้วนถือเป็การได้รับเกียรติอย่างหนึ่ง ภายในเมืองไม่มีข้อจำกัดการสัประยุทธ์ นี่เป็ข้อกำหนดของแปดสำนักนิกายใหญ่ ถ้าหากแม้กระทั่งการต่อสู้บนท้องถนนก็ยังเอาตัวไม่รอด บุคคลเช่นนี้ไม่คู่ควรเป็ศิษย์ของแปดสำนักนิกายใหญ่ แต่เพื่อความเป็ธรรม นักบ่มเพาะขั้นเหนือราชันาขึ้นไปถูกห้ามมิให้ลงมือ ผู้ที่ฝ่าฝืนสามารถถูกสังหารได้โดยตรง นี่คือเหตุผลที่จ้านอู๋มิ่งรู้สึกว่าไม่จำเป็ต้องให้เหยียนอี้และคนอื่นๆ คอยติดตาม ต่อให้เกิดเื่ขึ้นก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้
“หลีกทาง หลีกทาง…” เสียงตวาดเสียงหนึ่งดังลั่นขึ้น จ้านอู๋มิ่งหันกลับไปดู ก็เห็นรถเทียมสัตว์พาหนะกีบดำคันหนึ่งห้อตะบึงตรงมาราวเหินบิน โดยไม่แยแสสนใจผู้คนที่อยู่เต็มท้องถนน เขาอดที่จะขมวดคิ้วขึ้นมิได้ แต่ก็ยังดึงตัวหลิ่วหว่านอวี๋ให้หลีกทาง
“องค์ชายถูเหยียนที่หยิ่งผยองจริงๆ ที่นี่มิใช่แคว้นถูเหยียนของเ้าสักหน่อย” ได้ยินเสียงเ็าดังขึ้น บุรุษร่างแข็งแกร่งดุจเจดีย์เหล็กผู้หนึ่งยืนอยู่บนหัวถนน กระบองเหล็กขนาดใหญ่ตีกระหน่ำแรงๆ ครั้งหนึ่ง
“ตูมมม…” เศษหินแตกกระจายเกลื่อนถนนสายหนึ่ง พุ่งตรงไปที่สัตว์พาหนะกีบเท้าดำที่ห้อตะบึงมา
“ปาจี๋ คิดไม่ถึงว่าอันธพาลอย่างเ้าก็กล้ามาร่วมสนุกที่นี่ด้วย” เสียงโกรธเคืองดังมาจากภายในรถเทียมสัตว์พาหนะ แสงสีดำชั้นหนึ่งปรากฏขึ้นโดยรอบรถเทียมสัตว์พาหนะ สกัดกั้นเศษหินที่พุ่งลอยมาทั้งหมดจนร่วงหล่นหมดสิ้น สัตว์พาหนะกีบเท้าดำทั้งสี่ตัวถูกกดดันด้วยสภาวะพลังเช่นูเาบรรพตของชายผู้แข็งแกร่ง ถึงกับยืนขึ้นมาทั้งตัว รถเทียมสัตว์พาหนะจึงหยุดชะงักลงบนถนนในลักษณะนี้
“อาวุธจิติญญา!” จ้านอู๋มิ่งกลืนน้ำลายคำหนึ่ง สำหรับเขาในชาติภพที่แล้วอาวุธจิติญญาอาจจะไม่นับเป็อะไรได้ แต่เวลานี้ในใจเขากลับรู้สึกอิจฉา รถเทียมสัตว์พาหนะกีบดำคันนี้กลับเป็อาวุธวิเศษชิ้นหนึ่งจริงๆ สามารถสร้างโล่ป้องกันการโจมตีจากภายนอกขึ้นเองโดยอัตโนมัติ
“ถูเหยียนฉี เ้าสามารถเป็ตัวแทนของแคว้นถูเหยียนได้หรือไม่? หากเ้าสามารถเป็ตัวแทนได้ เช่นนั้นหน้าตาของถูเหยียนก็เสียหายมิมีชิ้นดีไปเนิ่นนานแล้ว ผู้คนบริสุทธิ์บนถนนทั้งสายนี้ รถเทียมสัตว์พาหนะกีบดำของเ้ากำลังอาละวาดพุ่งทะยานโดนตรง ไม่กลัวว่าจะทำร้ายถูกผู้บริสุทธิ์บ้างเลยหรือ? ไม่น่าแปลกใจที่ประชาชนในแคว้นถูเหยียนของเ้าไม่มีความสุข ผู้คนต่างพากันอพยพทิ้งถิ่นฐานบ้านช่องไปพลัดถิ่น ดูเหมือนก็เพราะพวกเ้าที่เป็ชนชั้นสูงที่วันๆ เอาแต่เสพสุขเกษมสำราญกลุ่มนี้ เป็ผลพวงจากการเสพเมถุนมัวเมาในกามราคะนั่นเอง” ชายร่างใหญ่ด่ากราดขึ้นด้วยสีหน้าโกรธเคืองรังเกียจ
“แปะ แปะ แปะ…” เสียงปรบมือดังลั่นขึ้นทำลายความตึงเครียดบนท้องถนน
“พูดได้ประเสริฐ! พี่ชายปาจี๋ท่านนี้ เสร็จเื่แล้วข้าจะเลี้ยงสุราเ้า พูดได้ประเสริฐยิ่งนัก!” จ้านอู๋มิ่งหัวเราะแล้ว ไม่คิดว่าจะเจอบุรุษห้าวหาญเช่นนี้บนท้องถนน นับเป็ทรัพยากรบุคคลผู้หนึ่ง
“เ้ารนหาที่ตาย!” เสียงในรถเย็นเยือกสุดเปรียบปาน รังสีสังหารเย็นะเืแผ่จากตัวรถ ผนึกร่างจ้านอู๋มิ่งและปาจี๋แต่ไกล
“แน่จริงก็พุ่งตรงมาทางนายใหญ่ปาจี๋อย่างข้า ลงมือกับคนธรรมดาที่พลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ก็ไม่มีนับเป็ตัวอะไร!” ปาจี๋สะบัดกระบองเหล็กครั้งหนึ่ง สภาวะพลังรุนแรงสายหนึ่งแผ่ออก ครอบคลุมรถเทียมสัตว์พาหนะกีบดำทั้งคัน หักล้างรังสีฆ่าฟันที่แผ่ออกจากรถจนหมดสิ้น
“ในเมื่อเป็เช่นนี้ ก็จัดการเด็ดหัวอันธพาลอย่างเ้าก่อน แล้วค่อยฆ่ามดปลวกที่ะโโลดเต้นตัวนี้ก็แล้วกัน!”
“บูมมม…” ประตูรถเทียมสัตว์พาหนะเปิดออกผาง แสงสีดำพุ่งสายหนึ่งวาบออกมาดั่งอสนีบาต คนภายในรถรวดเร็วถึงขีดสุด จ้านอู๋มิ่งเองก็รู้สึกประหลาดใจ
“เปรี้ยง…” เสียงโลหะกระทบกันดังยาวนาน คลื่นเสียงดูเหมือนจะฉีกกระชากอากาศก็ปาน ปาจี๋ที่แข็งแกร่งถอยหลังไปหลายก้าว แสงสีดำนั้นถูกสกัดกั้นถอยกลับรถเทียมสัตว์พาหนะ เวลานี้จ้านอู๋มิ่งจึงพบว่าคนภายในรถกลับเป็คนแคระผู้หนึ่ง หน้าตาดูคล้ายอายุราวๆ แปดเก้าขวบ แต่น้ำเสียงกลับเป็ผู้ใหญ่ มือเท้าแข็งแรงกำยำยิ่ง สัดส่วนขัดแย้งแตกต่างกับใบหน้าโดยสิ้นเชิง
“น่าอับอายขายหน้าจริงๆ ราชวงศ์ของแคว้นถูเหยียนมีสายเืเช่นนี้เอง อายุสิบกว่าปีแล้วยังเติบโตไม่เท่าลิงป่าเถื่อน ไม่มีอารยะ” ปาจี๋ดูไปสัตย์ซื่อยิ่งนัก แต่กล่าววาจาโหดร้ายเหนือธรรมดา เพียงแค่ประโยคนี้คนแคระบนรถเทียมสัตว์พาหนะก็บันดาลโทสะอีกครั้ง ลำแสงสีดำเปล่งประกายอีกครา ทะยานร่างอีกครั้ง เมื่อครู่ถูเหยียนฉีไม่ได้ครองความได้เปรียบใดๆ ถึงแม้เขาจะใช้ความเร็วถึงขีดสุดเพื่อเพิ่มพลังการโจมตีให้มากขึ้นแล้ว แต่การป้องกันตัวด้วยกระบองหนักของปาจี๋ก็ทรงพลังมากเช่นกัน ไม่ได้ตกเป็รองเลย
คราวนี้ถูเหยียนฉีไม่ปะทะกันซึ่งๆ หน้าอีกแล้ว เขาทะยานร่างหมุนวนรอบตัวปาจี๋ดุจิญญาร้าย คอยโจมตีเป็ระยะๆ ปาจี๋เสียเปรียบด้านความเร็ว ถึงแม้เขาจะห้าวหาญมากก็ตาม กลับติดตามความเร็วของถูเหยียนฉีไม่ทัน ถูกบังคับให้หมุนตัวตามไปด้วย สถานการณ์อันตรายมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
“ท่านพี่มิ่ง กระบวนท่าของคนแคระนี้สะกดข่มชายร่างใหญ่ไว้ ข้าอยากช่วยชายร่างใหญ่คนนั้น” หลิ่วหว่านอวี๋มีความรู้สึกที่ดีต่อปาจี๋มาก นางเกลียดชังความชั่วร้ายของคนแคระผู้นั้นยิ่งนัก นอกจากนี้ถ้าชายร่างใหญ่พ่ายแพ้ สุดท้ายคนแคระจะต้องลงมือกับจ้านอู๋มิ่ง มิสู้นางลงมือตอนนี้แก้ปัญหาให้อีกฝ่าย
“เขารวดเร็วเกินไป แม้ท่วงท่าของเ้าจะคล่องแคล่ว แต่ประสบการณ์การต่อสู้ยังน้อยเกินไป มิใช่คู่ต่อสู้” จ้านอู๋มิ่งคว้าหลิ่วหว่านอวี๋ไว้พูดขึ้นเบาๆ
“อา เ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าด้อยกว่ามัน เ้าไม่มีพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้เสียหน่อย” หลิ่วหว่านอวี๋ประหลาดใจ จ้านอู๋มิ่งพูดจาจริงจังยิ่งนัก แต่จ้านอู๋มิ่งไม่มีพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้นี่ จะสามารถดูข้อดีข้อด้อยออกได้อย่างไร
จ้านอู๋มิ่งยิ้มๆ กล่าวว่า “ไม่มีพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ก็ไม่มีดวงตาหรือ? แค่มองดูก็ทราบแล้ว นอกจากนี้ถ้าเกิดเ้าาเ็ขึ้นมาจะทำอย่างไร? คนที่ปวดใจยังมิใช่ข้าอีกหรือและอาวุธในมือคนแคระคนนี้ฉาบพิษร้ายแรง พิษที่ร้ายกาจอย่างยิ่ง เมื่อได้รับาเ็ขึ้นมา ผลลัพธ์จะต้องอเนจอนาถเป็แน่ ข้าจะยอมให้เ้าเสี่ยงอันตรายนี้ได้อย่างไร”
“น่าเสียดายที่ราชันาไม่ได้รับอนุญาตให้ลงมือในเมืองนี้ มิฉะนั้นจะให้ลุงอี้จัดการเขาโดยตรง” สีหน้าหลิ่วหว่านอวี๋ดูหงุดหงิด
“เ้าเป็องค์หญิงเสียเปล่า พูดถึงยอดฝีมือราชันา เ้าดูด้านนั้นสิ” จ้านอู๋มิ่งชี้ไปที่คนที่แต่งตัวประหลาดหลังรถเทียมสัตว์พาหนะ
“สี่ผู้พิทักษ์ราชันา” หลิ่วหว่านอวี๋พูดไม่ออกแล้ว ดูเหมือนว่าองค์ชายผู้นี้จะมิใช่ตะเกียงที่ขาดน้ำมัน[1]จริงๆ หากมิใช่ในเมืองไม่อนุญาตให้ราชันาลงมือ เกรงว่าทั้งสี่คนคงรุมจัดการปาจี๋แล้ว แต่เนื่องจากทราบว่าราชันาไม่อาจลงมือ ปาจี๋จึงออกหน้าท้าสู้กับถูเหยียนฉี ในฐานะหนึ่งในผู้นำกองกำลังฏของแคว้นถูเหยียน ปาจี๋้าใช้โอกาสนี้กำจัดองค์ชายผู้ดื้อรั้นคนนี้ เพียงแต่ว่าเขายังคงประเมินความแข็งแกร่งของถูเหยียนฉีต่ำไป
[1] สำนวนว่า ไร้ประโยชน์
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้