“นายท่าน ดื่มเหล้าๆ ไม่ต้องไปฟังที่พี่เม่ยเอ๋อร์พูดเพ้อเจ้อหรอกเื่ของตระกูลกู่ผมจัดการเองได้” กัวไฮว่พูดพลางเทเหล้าให้เซวียนหยวนซยงเฟิงจนเต็ม
“เอิ๊ก! แม่มันเถอะ ตระกูลกู่แล้วไงวันนี้ดื่มเหล้าพ่อหนุ่มไปแล้ว ฉันรับประกันชีวิตเธอเลยว่าไม่ตายแน่นอน” เซวียนหยวนซยงเฟิงดื่มเหล้าในแก้วจนหมดในอึกเดียวพร้อมกับพูดด้วยเสียงดัง
“นายท่าน ไม่ต้องหรอกจริงๆ ครับ ระหว่างทางมานี่ผมคุยกับพี่เม่ยเอ๋อร์แล้วตระกูลกู่มีศักยภาพไม่เลวเลย แต่ก็ไม่ถึงขั้นว่าจะไม่พูดกันด้วยเหตุผลหรอกมั้งในเมื่อเมียผมยังไม่ได้อยู่กับกู่เลี่ยบ้านั่น เื่ของเมียผมก็แก้ไขไม่ยากแล้วล่ะ” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ
“เธอไม่เข้าใจตระกูลกู่ กู่อวี้เฟิงหมอนั่นน่ะมีคนคอยปกป้องถ้าเธออยากจัดการเื่นี้ ยังมีวิธีนึงที่เธอลองดูได้” เซวียนหยวนซยงเฟิงพูดเบาๆ
“นายท่านบอกให้ฟังหน่อยว่าจะจัดการอย่างสงบยังไง ผมเองก็ไม่อยากแตะต้องพลังยุทธ” กัวไฮว่พูดขึ้นอย่างยิ้มแย้ม
“สิ่งที่ตระกูลกู่พึ่งพามากที่สุดคือกลุ่มผู้มีพลังวิเศษหัวซย่าเื่นี้ก็ไม่ใช่ความลับอะไรหรอก ถึงจะบอกว่าในหัวซย่าใครๆ ก็มีพลังวิเศษทว่าอันที่จริงตระกูลกู่เป็หัวหน้าของกลุ่มผู้มีพลังวิเศษ เื่นี้ไม่ต้องพูดอะไรมากถ้าเกิดกู่เจิ้นเหลยมีคำสั่งลงมาเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของคนในกลุ่มผู้มีพลังวิเศษก็ย่อมเชื่อฟัง” เซวียนหยวนซยงเฟิงพูดยิ้มๆ
“นายท่าน อย่ามัวอ้อมแอ้มอยู่เลย บอกมาเถอะว่าผมควรทำยังไง” กัวไฮว่พูดอย่างยิ้มแย้ม เมื่อเห็นคนอายุไล่เลี่ยกันเลียริมฝีปากเขาเองก็คอแห้งเหมือนกันเลยเทเหล้าที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาจนเต็มแล้วให้พวกเขาได้ดื่มด่ำสำราญกัน
“ถ้าบอกว่าในหัวซย่ามีคนที่สู้กับกลุ่มผู้มีพลังวิเศษได้ ก็คือค่ายเป้าหลง” เซวียนหยวนซยงเฟิงพูดอย่างยิ้มแย้ม “ฉันจำได้ว่าเธอน่าจะเป็หมอนะถ้าเธอรักษาาาั ซย่าอู๋ตี้ที่ถูกพิษมาสิบสามปีแล้วยังอดกลั้นลมหายใจไม่ตายจากไปได้ละก็ทั้งค่ายเป้าหลงจะสนับสนุนเธอเอง ตระกูลกู่ก็คงไม่กล้าทำอะไรเธอ”
“ค่ายเป้าหลง? ไม่เคยได้ยินมาก่อนแต่ที่นายท่านพูดก็น่าสนใจนะครับ ถูกพิษสิบสามปี ผมสนใจพิษแบบนี้มากเลย” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ “ขอบคุณนะครับนายท่านวันนี้อาหารใช้ได้เลย ผมไปพักผ่อนก่อนล่ะ” ในขณะที่พูดกัวไฮว่ก็ลุกขึ้นมาแล้วเดินไปทางบ้านของหูเม่ยเอ๋อร์
“ยายหนู ถ้าเธอรวบรัดเด็กนั่นได้ก็เป็ไปได้ที่จะทำให้ตระกูลหูของพวกเธอกลายเป็ตระกูลชั้นนำของเมืองหลวงได้นะอยากหรือไม่อยากยังไงก็คิดเอาเองเถอะ เด็กนี่ไม่เลวเลย ฮ่าๆ” เซวียนหยวนซยงเฟิงพูดเสร็จก็ลุกขึ้นมาเดินออกจากห้องรับแขกมุ่งหน้าไปยังห้องใต้หลังคาของตน
“ฉันจะไปหากัวไฮว่ ฉันป่วย ฉันจะให้เขาช่วยรักษาให้ฉัน” เซวียนหยวนเวยพูดด้วยเสียงดัง แล้วเดินมุ่งหน้าตามไปทางกัวไฮว่
“ผมไปด้วย พี่เถิงเฟย พรุ่งนี้ผมค่อยไปดูหลาน” เซวียนหยวนหู่พูดพลางเดินตามกัวไฮว่ไป
“พี่เม่ยเอ๋อร์ ถ้าวันนี้ฉันนอนที่บ้านพี่จะกระทบกับพี่กับหมอนั่นหรือเปล่า ถ้าเป็อย่างนี้ฉันไม่ไปด้วยแล้ว” เซวียนหยวนเชี่ยนเชี่ยนพูดยิ้มๆ
“ยายบ้า ยังจะมาล้อฉันเล่นอีก เมื่อกี้ใครบอกจะแลกความรักนะ ไปกับฉันเลยวันนี้อาจจะสมปรารถนาเธอก็ได้นะ” จากนั้นสาวๆทั้งสองก็รีบวิ่งไปที่บ้านของหูเม่ยเอ๋อร์
“พี่ พี่นี่มันเทพจริงๆ ไม่ต้องวินิจฉัยโรคก็รู้ว่าผมป่วย บนโต๊ะเมื่อกี้พี่บอกว่าจะสั่งยาให้ผมด้วยพี่ดูหน่อยสิว่าจะยังไง” เซวียนหยวนเวยพูดอย่างยิ้มแย้ม
“ฉันก็นึกว่าพวกนายมีเื่สำคัญอะไร เื่แค่นี้เองเหรอรอให้พรุ่งนี้ฉันตื่นมาฉันค่อยจัดการให้นะ” กัวไฮว่พูดอย่างยิ้มแย้ม
“อย่าเลยพี่ วันนี้เถอะ อันที่จริงผมได้ยินเื่ของพี่มาหน่อยนึงแล้วล่ะวิธีที่คุณปู่บอกอันที่จริงก็ใช้ได้อยู่นะ แต่มีความเป็ไปได้น้อย แต่ผมมีอีกวิธีไม่ทราบว่าพี่อยากลองฟังดูหน่อยไหม” เซวียนหยวนเวยพูดยิ้มๆ
“อ้อ งั้นก็ลองบอกมาสิ ฉันมีของอร่อยๆ อยู่พอดี เรากินไปคุยไปเถอะ” กัวไฮว่พูดพลางหยิบสิ่งที่ดูเหมือนเสต็กเนื้อออกมาแล้วใช้กระบี่เฟยเจี้ยนเล่มเล็กตัดออก จากนั้นก็วางไว้บนกระดาษแผ่นหนึ่งเขาหยิบชิ้นเนื้อเข้าไปในปากเซวียนหยวนเวยกับเซวียนหยวนหู่ก็หยิบไปคนละชิ้นอย่างไม่ได้เกรงอกเกรงใจ
“อร่อย อร่อยมากเลย พี่ครับ พี่บอกมาเถอะว่าพี่ยังมีของอร่อยอะไรอีกบ้างต่อไปผมจะติดตามพี่เอง” เซวียนหยวนหู่พูดเสียงดังเด็กสาวทั้งสองคนก็ถูกของกินดึงดูดมา แล้วก็ใส่ปากกันไปคนละคำ
“กัวไฮว่ นี่มันอะไรกันเนี่ย ยังมีอีกหรือเปล่า ให้ฉันอีกได้ไหม” หูเม่ยเอ๋อร์พูดออดอ้อน ส่วนเซวียนหยวนเชี่ยนเชี่ยนตรงไปตรงมากกว่านั้นเธอเอาตัวไปแนบชิดกัวไฮว่ แล้วถูหน้าอกไปบนแขนของกัวไฮว่จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
“แม่มันเถอะ เปิดกว้างจริงๆ ทดสอบความอดทนพี่เหรอ มาสิอ่อยแค่นี้ทำอะไรฉันได้หรอก” กัวไฮว่หรี่ตามองทุกคนด้วยความเพลิดเพลิน
“แค่กๆ พี่เชี่ยนเชี่ยน ดูทรงแล้วคนสวยๆ ก็ทำอะไรพี่ไฮว่ไม่ได้นะเธอออมแรงไว้เถอะ” เซวียนหยวนเวยพูดยิ้มๆ “พี่ พี่ฟังคำแนะนำผมก่อนได้ไหม”
เซวียนหยวนเชี่ยนเชี่ยนเห็นว่ากัวไฮว่ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับก็ลุกขึ้นจะออกไปทว่ากลับถูกกัวไฮว่ดึงเอาไว้ในขณะเดียวกันก็โอบหูเม่ยเอ๋อร์เอาไว้ในอ้อมอก สี่ตัวอันตราย ตัวอสรพิษฉันไม่ใช่หลิ่วซย่าฮุ่ย[1] สักหน่อยมีเนื้อมาส่งถึงหน้าบ้านแต่ไม่กินก็โง่แล้ว
“นายบอกมาเถอะ” กัวไฮว่โอบสาวสวยทั้งสองเอาไว้พร้อมกับพูดยิ้มๆสาวๆทั้งสองสลัดตัวออกด้วยใบหน้าแดงระเรื่อทว่ากัวไฮว่กลับกอดแน่นขึ้นทั้งสองจึงเลิกสลัดตัวกันไป
“พี่ไฮว่สุดยอดไปเลย ผมคิดว่าอย่างนี้นะผมเองก็รู้จักกลุ่มผู้มีพลังวิเศษหัวซย่า ผมยังรู้จักคนในนั้นด้วยยายปีศาจตระกูลหนานกงก็อยู่ในกลุ่มผู้มีพลังวิเศษ” เซวียนหยวนเวยพูดยิ้มๆ
“จะจัดการกลุ่มผู้มีพลังวิเศษจะต้องไปใช้พวกค่ายเป้าหลงเดนนรกนั่นทำไมเหล้าพี่ไฮว่อร่อยออกขนาดนั้น แถมยังมีเนื้ออร่อยๆ อีก น่าจะต้องมีของดีอื่นๆอีกแน่ พี่ไปขายของในงานประมูลแล้วได้เงินมาหลายร้อยล้านพอมีเงินอะไรก็เป็ไปได้ทั้งนั้น กลุ่มผู้มีพลังวิเศษจะมีสักกี่คนเชียวไว้ตอนนั้นจ้างทหารรับข้างมาหลายหมื่น กลุ่มผู้มีพลังวิเศษก็ไม่กล้าทำอะไรแล้วล่ะ” เซวียนหยวนเวยพูดด้วยความยิ้มแย้ม
“พี่ใหญ่ อันที่จริงพี่เวยพูดแบบนั้นแล้วผมก็คิดวิธีออกเหมือนกัน” เซวียนหยวนหู่ที่เงียบๆ อยู่ด้านข้างก็พูดยิ้มๆ “พี่ ของนี่พี่ไม่ต้องซื้อก็เอาไปจัดการพวกขี้เหล้าจากตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงสิแล้วก็ลากมันมาในค่ายรบของพวกเรา แค่นี้ก็จัดการพวกตระกูลกู่ได้แล้วล่ะไม่แน่นะว่านายท่านตระกูลกู่อาจจะชอบดื่มเหล้าพี่ใหญ่ก็ได้แล้วก็กลายมาเป็พวกเดียวกัน ถึงตอนนั้นเื่ทุกอย่างก็จะคลี่คลายแล้วล่ะ”
กัวไฮว่มองเด็กหนุ่มจากตระกูลเซวียนหยวนทั้งสองคนสองคนนี้อัจฉริยะมาก กัวไฮว่เทเหล้าให้ทั้งสองจนเต็มแก้วจากนั้นก็เขียนใบสั่งยาให้พวกเขา เซวียนหยวนเวยมีความ้ามากให้ขาจีนไปปรับสมดุลหน่อยก็พอแล้ว ส่วนหู่จื่อใช้ยาพิษในการชาตัวเองเพียงแค่คิดวิธีช่วยหู่จื่อถอนพิษก็พอแล้ว เื่ที่คนอื่นดูเหมือนว่ายากแต่ถ้ามีกัวไฮว่อยู่ก็จะแก้ไขได้โดยง่าย
“พี่ พี่คิดว่าจะทำยังไง ให้พวกผมช่วยด้วยไหมถ้าอยากเดี๋ยวพรุ่งนี้พวกเราจะทำให้กว่าครึ่งเมืองรู้จักชื่อพี่เอง” เซวียนหยวนเวยพูดยิ้มๆ
“วิธีการของนายท่านก็ไม่แย่ วิธีของพวกนายก็ได้อยู่ฉันทำทั้งสามอย่างไปพร้อมกันดีกว่า ไว้ตอนไปหาตระกูลกู่ก็รอดแล้วล่ะ” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ “ไม่ต้องช่วยหรอกเดี๋ยวฉันจะติดต่อที่ประมูล ไว้ตอนนั้นฉันให้ความสุขกับสาวๆ น้อยใหญ่ในเมืองหลวงตอนนั้นฉันก็จะเป็มิตรกับสาวๆ ทุกคนแล้วล่ะ” ฮ่าๆ
[1] เป็เื่ราวในสมัยยุคชุนชิวจ้านกั๋วหลิ่วซย่าฮุ่ยได้สวมกอดลูกสาวของอ้ายต้งแต่ไม่ได้ล่วงเกินอะไรนางต่อมาใช้อุปมาว่ามีจิตใจที่แน่วแน่มั่นคง