อาวุธลับที่ว่าก็คือยาหนิงเซียงอันมีกลิ่นเป็เอกลักษณ์จากการผสมน้ำยาหลิงอวิ้นที่มู่จื่อหลิงมักทำในยามว่าง
ยาหนิงเซียงนอกจากหนอนกู่แล้ว ยังเป็อาหารโปรดของเสี่ยวไตกู อีกทั้งมู่จื่อหลิงยังมักจะใช้เป็อาหารว่างอีกด้วย
กล่าวได้ว่ายาหนิงเซียงเป็ของดี เพียงหนึ่งเม็ดก็สามารถชะล้างสิ่งสกปรกในร่างกายมนุษย์ได้ ทำให้คนรู้สึกสดชื่น
เมื่อไม่กี่วันก่อน มู่จื่อหลิงนำออกมากินใกล้ม้าเมฆา นางคาดไม่ถึงว่าในขณะที่นางกำลังจะโยนยาเข้าปาก ยากลับถูกม้าเมฆาที่จู่ๆ ก็พุ่งตัวเข้ามาใกล้กระชากออกไป
บอกได้ว่าในเวลานั้น มู่จื่อหลิงใมากกับการที่จู่ๆ เ้าสัตว์ประหลาดตัวใหญ่ก็พุ่งเข้ามา จนร่างนางล้มลงพื้น ตัวแข็งไปด้วยความใ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้มู่จื่อหลิงประหลาดใจยิ่งกว่าก็คือ การที่ม้าเมฆาพุ่งมาคว้ายาหนิงเซียงไปจากมือของนาง เคี้ยวเข้าปากอย่างช้าๆ ทั้งยังแสดงท่าทีว่ามันยังไม่หนำใจ
ในเวลานั้น หลังจากม้าเมฆากินยาหนิงเซียงที่ฉกมาหมดแล้ว มันก็นอนราบกับพื้นอย่างเชื่อฟัง พยายามรักษาความสูงให้เท่ากับนางที่ล้มไปกับพื้น
จากนั้น มันหันมองมู่จื่อหลิงอย่างน่าสงสารด้วยดวงตาใสฉ่ำน้ำ ถึงกับแลบลิ้นอันใหญ่โตออกมา เลียมือข้างที่เคยถือยาหนิงเซียงด้วยความรักใคร่
ในเวลานั้น มู่จื่อหลิงตกตะลึงกับพฤติกรรมที่น่าใเช่นนี้ของม้าเมฆา นางมองฝ่ามือสะอาดของนาง แล้วหันมองม้าเมฆาซึ่งอยู่ไม่ไกล
ม้าไม่กินหญ้าหรือ? มันกินเข้าไปได้อย่างไร...ในเวลานั้นมู่จื่อหลิงรู้สึกกลัดกลุ้ม ทันใดนั้นนางก็รู้สึกได้ถึงบางอย่าง
หลังจากนั้น มู่จื่อหลิงหยิบยาหนิงเซียงออกมาอีกสองสามเม็ดโดยไม่รู้ตัว ด้วยจิตใต้สำนึกมีความคิดที่จะลอง
ตามที่คาดการณ์ไว้ ก่อนนางจะจับยาได้มั่น ม้าเมฆาก็พุ่งเข้ามากินจนหมดไม่มีเหลืออย่างไม่อาจอดใจได้
...นั่นเป็การค้นพบที่น่าปลาบปลื้ม
ดังนั้น หลังจากวันนั้น ม้าโเี้อย่างม้าเมฆาที่ไม่เข้าใกล้คนแปลกหน้า กลับสนิทสนมกับมู่จื่อหลิง ทั้งยังเชื่องกับนางมาก มันปรารถนาจะเดินตามก้นนางตลอดเวลา
ใครจะไปคิดว่าม้าดีที่เลี้ยงโดยฉีอ๋องจะถูกล่อลวงลักพาตัวได้ด้วยยาหนิงเซียงเพียงไม่กี่เม็ดของนาง
หากเื่นี้แพร่กระจายออกไป...ใครจะเชื่อ?
หัวแข็งดื้อรั้นอะไรกัน? ในท้ายที่สุด มันกลับคลานไปมาต่อหน้านางอย่างเชื่องช้าและเชื่อฟัง แสร้งทำตัวน่าสงสารเข้ามาอ้อนให้ลูบไล้ไม่ใช่หรือ?
เมื่อเป็เช่นนี้ ในใจของมู่จื่อหลิงจึงรู้สึกถึงความสำเร็จเล็กน้อย
ฮึ่ม ในภายภาคหน้า หากหลงเซี่ยวอวี่ใช้ความอารมณ์ร้ายของม้าเมฆาเป็ข้อแก้ตัวหาเหตุไม่ให้นางขี่ม้าอีก นางจะหลอกล่อมันด้วยยาหนิงเซียง ให้ม้าเมฆาเข้าหาและให้นางขึ้นขี่ด้วยตัวของมันเอง
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ มุมปากมู่จื่อหลิงก็ค่อยๆ ยกเป็รอยยิ้มมีความสุข ที่แฝงความภาคภูมิใจเล็กน้อย นางเดินไปหาม้าเมฆาแล้วลูบหัวมันอย่างแ่เบา
เมื่อกุ่ยเม่ยที่ตามนางออกมาจากห้องหนังสือเห็นภาพดังกล่าว ในใจของเขายิ่งรู้สึกงงงวยมากยิ่งขึ้น
ม้าเมฆาและม้าเปินเหลยมีนิสัยเ็าและสันโดษมาแต่กำเนิด แม้แต่เขากับกุ่ยหยิ่งที่เลี้ยงดูพวกมันเป็การส่วนตัว มันก็ยังไม่ยอมให้แตะต้อง
แต่ยามนี้?
ยามนี้หวางเฟยผู้นี้กลับทำได้โดยไม่เสียเหงื่อ แม้จะเป็เพียงการกระทำเล็กน้อย แต่กลับสามารถทำให้ม้าเมฆาเชื่องไม่ต่างจากลูกแมว [1] มันทั้งเลียหัว ถูไถและปฏิบัติกับนางอย่างอ่อนโยน
ช่างเป็ภาพที่น่าทึ่ง ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ!
มู่จื่อหลิงหยิบยาหนิงเซียงออกมาป้อนม้าเมฆา จากนั้นนางจึงใช้เท้าข้างหนึ่งเหยียบโกลนม้า ใช้อีกข้างถีบตัวะโขึ้นไปบนหลังม้าสูงสง่าอย่างง่ายดายด้วยการเคลื่อนไหวรวดเร็วว่องไว
ั้แ่นางได้นอนบนเตียงหยกเหมันต์ทุกคืน ในยามมู่จื่อหลิงตื่นขึ้นมา นางมักรู้สึกว่าร่างกายของนางผ่อนคลายและเบามาก
แม้แต่การเดินก็รู้สึกแ่เบาและรวดเร็วขึ้น ราวกับนางจะสามารถลอยขึ้นไปได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามแม้แต่น้อย
เนื่องจากเื่นี้ มู่จื่อหลิงจึงใช้ระบบซิงเฉินตรวจสอบร่างกายของนางอย่างละเอียด ก่อนพบว่าร่างกายของนางดีขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า กระดูกของนางมีความคล่องตัวยืดหยุ่น ไม่ได้อ่อนแอเหมือนในยามที่เพิ่งเดินทางข้ามภพมาอีกแล้ว
การค้นพบที่น่าประหลาดใจนี้ ทำให้มู่จื่อหลิงสงสัยเป็อย่างมาก
อย่างไรก็ตาม มู่จื่อหลิงในยามนั้นไม่ได้คิดอะไรมาก นางคิดเพียงว่าเตียงหยกเหมันต์มีผลทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นเท่านั้น
ท้ายที่สุดแล้วตามตำนานเล่าขาน เตียงหยกเหมันต์เย็นเป็ของดีสำหรับการฝึกวรยุทธ์ เป็สิ่งเหนือจินตนาการของทุกคน
แต่มู่จื่อหลิงเข้าใจเพียงว่า อาจเป็เพราะเหตุผลด้านสุขภาพของนาง หลงเซี่ยวอวี่ถึงย้ำนางให้นอนบนเตียงหยกเหมันต์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าก่อนที่เขาจะจากไป
......
มู่จื่อหลิงหันไปสั่งกุ่ยเม่ยที่ออกมาด้วยกันว่า “กุ่ยเม่ยนำทางไป!”
“ขอรับ!” ทันใดนั้นกุ่ยเม่ยก็ฟื้นจากความประหลาดใจอันไร้ที่สิ้นสุด เขาจริงจังขึ้นเล็กน้อย ะโขึ้นม้าธรรมดาอีกตัวที่อยู่ไม่ไกลโดยไม่ต้องให้พูดซ้ำ
จากนั้น เขาก็สะบัดแส้ในมือ ะโเสียงดัง ควบม้าออกไป......
-
กุ่ยเม่ยนำไปตลอดทาง ทั้งสองเร่งฝีเท้าโดยไม่หยุดพัก
ในไม่ช้า พวกมู่จื่อหลิงก็มาถึงที่หมาย
บนเขาโฮ่วซานแห่งเมืองหลงอัน
ป่าตรงนี้ถือเป็สถานที่เร้นลับ ไม่มีแม้แต่ทางเดิน
โดยรอบมีวัชพืชขึ้นรก ต้นไม้เขียวชอุ่มปกคลุมสถานที่นี้อย่างแ่า
ในที่ลับนี้เองที่เบาะแสของแหล่งที่มาของโรคระบาดถูกค้นพบ...เป็ถ้ำขนาดใหญ่ที่ยากต่อการพบเจอ
ยามพวกมู่จื่อหลิงมาถึง สิ่งกีดขวางอย่างกิ่งไม้ใบหญ้าที่ปกคลุมปากทางเข้าถ้ำได้ถูกจัดการไปหมดแล้ว
หลินเกาฮั่นและเด็กชายสองคนรออยู่ไม่ไกลจากทางเข้าถ้ำ
สิ่งที่ทำให้มู่จื่อหลิงงงคือ นอกจากพวกหลินเกาฮั่นสามคนแล้ว ยังมีเ้าหน้าที่และทหารธรรมดาอีกสองสามคนซึ่งยังคงกำจัดวัชพืชอยู่
ยามมองไปที่เ้าหน้าที่และทหารปวกเปียกเ่าั้ที่ไร้ความสามารถแม้แต่วัชพืชก็ไม่อาจกำจัดได้ ใบหน้ามู่จื่อหลิงก็มืดมน นางพูดไม่ออก
สำหรับเื่ใหญ่เช่นนี้ เหตุใดชายตุ้งติ้งอย่างหลี่ซินหย่วนจึงส่งคนเหล่านี้มา?
มู่จื่อหลิงแอบเดาว่า ในทุกวันนี้ชายตุ้งติ้งผู้นั้นคงไม่นำคนเหล่านี้ไปค้นหาด้วยใช่ไหม? เป็เช่นนี้ถึงได้ใช้เวลาหลายวันในการตรวจสอบ?
อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่เหมาะสม
หลังจากถามกุ่ยเม่ย มู่จื่อหลิงพบว่าเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการค้นหา ฮ่องเต้เหวินอิ้นจึงส่งองครักษ์ส่วนพระองค์มาสำรวจูเาโดยตรง
องครักษ์ส่วนพระองค์ได้รับการคัดเลือกมาอย่างดีจากกองทัพ พวกเขาทั้งหมดล้วนแข็งแกร่ง กองทหารชั้นยอดยังต้องใช้เวลาหลายวันในการค้นหา นับประสาอะไรกับเ้าหน้าที่และทหารธรรมดา
ต้องรู้ว่าองครักษ์ส่วนพระองค์เป็องครักษ์ที่อยู่ข้างกายฮ่องเต้ พวกเขาจะไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากฮ่องเต้ ครั้งนี้ถือเป็ข้อยกเว้น
ยามนี้เมื่อเหล่าทหารองครักษ์พบเบาะแสแล้ว หลังจากทำงานเสร็จสิ้น พวกเขาจึงกลับวังทันที
หากเป็เช่นนี้ก็สมเหตุสมผล...มู่จื่อหลิงมองสภาพแวดล้อมโดยรอบ ก่อนะโลงจากหลังม้า
ยามได้ยินเสียงดัง หมอหลวงหลินก็หรี่ตาลงชั่วขณะ แววความสุขส่องประกายในดวงตาของเขา
เพราะสิ่งที่เขาไม่คาดคิดคือ ก่อนพบแหล่งที่มาของโรคระบาด มู่จื่อหลิงกลับมีวิธีเหนือธรรมชาติในการควบคุมการระบาดของโรค
ใน่เวลานี้ เขาได้รับใบสั่งยาสำหรับควบคุมโรคระบาด ทั้งยังนำกลับไปศึกษาทบทวนหลายรอบ พบเพียงว่ายาเ่าั้เป็ยาทั่วไปที่ใช้เพื่อขจัดความร้อนบรรเทาธาตุไฟ ไม่มีอะไรวิเศษแม้แต่น้อย
ต้องรู้ว่านี่คือโรคระบาดที่ไม่อาจควบคุมได้ เพียงใช้ยาขจัดความร้อนบรรเทาธาตุไฟจะควบคุมโรคได้อย่างไร...คำถามนี้ทำให้หลินเกาฮั่นงงงวยมาก
สิ่งนี้ทำให้เขามั่นใจมากขึ้นว่ามู่จื่อหลิงสามารถแก้ไขภัยพิบัตินี้ได้จริงๆ แต่น่าเสียดายที่ั้แ่ต้นจนจบนางไม่บอกอะไรกับเขาแม้แต่คำเดียว ซึ่งทำให้หลินเกาฮั่นรู้สึกหงุดหงิดยิ่งนัก
หมอหลวงหลินรีบร้อนเข้ามาคำนับนางพร้อมความขุ่นเคือง “หวางเฟย ท่านมาแล้ว กระหม่อมรอมานานแล้ว”
มู่จื่อหลิงมองเขาอย่างเ็า “พบเบาะแสแล้ว แต่หมอหลวงหลินไม่เข้าไปตรวจสอบ ท่านจะรอเปิ่นหวางเฟยเพื่ออะไร?”
“กระหม่อมไม่กล้า ฝ่าาทรงมีรับสั่งให้กระหม่อมทำตามรับสั่งของหวางเฟยทุกประการพ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงหลินแสดงท่าทีไม่รังเกียจความเ็าเย่อหยิ่งของนาง เขาถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า “หวางเฟย ใน่ไม่กี่วันที่ผ่านมา กระหม่อมได้ปฏิบัติตามคำสั่งของท่าน แต่เกี่ยวกับโรคระบาด...”
เขาลังเลที่จะพูดและหวังเพียงว่ามู่จื่อหลิงจะเปิดเผยบางสิ่งในครั้งนี้
ทัศนคติในยามนี้ของหลินเกาฮั่น เปลี่ยนไปอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับความหยิ่งจองหองก่อนหน้านี้ ทำไมถึงเป็เช่นนี้ไปได้?
มู่จื่อหลิงเย้ยหยันอยู่ในใจ นางเข้าใจทุกอย่างทันที
ดูเหมือนว่าเ้าคนเฒ่าผู้นี้กำลังขอผลงานจากนาง ทั้งยัง้าทราบสถานการณ์โรคระบาดตามความจริง
ใช่แล้ว ใน่ไม่กี่วันที่ผ่านมา นางสั่งให้พวกเขาทำสิ่งต่างๆ มากมาย ไม่ปล่อยให้พวกเขาได้พักแม้เพียงครู่ นางจงใจใช้เื่โรคระบาดกระตุ้นความอยากรู้ของเขา ทำให้พวกเขาทำงานหนักโดยไม่บ่น
ในที่สุดก็ได้พบนางแล้ว เขาจะไม่ปฏิบัติกับนางราวตนเป็สุนัขตัวหนึ่งได้อย่างไร?
น่าเสียดายที่ไม่ว่าพวกเขาจะทำงานหนักเพียงใด เลียแข้งเลียขานางอย่างไร ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับนาง พบกับผู้ที่เป็ดั่งน้ำมันไม่เข้าเกลือ [2] นางได้แต่ตำหนิที่พวกเขาโง่ เพราะโง่จึงควรโดนหลอก
“เื่โรคระบาดอะไรหรือ?” มู่จื่อหลิงเม้มริมฝีปากอย่างเฉยเมย ยิ้มบางๆ จงใจยืดเวลา แสร้งโง่ในทันที “โอ้...ท่านกำลังพูดถึงโรคระบาด หมอหลวงหลินทำได้ดีมาก ในภายภาคหน้าเรายังต้องใช้ความพยายามอย่างไม่ลดละ”
สีหน้าหมอหลวงหลินมืดลงทันใด
ยายเด็กหน้าเหม็นผู้นี้ไม่เข้าใจจริงๆ หรือว่านางแกล้งโง่?
หมอหลวงหลินกำหมัดใต้แขนเสื้อแน่น ก่อนปล่อยออก แล้วพยายามอธิบายอีกครั้ง “หวางเฟย ท่านว่าโรคระบาด...”
แต่ใครจะรู้ ก่อนที่เขาจะพูดจบ มู่จื่อหลิงก็ี้เีเกินกว่าจะก่อกวนเขาต่อ ดังนั้นนางจึงก้าวเดินไปในถ้ำพร้อมกับกุ่ยเม่ยทันที
มู่จื่อหลิงเฉยเมยเช่นนี้ หลินเกาฮั่นได้แต่กำหมัดแน่น เขาเกือบจะแสร้งทำต่อไปไม่ไหวแล้ว
ยามเห็นมู่จื่อหลิงค่อยๆ เดินจากไป ใบหน้าชราที่เศร้าหมองของเขาก็ขุ่นมัว ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
หลินเกาฮั่นกัดฟัน สูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามอย่างเต็มที่เพื่อระงับอารมณ์ซับซ้อนที่ถูกมู่จื่อหลิงกระตุ้น
จากนั้นเขาก็ก้าวไปอย่างไม่รีบร้อน เดินตามไปช้าๆ
มู่จื่อหลิงรู้ดีว่าจากนิสัยของหลินเกาฮั่น หากเขาพบเบาะแส คนเฒ่าผู้นี้จะรีบเข้าไปตรวจสอบทันที เหตุใดเขาถึงรอให้นางมาอย่างเชื่อฟังได้เล่า?
เกิดอะไรขึ้น? ร่องรอยของความสงสัยแล่นวาบไปทั่วหัวใจของมู่จื่อหลิง เป็ไปได้ไหมว่าแหล่งที่มาของโรคเป็สิ่งที่แปลกประหลาด? หรือในถ้ำแห่งนี้จะ...
อย่างไรก็ตาม ความสงสัยในใจของมู่จื่อหลิงยังไม่ทันหมดไป
ทันใดนั้นนางก็หยุด ขมวดคิ้วเล็กน้อย กลั้นลมหายใจ ทุกลมหายใจหยุดลงทันที
ผู้ฝึกวรยุทธ์จะมีความอ่อนไหวมากที่สุด
ครู่เดียว แม้แต่กุ่ยเม่ยผู้สงบนิ่ง ไร้รอยยิ้มก็ยังขมวดคิ้วด้วยสีหน้าจริงจัง เอ่ยด้วยความกังวลเล็กน้อย “หวางเฟย...”
“อย่าเพิ่งพูด!” มู่จื่อหลิงยกมือขึ้นหยุดกุ่ยเม่ยไม่ให้ส่งเสียง
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] เชื่องไม่ต่างจากลูกแมว (温顺的小猫) เป็คำเปรียบเปรย มีความหมายว่า ทำให้สิ่งหนึ่งเชื่องและแสดงท่าทางน่ารักกับตน
[2] น้ำมันไม่เข้าเกลือ (油盐不进) เป็คำอุปมา มีความหมายว่า คนมีทิฐิ หัวแข็ง ดื้อรั้น หรือคนที่เชื่อมั่นในความคิดของตัวเองสูงมาก