วิชายุทธ์เพียงอย่างเดียวที่หลัวเลี่ย้า และยังเป็วิชายุทธ์เพียงวิชาเดียวในตอนนี้ที่หลัวเลี่ยไม่สามารถทำความเข้าใจได้ นั่นก็คือวิชามหาหลุนิ
สิ่งนี้ยังคงติดอยู่ในใจเขา
นี่เป็โอกาสที่ดี เพราะแม้แต่หมัดพญาัประจัญบานเขาก็สามารถเชี่ยวชาญได้เพียงแค่ดูคนอื่นแสดงมัน แล้วถ้าเปลี่ยนเป็วิชามหาหลุนิเล่า ทำไมจะทำไม่ได้
เป็ความจริงที่ว่า วิชามหาหลุนินั้นห่างชั้นกับหมัดพญาัประจัญบานมาก แต่มันก็เป็วิชายุทธ์ที่สร้างขึ้นโดยผู้ฝึกตนระดับทลายยุทธ์
หลัวเลี่ยสนใจเป็พิเศษ เขา้าพิสูจน์ว่าเขาจะสามารถเข้าใจวิชามหาหลุนิได้หรือไม่
ในเวลาเดียวกัน หลี่เมิ่งก็เอ่ยแนะนำการประลองนี้ “นายท่าน ท่านบรรพชนตระกูลข่งผู้นี้กำลังใช้วิชายุทธ์ชื่อว่ามหาหลุนิที่แข็งแกร่งที่สุด ซึ่งเขาเป็คนสร้างขึ้นเมื่อตอนที่พลังของเขาอยู่ในระดับทลายยุทธ์ และท่านบรรพชนวูอวิ๋นเซียนกำลังใช้วิชายุทธ์ที่เขาสร้างขึ้นเมื่อตอนที่พลังของเขาอยู่ในระดับทลายยุทธ์เช่นกัน มันเรียกว่าวิชาสลายเมฆา และวิชายุทธ์ทั้งสองล้วนมีลักษณะเฉพาะของตัวเอง”
“วิชามหาหลุนิมีพลังรุนแรงมาก อาจกล่าวได้ว่ามันสามารถทำลายโลกได้ด้วยพลังจากฝ่ามือเดียว”
“ส่วนวิชาสลายเมฆานั้นก็มีพลังที่สามารถสลายพลังจากเคล็ดวิชาต่างๆ ได้อย่างยอดเยี่ยม”
อ่า?
หลัวเลี่ยอดไม่ได้ที่จะมองไปที่หลี่เมิ่งอีกครั้งด้วยความชื่นชม
แม้ดูเผินๆ เหมือนว่าวิชายุทธ์ทั้งสองจะเป็แนวทำลายเหมือนกัน แต่ความจริงแล้วกลับมีแิไม่เหมือนกันเลย
เขาไม่ได้สนใจเื่นี้มากนัก และคอยจับจ้องไปที่วิชายุทธ์อันยอดเยี่ยมของตระกูลข่ง
ครั้งนี้หลัวเลี่ยไม่สนใจวิชาสลายเมฆา
เขาอยากเห็นว่าทำไมเขาจึงไม่สามารถเข้าใจวิชามหาหลุนิได้
เมื่อผู้แข็งแกร่งแห่งตระกูลข่งยกมือขึ้น ก็มีแสงสว่างเรืองรองปรากฏขึ้นที่ฝ่ามือของเขา ราวกับว่าฝ่ามือนี้สามารถทะลุทะลวงทุกสิ่งได้
ชิ้ง!
ผู้แข็งแกร่งแห่งตระกูลข่งส่งพลังในฝ่ามือออกไป
ใน่เวลาที่ฝ่ามือส่งพลังออกไปนั้น ผู้แข็งแกร่งแห่งตระกูลข่งก็ดูราวกับว่าเป็บุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดที่สามารถควบคุมและบังคับทุกสิ่งให้เป็ไปได้ดั่งใจ ท่าทางเช่นนี้ทำให้หลัวเลี่ยตกตะลึงกับไอพลังที่ถูกแสดงออกมา
“ไอพลัง”
“ข้าเข้าใจแล้ว กลิ่นอายจากการปล่อยพลังภายในคือระดับเชี่ยวชาญ”
“ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมตอนที่ข้าอยู่ในหอการค้าฟ้านเทียนสาขาจินหลานข้าจึงไม่อาจเข้าใจได้ เพราะข้าขาดไอพลังที่ส่งออกมาเป็พื้นฐาน และทำเพียงจดจำท่าทางการเคลื่อนไหวเท่านั้น”
“ผู้ฝึกยุทธ์ระดับทลายยุทธ์จะสร้างวิชายุทธ์ที่ให้ความสนใจกับท่วงท่าเพียงอย่างเดียวได้อย่างไร สิ่งที่สำคัญกว่าท่าทางการต่อสู้ก็คือ พลังภายใน ความเข้าใจ และความรู้สึก แต่ข้ากลับทำความเข้าใจวิชายุทธ์ของผู้อื่น และนำมาปรับใช้กับตัวเองโดยลืมพื้นฐานของวิชายุทธ์นั้นไป”
“ฮ่าๆ เมื่อเข้าใจเช่นนี้แล้ว ข้าก็สามารถฝึกวิชามหาหลุนิได้แล้ว”
หลัวเลี่ยจับใจความสำคัญของวิชามหาหลุนิได้แล้ว
เมื่อเขามองไปยังการประลองครั้งยิ่งใหญ่นี้อีกครั้ง เขาก็ไม่เห็นใครอีกแล้ว แต่กลับเห็นเพียงสิ่งที่น่าพิศวง
เขาเห็นมือหนึ่งโผล่ออกมาจากท้องฟ้า ทะลุดวงอาทิตย์ บดูเาและแม่น้ำ ผ่านสายลมและเสียงฟ้าร้อง และรอยมือที่ประทับลงมาบนพื้นโลกก็ทำให้พื้นสั่นะเื และดูเหมือนท้องฟ้าจะถล่มลงมา
ฝั่งตรงข้ามเป็อ่างสีทองขนาดใหญ่ ผืนน้ำภายในอ่างนั้นกระเพื่อมตามแรงลมทำให้เกิดเป็เกลียวคลื่น และคลื่นนั้นก็ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า และชำระล้างท้องฟ้าให้สะอาดหมดจด และดูเหมือนว่าภายในอ่างสีทองจะมีน้ำแบบไม่มีที่สิ้นสุด คลื่นน้ำพุ่งขึ้นไปบนฟ้าดั่งพยายามจะฉีกผืนฟ้า
วิชายุทธ์ทั้งสองต่างแสดงพลังอันน่าสะพรึงกลัวออกมา
ตูม!
มือนั้นทำให้แผ่นดินะเื
คลื่นน้ำพุ่งขึ้นไปกระทบดวงอาทิตย์
ผลกระทบจากพลังที่น่าสะพรึงกลัวนี้ดั่งสามารถทำลายโลกได้
หลังจากการแสดงพลังนี้ แสงสว่างที่เกิดขึ้นก็สลายไป และรูปแบบพลังวิชายุทธ์ทั้งหมดก็สลายไปเช่นกัน
ผู้ทรงพลังทั้งสองก้าวถอยหลังไปครึ่งก้าวในเวลาเดียวกัน คนนอกมองไม่ออกว่าใครจะชนะ ใครจะแพ้ ดูเหมือนว่าจะเสมอกัน แต่ท่าทางการแสดงออกของทั้งสองสะท้อนให้เห็นว่า แท้จริงแล้วในหมู่พวกเขามีคนที่ชนะและคนที่พ่ายแพ้
พวกเขาต่อสู้กันหนึ่งกระบวนท่า หากใครชนะก็จะได้หยาดจันทร์นิรวานไป
คนที่หัวเราะออกมาก็คือผู้ชนะ และยังเป็คนเดียวกับที่หลี่เมิ่งและจุ้ยหลิวเคยตัดสินไว้ก่อนหน้านี้
ผู้แข็งแกร่งแห่งตระกูลข่งได้รับชัยชนะ
หลัวเลี่ยจดจำกระบวนท่าและแิของวิชามหาหลุนิได้ เขารู้สึกมหัศจรรย์มากขึ้น เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในความคิดของเขา คือการแสดงเนื้อหาที่ลึกซึ้งทั้งหมดของวิชามหาหลุนิได้อย่างสมบูรณ์แบบ
เขาเข้าไปในห้องฝึกยุทธ์ทันทีเพื่อฝึกฝนวิชามหาหลุนิ
ก่อนหน้านี้มันเป็ไปไม่ได้ที่จะเข้าใจอย่างลึกซึ้ง แต่ตอนนี้เมื่อเข้าใจอย่างลึกซึ้งได้แล้ว การฝึกฝนก็ง่ายขึ้นมาก เหตุใดการฝึกวิชายุทธ์จึงมีการแยกระดับต่ำและระดับสูง นั่นก็เพราะมันถูกแบ่งตามของความเข้าใจในวิชายุทธ์นั้นๆ
เมื่อเริ่มฝึกใหม่อีกครั้ง ครั้งนี้การฝึกฝนของหลัวเลี่ยก้าวหน้าไปรวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์
แม้ว่าการฝึกฝนวิชายุทธ์นี้จะค่อนข้างคืบหน้าไปช้ากว่าวิชายุทธ์อื่นๆ แต่เมื่อฝึกจนมีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น ความเข้าใจก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย แม้ว่าวิชามหาหลุนิจะได้รับการกล่าวขานว่าเป็วิชายุทธ์ที่ยากถึงขั้นปราบเซียน แต่หลัวเลี่ยกลับใช้เวลาไม่นานในการก้าวไปถึงระดับเชี่ยวชาญ
เพียงเท่านี้หลัวเลี่ยก็มีวิชายุทธ์ที่ถือว่าเป็ไพ่ลับท่าไม้ตายแล้ว
และพลังของเขาในทุกๆ ด้านก็ยังเพิ่มขึ้นจากการฝึกวิชามหาหลุนินี้ด้วย
แม้แต่หมัดผู้พิชิตก็ไม่สามารถแสดงพลังโจมตีที่น่าสะพรึงกลัวของพลังในเคล็ดวิชาั์ที่เขาฝึกฝนอยู่ได้เลย แต่วิชามหาหลุนินี้กลับสามารถทำให้ผู้คนเห็นถึงพลังโจมตีที่แท้จริงอันน่ากลัวของหลัวเลี่ยได้
การมาที่ภพจิตัในครั้งนี้ถือได้ว่าเป็การเก็บเกี่ยวที่คุ้มค่ามาก
หลัวเลี่ยไม่ได้รั้งรออยู่ที่นี่นาน หลังจากถึงระดับเชี่ยวชาญในวิชามหาหลุนิแล้ว เขาก็ออกมาจากภพจิตั
ที่เรือนพเนจรมีหลี่เมิ่งและจุ้ยหลิวเฝ้าอยู่
เขากลับไปที่จวนของราชครู
เขาเก็บตราหยกเชื่อมิญญาและเดินออกจากห้อง
เสวี่ยปิงหนิงกำลังคุ้มกันให้เขาอยู่ด้านนอกห้อง และเมื่อนางเห็นเขาออกมา นางก็บอกเขาว่าทางหอการค้าฟ้านเทียนได้ส่งข่าวมาแล้ว ว่าหยาดจันทร์นิรวานถูกประมูลออกไปเรียบร้อย เชิญหลัวเลี่ยไปรับของที่ได้ด้วย
หลังจากที่ผู้ทรงพลังทั้งสองประลองกันเพื่อชิงหยาดจันทร์นิรวานเสร็จสิ้น จนถึงตอนนี้เป็เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น
และที่หลัวเลี่ยออกมาจากภพจิตั ก็เนื่องจากมารับรายได้จากการประมูล
ผู้ทรงพลังทั้งสองเป็ถึงผู้ที่มีชื่อเสียง ดังนั้นข้อเสนอในการประมูลของพวกเขาย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน และหลัวเลี่ยคาดหวังมาก อย่างน้อยเขาก็มั่นใจว่าหากทั้งสองคนเสนอสิ่งของที่มีค่ามากกว่าเหรียญทอง สิ่งของนั้นก็น่าจะเป็สิ่งของใช้งานได้จริงที่มีประโยชน์มาก
หลังจากนั้นหลัวเลี่ยและเสวี่ยปิงหนิงก็เดินทางออกจากจวนราชครู ตรงไปที่หอการค้าฟ้านเทียนสาขาแคว้นจินหลาน
จวนราชครูและหอการค้าฟ้านเทียนไม่ได้อยู่ห่างกันมาก ทั้งสองแห่งอยู่ห่างกันเพียงถนนเส้นหนึ่งเท่านั้น
เมื่อพวกเขามาถึงก็พบว่าที่หอการค้าฟ้านเทียนสาขาแคว้นจินหลานนั้นคึกคักมาก
ไป๋หลี่ชางซึ่งเป็ผู้าุโห้าของหอการค้าฟ้านเทียนอยู่ที่นี่
หลิวจื่ออั๋งผู้าุโเจ็ดของหอเซียวเหยาอยู่ที่นี่
ราชครูซาเฉียนหลี่ องค์ชายสาม องค์ชายเก้า และขุนนางหลายคนของแคว้นจินหลานก็อยู่ที่นี่ นอกจากนี้ยังมีทั้งผู้ฝึกวรยุทธ์และผู้ที่ไม่ได้ฝึกวรยุทธ์จำนวนมากอยู่ที่นี่เช่นกัน
สถานการณ์เช่นนี้คล้ายกับกำลังรอชำระแค้นกับหลัวเลี่ย
โชคดีที่หลัวเลี่ยเป็คนที่ไม่กลัวสิ่งใด ดังนั้นเขาจึงไม่กลัวสถานการณ์แบบนี้เลย
ตรงกันข้าม เสวี่ยปิงหนิงกลับรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย นางค่อยๆ ขยับเข้าใกล้หลัวเลี่ย
หลัวเลี่ยมองไปที่ฝูงชน และพบว่าในกลุ่มพวกเขา บางคนเพิ่งเก็บตราหยกเชื่อมิญญาไป ดังนั้นเขาจึงเดาได้ว่าผู้คนทั้งหมดนี้เข้าสู่ภพจิตัผ่านตราหยกเชื่อมิญญา และพวกเขาอาจเป็ผู้ที่เข้าร่วมการประมูล
พวกผู้าุโมีท่าทางสงบนิ่ง ทำให้หลัวเลี่ยมองไม่ออก แต่เมื่อมองไปที่องค์ชายสามและองค์ชายเก้า เขากลับเห็นสายตาที่พวกเขาทั้งสองส่งมาอย่างชัดเจน
นั่นคือความอิจฉาริษยา และสายตาที่มีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น
ความอิจฉาริษยานั้นเข้าใจได้ เพราะสิ่งของที่ใช้แลกเปลี่ยนกับหยาดจันทร์นิรวานนั้นต้องเป็สิ่งของที่ไม่ธรรมดาแน่ และคงเป็สิ่งของที่ทำให้ผู้อื่นอิจฉามาก
แต่สายตาที่มีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นคืออะไรกันแน่?
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้