ตอนเจาเจายังเล็ก นางมักจะเล่นกับหนานิเหอและเรียกเขาว่าพี่ชายรองเสมอ ต่อมาค่อยๆ เติบโตขึ้น นางโดนเหลียงอินล่อลวงหัวใจไป จึงไม่สนิทสนมกับหนานิเหอแล้ว
ทว่าความรักความเอ็นดูที่หนานิเหอมีให้ั้แ่เล็กคงประทับลงไปถึงไขกระดูกของนาง เมื่อเยี่ยนเจาเจาเห็นหน้าเขาจึงรู้สึกจิตใจสงบลงโดยไม่รู้ตัว
หลังจากเยี่ยนเจาเจาสำรวจรอบๆ ก็พบว่าขณะนี้ในห้องมืดสลัวจึงไม่รู้ว่ายามใด เสี่ยวชุ่ยเองก็อยู่ข้างเตียงนุ่มของนาง สภาพดูเหน็ดเหนื่อยมาก
ส่วนสองหญิงรับใช้อย่างปี้สี่กับเฝ่ยชุ่ยกำลังเฝ้ายามอยู่ข้างๆ ดวงตาปรือเล็กน้อย ท่าทางจะง่วงไม่ต่างกัน
เจาเจาตื่นมาเงียบๆ โดยไม่ได้ปลุกใคร แต่หนานิเหอกลับลืมตาขึ้นมาด้วยเหตุใดไม่ทราบ
ดวงตาคู่นั้นของเขาขุ่นมัวคล้ายกระจกสีดำ ทว่าเพียงเขาลืมตาขึ้นมา ใบหน้าก็ราวกับจะอ่อนละมุนขึ้น
แม้เขาดูเ็าห่างเหินเมื่อหลับตา แต่ยามลืมตามองเจาเจาตอนนี้กลับอ่อนโยนเป็พิเศษ ถึงขนาดเยี่ยนเจาเจาสามารถมองเห็นตนเองตัวเล็กราวกับตุ๊กตาสะท้อนภายในแววตาของเขา
ท่าทางของเขาบ่งชัดว่าอยู่ข้างกายนางมาตลอด
“พี่ชายรอง...”
เยี่ยนเจาเจาอ้าปากเรียกเขาอย่างใ พลันก็รู้สึกแสบร้อนในลำคอขึ้นมา
คนใช้ในห้องทั้งหมดตื่นทันที
หนานิเหอได้ยินเสียงเจาเจาเรียกเขา จึงเผยยิ้มจางๆ ออกมา ก่อนจะปล่อยมือแล้วไปรินชามาให้เจาเจาดื่มโดยไม่เรียกใช้ใคร
เมื่อเจาเจาดื่มชาจากมือของเขาก็รู้สึกได้ว่ามือเขาขาวเกินไป จึงยื่นมือออกไปแตะอย่างทนไม่ไหว ก่อนจะพบว่ามันถึงขั้นเย็นะเื
ตอนนี้เองที่นางเพิ่งรู้ตัวว่าหนานิเหอสวมเพียงเสื้อตัวยาวบางๆ โดยไม่มีชุดคลุมตัวนอก หลังกวาดสายตามองจึงเห็นว่ามันถูกม้วนเป็ก้อนอยู่ตรงมุมห้อง ทั้งยังเปรอะเปื้อนไปด้วยสิ่งสกปรก
นางใคร่ครวญว่าตนหมดสติไปได้อย่างไร ก็เข้าใจว่าคงเป็หนานิเหอที่อุ้มนางกลับมา
คืนวานเยี่ยนเจาเจาฝันร้ายจนเหงื่อออกไปทั้งตัว ยามนี้ตื่นมารู้สึกดีขึ้นมากแล้ว แต่เมื่อเห็นสภาพของหนานิเหอก็รู้ว่าเขาไม่ได้นอนมาครึ่งค่อนคืน จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกละอายใจเล็กน้อย
“พี่ชายรอง ท่านกลับไปพักผ่อนก่อน วันนี้ขอบคุณพี่ชายรองแล้วเ้าค่ะ”
เมื่อเยี่ยนเจาเจาลงจากเตียง หนานิเหอก็นำเสื้อคลุมสะอาดข้างๆ มาคลุมร่างนาง ปี้สี่ลุกขึ้นไปหยิบยาอุ่นร้อนที่ห้องครัวเล็กข้างนอก ส่วนเฝ่ยชุ่ยก็ยกอาภรณ์สะอาดเข้ามา
หนานิเหอได้ยินคำพูดนั้นของเจาเจาและเห็นอาภรณ์ที่ยกเข้ามา จึงรู้ว่าตนเองไม่อาจรั้งอยู่นาน เขาพยักหน้าพร้อมกับส่งภาษามือให้นาง
แต่ก่อนเยี่ยนเจาเจาเล่นกับเขาประจำทำให้เข้าใจความหมายของเขาได้อย่างรวดเร็ว มุมปากนางเม้มเป็รอยยิ้มน่ารัก “ข้าจะดูแลตนเองให้ดี พี่ชายรองรีบไปพักผ่อนเถอะเ้าค่ะ”
สายตาของหนานิเหอค่อนข้างเป็กังวล ความอ่อนโยนวูบหนึ่งไหวระริกอยู่ในแววตา แต่เขาก็ยอมออกไปโดยดี
เยี่ยนเจาเจาเห็นของสีเขียวบางอย่างโผล่วับๆ แวมๆ ออกมาจากชายเสื้อของเขา ก็รู้ทันทีว่านั่นคือสร้อยลูกปัดหยกที่ให้เสี่ยวชุ่ยส่งคนไปมอบให้ ในใจจึงพลันอุ่นวาบขึ้นมา
เมื่อเขาเดินออกไปข้างนอก เด็กรับใช้ที่รออยู่ตรงมุมห้องก็รีบกุลีกุจอตามออกไป ปี้สี่ยกยามายื่นให้เสี่ยวชุ่ยแล้วหันหลังกลับไปส่งเขา
เยี่ยนเจาเจามองตามหลังเขาไป เห็นคนข้างกายของเขาที่ลดน้อยลงเหลือเพียงสองคนก็ทอดถอนใจ
หากจำไม่ผิด ชาติก่อนหนานิเหอมิได้กลับมาเวลานี้
เขารีบกลับมาอย่างนี้ มากกว่าครึ่งน่าจะเพราะได้ยินว่าเยี่ยนเจาเจาป่วย และคำนึงถึงว่าในจวนไม่มีผู้ใหญ่เลยสักคน สิ่งที่เยี่ยนเจาเจาเห็นบ่อยที่สุดในชาติก่อน คือตัวอักษรงดงามที่เขียนลงบนกระดาษของหนานิเหอว่า “เจาเจาเป็น้องสาว พี่ชายรองรับคำเรียกว่าพี่ชายของเ้า ย่อมควรดูแลเ้าให้ดี”
แม้จะเป็นายน้อยจวนเยี่ยนเหมือนกัน แต่เยี่ยนเช่อจากบ้านรองเป็ถึงไข่ในหินที่ล้ำค่าราวหยกสลัก ส่วนหนานิเหอกลับได้รับการดูแลไม่เท่าเขาสักครึ่ง กระทั่งเยี่ยนหลิวซื่อยังแสดงท่าทีรังเกียจหนานิเหอต่างๆ นานา
มารดาของหนานิเหอคือเยี่ยนชิว พี่สาวอนุของท่านพ่อนาง หนานิเหอในยามนี้โตกว่านางหกปี และอายุน้อยกว่าเยี่ยนเช่อจากบ้านรองเพียงครึ่งปีเท่านั้น
สมัยเยี่ยนชิวอยู่ในห้องหอเดิมก็ไร้คนสนใจ ต่อมายังโดนส่งออกไปแต่งงานไกลถึงชายแดนตอนเหนือราวกับสินค้าชิ้นหนึ่ง แม้จะแต่งกับสกุลหนานที่เป็ตระกูลขุนนาง แต่เพราะนิสัยขี้ขลาดและพูดน้อยของนาง อีกทั้งยังคลอดบุตรใบ้พูดไม่ได้ออกมาอีก นางจึงไม่ได้รับความโปรดปรานจากสกุลหนาน จนโดนหย่าร้างออกจากจวนในท้ายที่สุด
สกุลเยี่ยนยังไม่ทันได้รับข่าว เยี่ยนชิวก็พาบุตรใบ้กลับเมืองเซียงเฉิงตามลำพัง แต่เผอิญพบผู้ถูกเนรเทศแถบชายแดนเหนือกำลังก่อาฏเข้าพอดี เมื่อคนสกุลเยี่ยนไปถึงก็พบว่าเยี่ยนชิวโชคร้ายเสียชีวิตแล้ว เจอเพียงหนานิเหอที่พูดไม่ได้เท่านั้น
ตอนเยี่ยนชิวยังไม่แต่งออก สถานะของบ้านสามในจวนเยี่ยนก็กระอักกระอ่วนมากอยู่แล้ว พอเป็หนานิเหอยิ่งไม่ต้องกล่าวเลย?
หลังเขากลับมา ทั้งจวนเยี่ยนก็มองเขาเป็คนไร้ตัวตน คุณชายดีๆ ท่านหนึ่งกลับมีชีวิตความเป็อยู่เทียบไม่เท่าบ่าวไพร่ด้วยซ้ำ
องค์หญิงรู้สึกสงสารจึงขอให้บ้านสามรับเขามาสั่งสอนในสวนมวลบุปผาหอม จนโตมาด้วยกันกับเจาเจา
เมื่อย้อนนึกถึงเื่ในความทรงจำ เยี่ยนเจาเจาก็สะท้อนใจ
หนานิเหอโตมากับนางและยังดูแลนางอย่างดีมาตลอด ตอนที่นางหมดสติอยู่ในหอเซียวเซียงอันรกระเกะระกะ คงประจวบเหมาะที่หนานิเหอกลับมาพอดี
เส้นทางจากวัดม้าขาวมาเมืองเซียงเฉิงนั้นไกลมาก ยิ่งเป็วัสสานฤดูเช่นนี้ก็ย่อมเหน็ดเหนื่อยมาตลอดทาง ลำบากเขาอยู่เป็เพื่อนนางทั้งที่ยังไม่ได้ผลัดกระทั่งอาภรณ์ และยังโดนนางรั้งไว้อีก จนยามนี้ผ้าม่านสีเขียวมีแสงแดดส่องเข้ามารำไร แสดงถึงการเข้าสู่วันใหม่แล้ว
นึกได้ดังนั้นเยี่ยนเจาก็รู้สึกใ สมองที่มึนเบลอจากฝันพลันได้สติทันที “เฝ่ยชุ่ย สั่งโรงครัวเล็กต้มน้ำขิงไปให้คุณชายรอง เติมน้ำผึ้งครึ่งช้อน อย่าให้ขมเกินไป และส่งขนมย่อยง่ายไปสักหน่อย”
นางอยากไปดูเขา แต่ก็กลัวรบกวนเวลาพักผ่อนของเขา
“จริงสิ นำกระถางเผาถ่านไปด้วย รุ่งเช้าอากาศหนาว อย่าให้ตัวเขาเย็น”
เมื่อเฝ่ยชุ่ยรับคำออกไปแล้ว เยี่ยนเจาเจาจึงได้วางใจ นางล้างปากและบีบจมูกก่อนจะกลืนยาหมดในอึกเดียว
เสี่ยวชุ่ยเอ่ยกระเซ้าอยู่ข้างๆ ว่า “คุณหนูอายุยังน้อย แต่ก็ดูแลพี่ชายเหมือนองค์หญิงแล้ว” จนหญิงรับใช้หัวเราะครืนกันทั้งห้อง
ส่วนหนานิเหอเดินตามปี้สี่ไปยังห้องด้านข้างที่เจาเจาเตรียมไว้ั้แ่แรก ซึ่งไม่ไกลจากห้องของนาง ห่างเพียงผนังกั้นเท่านั้น
เรือนหิมะมรกตตกแต่งอย่างประณีตงดงาม แตกต่างจากหอเซียวเซียงซึ่งเหมือนถ้ำหิมะของเขาอย่างสิ้นเชิง
ตอนนี้ร่างกายของเขาเย็นมากจริงๆ แต่หลังจากที่เขาเพิ่งชำระกายผลัดอาภรณ์สะอาดเสร็จได้ไม่นาน ก็มีหญิงรับใช้มาส่งน้ำขิงและข้าวของอื่นๆ ให้เขา
หนานิเหอจำได้ว่าคนเดินนำเข้ามาคือเฝ่ยชุ่ยซึ่งเป็บ่าวข้างกายเจาเจา ครู่เดียวเขาก็เข้าใจว่าทั้งหมดเป็เจตนาของเยี่ยนเจาเจา
สายตาของเขาหยุดลงที่กระถางเผาถ่าน ก่อนจะรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่เล็กน้อย
เมื่อเฝ่ยชุ่ยเดินห่างไปไกลแล้ว เด็กรับใช้ข้างกายเขานามว่าหลานเล่อจึงค่อยหัวเราะออกมา “คุณชาย คุณหนูกลัวคุณชายตัวแข็งขอรับ”
คำพูดเต็มไปด้วยการหยอกเย้า ดูท่าความสัมพันธ์ของเขากับหนานิเหอคงจะค่อนข้างดีทีเดียว
ใบหน้าหนานิเหอออกแนวจนปัญญา หลังมองน้ำขิงนั่นอยู่นาน สุดท้ายเขาก็ดื่มมันลงไปโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าแม้แต่นิด