หลังจากที่สองพี่น้องของบ้านใหญ่เล่าเื่ราวในหมู่บ้านให้พวกอวิ๋นเจียวฟังแล้ว ก็ยังเล่าเื่ของบ้านตระกูลอวิ๋นต่อ
โดยพื้นฐานแล้ว นอกจากบ้านอาสามแล้ว ลูกสาวลูกชายคนอื่นๆ ของเถาซื่อล้วนมิใช่ตะเกียงประหยัดน้ำมัน
อวิ๋นเจียวนอนพลิกไปพลิกมาบนเตียงอุ่น อย่างไรก็นอนไม่หลับ สมองพลันนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่อวิ๋นฉี่ชิ่งกับอวิ๋นฉี่เสียงเล่าให้ฟัง แค่นึกถึง วันเวลาเช่นนั้น ก็ทำให้คนรู้สึกหวาดหวั่นจับใจยิ่งนัก
การทะลุมิติก็เหมือนกับการเกิดใหม่ เป็ศาสตร์อันละเอียดอ่อน โชคดีที่นางทะลุมิติมาอยู่ในร่างของบุตรสาวคนเล็กของอวิ๋นโส่วจง มีบิดามารดาที่เข้มแข็ง พี่ชายทั้งสองคนก็เป็คนมีความคิดเป็ของตัวเอง
หากทะลุมิติมาอยู่ในร่างของเด็กคนอื่นๆ ในบ้านตระกูลอวิ๋น เช่นนั้นคงหนีไม่พ้นความทุกข์ระทมถึงแม้ว่านางจะมีระบบเถาเป่า นางเชื่อว่านางสามารถทำให้ครอบครัวของนางมีชีวิตที่ดีขึ้นได้ แต่ก็มิอาจต้านทานความอ่อนแอและความยอมจำนนของบิดามารดาได้ คิดอยากจะหลุดพ้นออกจากตระกูลอวิ๋น ไม่รู้ต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหน ต้องเสียพลังสมองไปเท่าใด!?
ไม่เหมือนกับตอนนี้ กินอิ่มนอนหลับ มีบิดามารดารักและเอ็นดู พี่ชายก็รักใคร่ เื่อื่นๆ ไม่จำเป็ต้องให้คิดมาก นางเพียงแค่ทำตามแผนของตัวเองเพื่อหาเงินก็พอแล้ว
อวิ๋นเจียวครุ่นคิดไปต่างๆ นานาอยู่นาน กว่าจะผล็อยหลับไป ส่วนอวิ๋นโส่วจงกับภรรยาที่อยู่ห้องข้างๆ ก็ยังนอนไม่หลับเช่นกัน
“ข้าว่ารถม้าของพวกเราคงไม่ได้คืนแล้วล่ะ!” ฟางซื่อถอนหายใจพลางกล่าว
อวิ๋นโส่วจงเอ่ยว่า “ไม่ได้คืนก็ไม่เป็ไร แต่จะปล่อยให้เถาซื่อเอาเปรียบกันง่ายๆ เช่นนี้มิได้หรอก”
คำว่า ‘กตัญญู’ มันกดขี่ผู้คน แม้ว่าครอบครัวของพวกเขาจะแยกบ้านออกมาจากตระกูลอวิ๋นแล้ว แต่สุดท้ายแล้วผู้เฒ่าอวิ๋นก็คือบิดาแท้ๆ ของเขา ความเกี่ยวพันทางสายเืเช่นนี้ ทำให้บางครั้งพวกเขาจำต้องยอมกล้ำกลืนความอยุติธรรมบางอย่างลงไป
ฟางซื่อเอ่ยถามต่อ “แล้วท่านจะจัดการกับเื่ของพี่ใหญ่ฝ่ายนั้นอย่างไร?”
อวิ๋นโส่วจงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยว่า “จัดการเื่ของบ้านเราก่อน แล้วค่อยๆ คิดหาวิธีช่วยพี่ใหญ่ทีหลังก็แล้วกัน”
ปล่อยให้อวิ๋นโส่วกวงสิ้นหวังแล้วขอแยกบ้านเอง คงเป็ไปไม่ได้ หากคิดจะหาวิธีการ ก็ทำได้เพียงลงมือกับเถาซื่อ ทำให้เถาซื่อเป็คนเอ่ยปากไล่พวกเขาออกไปเอง! เพียงแต่ว่า หากจะทำให้เถาซื่อยอมเอ่ยปากเช่นนั้น ช่างเป็เื่ที่ยากเย็นนัก
“อืม ท่านคิดเอาไว้ก็ดีแล้ว ข้าแค่เห็นพี่สะใภ้ใหญ่กับลูกๆ อีกสองคนที่น่าสงสาร!”
ผู้ชายคนหนึ่ง ปกป้องภรรยาและลูกไม่ได้ ในสายตาของฟางซื่อ ต่อให้มีเหตุผลนับพันนับหมื่นประการ ภาพลักษณ์ของเขาก็ย่อมดูแย่ลงไปอย่างมาก
เมื่อฟางซื่อพูดถึงตรงนี้ อวิ๋นโส่วจงก็นึกถึงตอนบ่ายที่คุยกับลูกๆ ที่ข้างแปลงผัก จึงเอ่ยขึ้นว่า “เช่นนั้นต่อไปนี้ก็หาบุตรเขยเข้าบ้านให้เจียวเอ๋อร์เสียเลย”
บุตรสาวที่เขารักและเอ็นดู เขาไม่ยอมส่งไปให้คนอื่นรังแกเด็ดขาด
ฟางซื่อเอ่ยว่า “หาบุตรเขยเข้าบ้านมิได้หรอก ตระกูลไหนที่พอมีอันจะกิน ก็ไม่มีใครยอมให้ลูกชายไปเป็เขยแต่งเข้าบ้านผู้หญิงหรอก เพราะหากเป็เขยแต่เข้าก็เท่ากับว่าต้องเปลี่ยนสกุลไปเป็สกุลของฝ่ายหญิง”
“เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี?” อวิ๋นโส่วจงเริ่มกังวล
ฟางซื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็เอ่ยขึ้นว่า “ไม่ต้องหาบุตรเขยเข้าบ้าน แต่สามารถตกลงกันว่าให้แยกบ้านออกมาอยู่ต่างหากได้ เอาเป็ว่า พวกเราขยันหาเงินกันเถอะ พยายามเก็บเงินไว้ให้มากที่สุด สะสมไว้เป็สินสอดก้อนโตให้เจียวเอ๋อร์ก่อนที่นางจะแต่งงานออกไป”
อวิ๋นโส่วจงเอ่ย “เ้าคิดได้รอบคอบที่สุด แต่ข้ากลัวว่าพอถึงเวลานั้น เื่แต่งงานของเจียวเอ๋อร์ พวกเราจะมีสิทธิ์ตัดสินใจกันหรือไม่”
ฟางซื่อเอ่ยว่า “ตอนนี้จะไปคิดมากขนาดนั้นทำไมเล่า เจียวเอ๋อร์เพิ่งอายุหกขวบ ยังอีกนานกว่าจะถึงวัยแต่งงาน...”
เช้าวันรุ่งขึ้น ท้องฟ้ายังไม่ทันจะสว่าง ฟางซื่อกับชุนเหมยเตรียมอาหารเช้าเสร็จแล้วก็รีบไปปลุกอวิ๋นเจียว หลังจากที่อวิ๋นเจียวล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ ก็เดินออกมาจากห้อง พอดีกับที่เห็นอวิ๋นฉี่เยว่ถือแผ่นไม้กับพู่กันเดินเข้าไปในห้อง
“พี่ใหญ่ ท่านฝึกคัดอักษรเสร็จแล้วหรือเ้าคะ?”
ทุกเช้าอวิ๋นฉี่เยว่จะต้องตื่นมาฝึกเขียนอักษรเป็เวลาหนึ่งชั่วยาม [1] แต่เขาไม่ได้เขียนลงบนกระดาษ แต่ใช้พู่กันจุ่มน้ำแล้วเขียนลงบนแผ่นไม้
อวิ๋นฉี่เยว่ยิ้มอย่างอ่อนโยน สายตาที่มองอวิ๋นเจียวนั้นอบอุ่นดั่งแสงตะวันในฤดูหนาว “อืม ฝึกเสร็จแล้ว”
ขณะนั้น อวิ๋นฉี่ซานก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วเดินออกมาจากห้อง ก่อนจะหันไปบอกอวิ๋นเจียวว่า “เจียวเอ๋อร์ พี่รองก็ฝึกวิทยายุทธ์ครบหนึ่งชั่วยามแล้ว!”
อวิ๋นเจียวเห็นท่าทางออดอ้อนขอคำชมของพี่ชาย ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา นางจึงเอ่ยชมโดยไม่คิดปิดบัง “พี่รองเก่งที่สุด!”
ฟางซื่อเดินออกมาจากห้องโถงพลางเรียกทุกคน “เอาล่ะ มากินข้าวกันเร็ว กินข้าวเสร็จแล้วจะได้ไปขึ้นเขาพร้อมกับท่านพ่อของพวกเ้า!””
เนื่องจากวันนี้ต้องขึ้นเขา อวิ๋นเจียวจึงไม่ได้สวมชุดกระโปรง ส่วนอวิ๋นฉี่เยว่กับอวิ๋นฉี่ซานก็ไม่ได้สวมชุดคลุมยาว หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ อวิ๋นโส่วจงก็พาอวิ๋นเจียวและสองพี่น้องขึ้นเขาไปด้วย
ในป่าที่เชิงเขามีลำธารไหลผ่าน มีใบไม้ร่วงทับถมกันเป็จำนวนมาก ฟางซื่อแบกตะกร้าหวายแล้วตรงไปที่ป่า ส่วนอวิ๋นโส่วจงพาลูกๆ เดินขึ้นเขาไปอย่างไม่รีบร้อน พลางเล่าเื่ตอนที่เขาขึ้นเขามาวางกับดักกระต่ายป่าตอนเด็กๆ ให้พวกลูกๆ ฟังแววตาของสองพี่น้องอวิ๋นเจียวกับอวิ๋นฉี่ซานส่องประกายอย่างตื่นเต้น “ท่านพ่อ เช่นนั้นวันนี้พวกเราไปวางกับดักกระต่ายป่ากันเถอะเ้าค่ะ!” อวิ๋นเจียวเสนอด้วยความตื่นเต้น
อวิ๋นโส่วจงยิ้มตอบ “ได้สิ พ่อเอาเครื่องมือมาด้วย พอเจอจุดที่เหมาะสม พวกเราก็วางกับดักกัน!”
อวิ๋นเจียวอยากจะเก็บผักป่า แต่ชาติที่แล้วนางเป็เพียงพนักงานออฟฟิศธรรมดาๆ ในโรงพยาบาลศัลยกรรมความงาม ไม่เคยใช้ชีวิตอยู่ในชนบท ไม่รู้จักผักป่าชนิดไหนเลย
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เพิ่งจะเริ่มเข้าฤดูใบไม้ผลิ ทุกสรรพสิ่งเริ่มฟื้นคืนชีพ บนพื้นดินมีเพียงต้นอ่อนสีเขียวขจีขึ้นมาเท่านั้น ไม่มีผักป่าอะไรให้นางเก็บ
แต่สัตว์ป่าต่างๆ ในูเา หลังจากจำศีลมาตลอดฤดูหนาว ต่างก็ออกมาหาอาหาร ระหว่างทางอวิ๋นโส่วจงสังเกตเห็นรอยเท้าของสัตว์เล็กๆ มากมายอยู่ระหว่างทาง
เขาจึงอธิบายให้ลูกๆ ฟังอย่างสนุกสนานและกระตือรือร้นว่ารอยเท้าแบบไหนเป็ของกวาง รอยเท้าแบบไหนเป็ของกระต่ายป่า ไม่นาน อวิ๋นโส่วจงก็วางกับดักไว้หลายจุด
อวิ๋นเจียวเห็นดอกไม้ป่าข้างทางบานสะพรั่งสวยงาม จึงดึงอวิ๋นฉี่เยว่ให้ไปเก็บดอกไม้ด้วยกัน แต่ยังไม่ทันได้ลงมือเก็บ ทั้งสองคนก็เห็นเด็กหนุ่มนอนจมกองเือยู่ที่เนินเขา
“ท่านพ่อ ตรงนั้นมีคนเ้าค่ะ!” อวิ๋นเจียวร้องด้วยความใ
อวิ๋นฉี่เยว่รีบดึงอวิ๋นเจียวไปหลบข้างหลังด้วยสัญชาตญาณ ส่วนอวิ๋นโส่วจงที่ได้ยินเสียงก็รีบวิ่งมา เขาใช้เถาวัลย์ไต่ลงไปที่เนินเขาอย่างรวดเร็ว แล้วเอามือไปอังที่จมูกของเด็กหนุ่มเพื่อตรวจดูว่ายังมีลมหายใจหรือไม่
อวิ๋นเจียวเอ่ยถามด้วยความเป็กังวล “ท่านพ่อ เขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่เ้าคะ?”
อวิ๋นโส่วจงพยักหน้า “ยังหายใจอยู่!” กล่าวจบ เขาก็แบกเด็กหนุ่มไว้บนหลัง ใช้เชือกที่พกติดตัวมัดเด็กหนุ่มติดกับร่างของเขา จากนั้นก็ใช้เถาวัลย์ไต่ขึ้นไป
“ไปกันเถอะ พวกเรารีบกลับบ้านกันก่อน” เด็กหนุ่มคนนี้มีาแเต็มตัว ลมหายใจก็อ่อนแรงมาก ต้องรีบรักษา มิเช่นนั้น...
“เจียวเอ๋อร์ ข้าแบกเ้าเอง!” เพื่อช่วยชีวิตเด็กหนุ่ม อวิ๋นโส่วจงจึงรีบเร่งฝีเท้า อวิ๋นเจียวไม่มีทางเดินตามทันแน่นอน
“เ้าค่ะ!” อวิ๋นเจียวก็ไม่อิดออด รีบปีนขึ้นไปบนหลังพี่ชายคนโตของนางทันที
ทุกคนรีบกลับบ้านอย่างรวดเร็ว พอมาถึงหน้าประตูบ้าน ฟางซื่อก็รีบวิ่งออกมาต้อนรับ
“เกิดเื่อันใดขึ้นหรือ?” ฟางซื่อมองเด็กหนุ่มที่อวิ๋นโส่วจงแบกอยู่บนหลัง พลางเอ่ยถามด้วยความกังวล
“เจอที่ในป่า ยังมีลมหายใจอยู่ รีบไปต้มน้ำร้อนมา แล้วเช็ดตัวให้เด็กคนนี้ก่อน จะได้รักษาาแ” กล่าวจบ อวิ๋นโส่วจงก็แบกเด็กหนุ่มไปที่ห้องของอวิ๋นฉี่เยว่กับอวิ๋นฉี่ซานสองพี่น้อง
ฟางซื่อรีบเอ่ย “ได้ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้!”
หลังจากที่วางเด็กหนุ่มลงบนเตียงอุ่นในห้องของสองพี่น้องแล้ว อวิ๋นโส่วจงก็หันไปบอกลูกๆ ทั้งสามคนว่า “พวกเราทำได้แค่พยายามช่วยเขา ส่วนเขาจะมีชีวิตรอดหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาของเขาแล้ว”
อวิ๋นฉี่ซานได้ยินดังนั้นก็เอ่ยขึ้น “ท่านพ่อ เช่นนั้นข้าไปตามหมอมาให้เขานะขอรับ”
อวิ๋นโส่วจงส่ายหน้า “ไม่ต้องไปตามหมอ เขาาเ็สาหัสขนาดนี้ หมอในหมู่บ้านคงรักษาไม่ได้! หากยารักษาาแที่พ่อพกมาจากเมืองหลวงยังรักษาเขาไม่ได้ เช่นนั้นก็เป็โชคชะตาของเขาเอง!”
สีหน้าของอวิ๋นโส่วจงเคร่งขรึมเป็อย่างมาก ดูเหมือนว่าเขาจะเก็บเื่เดือดร้อนกลับมาเสียแล้ว แต่... เขาก็ไม่อาจนิ่งดูดายปล่อยให้คนตายต่อหน้าได้
เชิงอรรถ
[1] ชั่วยาม 时辰 หมายถึง่เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงในสมัยโบราณของจีน