หลังจากขายซาลาเปามาได้หลายวันแล้วหลินซีที่รู้สึกเหนื่อยก็เลยใช้วันนี้เป็วันหยุด เธอสามารถรวมเงินได้มากแล้ววันนี้เธอจึงให้พ่อแม่สามีไปหาหมอ ส่วนตัวเธอที่ต้องตื่นเช้ามาหลายวันวันนี้เธอก็ขอนอนพักผ่อนให้เต็มที่เสียหน่อย
คุณพ่อลู่กับคุณแม่ลู่ที่ไปหาหมอที่โรงพยาบาลในตัวเมืองั้แ่เช้าตอนนี้ก็เวลาประมาณสิบเอ็ดโมงกว่าแล้วทั้งสองก็กลับบ้านมาพอดี
หลินซีที่นอนไปตลอดทั้งเช้า เธอเพิ่งตื่นขึ้นมาเพื่อทำอาหารกินเธอยังทำไม่เสร็จคุณพ่อลู่คุณแม่ลู่ก็เปิดประตูเข้ามาในบ้านพอดี
หลังจากทำอาหารเสร็จหลินซีก็รีบออกไปถามถึงอาการของคุณพ่อลู่
“หมอบอกว่าพ่ออาจจะก้มมากเกินไปทำให้เกิดอาการหลังเคล็ด ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรรักษาไม่นานเดี๋ยวก็หาย” คุณแม่ลู่พูดสิ่งที่หมอพูดกำชับให้ฟังทั้งหมดรวมถึงอาหารบำรุงที่หมอแนะนำด้วย
หลังจากไปขายซาลาเปาในเมืองหลายวันทำให้โลกของคุณแม่ลู่กับคุณพ่อลู่เปลี่ยนไปมากทั้งสองดูมีความสุขดูมีชีวิตชีวามากขึ้น แต่ก่อนเวลาพูดคุยกับคนอื่นก็มักจะก้มหน้าและมีใบหน้าเศร้าหมอง แต่ตอนนี้คุณพ่อลู่กับคุณแม่ลู่เวลาพูดคุยกับลูกค้าก็มักจะมีรอยยิ้มเสมอ แต่ก็ยังมีเื่เดียวที่ทำให้คุณพ่อลู่กับคุณแม่ลู่กังวลอยู่ทุกวันคือลู่หานไม่ยอมกลับมาที่บ้านสักที
“ฉันทำอาหารเอาไว้แล้วรีบกินข้าวก่อนเถอะค่ะ ่บ่ายฉันว่าจะเข้าไปในเมืองเพื่อไปซื้อของหน่อยของในบ้านหมดแทบทุกอย่างเลย” หลินซีพูดพร้อมกับยกอาหารที่ทำเสร็จแล้วมาวางไว้บนโต๊ะกินข้าว
“ดีเหมือนกันพ่อกับแม่จะไปเป็เพื่อนเธอเองเธอเป็ผู้หญิงตัวเล็กคงเข็นรถไม่ไหวหรอก แล้วอีกอย่างผักในบ้านของพวกเราก็หมดแล้วแม่ว่าจะไปคุยกับป้าจางข้างๆ บ้านเราเสียหน่อยป้าจางปลูกผักเอาไว้เยอะคงเพียงพอให้เราทำซาลาเปาไส้ผักได้หลายวัน ไม่พอก็หาซื้อกับคนในหมู่บ้านก็ได้” คุณแม่ลู่พูด
“บ้านพี่ใหญ่กับบ้านพี่รองก็ปลูกผักไว้กินเองเยอะเหมือนกัน ไว้เดี๋ยวพ่อจะไปถามให้ว่าพวกเขาจะขายให้ไหม” คุณพ่อลู่พูด
” ไม่ต้องเข้าเมืองไปกับฉันหรอกค่ะ คุณพ่อกับคุณแม่กลับมาจากหาหมอเหนื่อยๆ พักผ่อนอยู่ที่บ้านเถอะค่ะเดี๋ยวฉันไปคนเดียวก็ได้เข็นรถเข้าไปในเมืองแค่นี้ฉันทำเองได้สบาย”
“ไม่ได้เด็ดขาดเธอเป็ผู้หญิงของเยอะขนาดนั้นเธอเข็นคนเดียวไม่ไหวหรอก เข็นช่วยกันสามคนไม่เหนื่อยมากหรอก” คุณพ่อลู่พูด
ในท้ายที่สุดหลินซีก็ตกลงที่จะให้คุณพ่อลู่คุณแม่ลู่เข้าไปในเมืองด้วย เพราะเธอคัดค้านพวกท่านไม่ไหวจริงๆ
ก่อนจะเข้าไปในตัวเมืองหลินซีก็เขียนสิ่งที่จำเป็ต้องซื้อทั้งหมดเพื่อป้องกันการลืม
ใน่บ่ายทั้งสามก็ช่วยกันเข็นรถเข้าไปในเมือง
“คุณพ่อว่าถ้าเราเก็บเงินได้อีกหน่อยพวกเราซื้อจักรยานสามล้อดีไหมคะ” ในตอนที่ทั้งสามเข็นรถเข้าไปในเมืองหลินซีก็นึกถึงจักรยานสามล้อหากมีมันคงจะสะดวกมาก
“แต่มันแพงมากเลยนะพ่อเคยถามคนในเมืองเขาบอกว่าราคาหลายร้อยหยวน” คุณพ่อลู่พูดด้วยใบหน้ากังวลถึงแม้ใน่หลายวันนี้จะหาเงินมาได้มากแต่จักรยานก็ราคาแพงจริงๆ
“เราสามารถซื้อจักรยานมือสองได้ค่ะ ราคาไม่แพงและก็ยังใช้ได้เหมือนกันถึงมันจะมีสภาพเก่าหน่อยแต่ขอแค่มันใช้งานได้ก็พอแล้วค่ะ” หลินซีรู้สึกเหนื่อยที่ต้องเข็นรถและเดินเข้าเมืองทุกวัน ถึงแม้เธอจะไม่ได้เข็นรถคนเดียวมีพ่อแม่สามีคอยช่วยแต่เธอก็ยังรู้สึกเหนื่อยอยู่ดี
ระหว่างทางทั้งสามก็คุยกันเื่จักรยานถกเถียงกันไปมาจนเดินเข้ามาถึงในตัวเมือง คุณแม่ลู่กับคุณพ่อลู่บอกว่าจะนำเื่นี้ไปคิดก่อน แต่หลินซีเชื่อว่าหากเธอจะซื้อจริงๆ ในท้ายที่สุดคุณพ่อลู่กับคุณแม่ลู่ก็ฟังเธออยู่ดี
“แต่ก่อนจะเข้าเมืองทีไรฉันก็ตื่นเต้นทุกทีแต่ตอนนี้เข้าเมืองบ่อยทุกวันจนฉันลืมความรู้สึกตื่นเต้นนั้นไปแล้ว” คุณแม่ลู่พูดด้วยรอยยิ้มเมื่อเดินเข้ามาถึงในตัวเมือง
คุณพ่อลู่เองก็เห็นด้วยกับคำพูดของภรรยาก็พยักน่ารับด้วยรอยยิ้ม
เมื่อมาถึงตลาดหลินซีก็เดินไปที่ร้านขายแป้งก่อนเลยเป็ร้านแรกหลินซีสั่งแป้งถึงสองร้อยชั่งแป้งเป็สิ่งจำเป็ในการทำซาลาเปา แป้งสองร้อยชั่งนี้ใช้ไม่กี่วันก็หมด
หลังจากนั้นก็ไปที่ร้านขายหมูส่วนมากหลินซีจะซื้อหมูวันต่อวันเพื่อความสดใหม่ ทำให้ในแต่ละครั้งหลินซีจะซื้อหมูเท่าเดิมทุกวันหลังจากซื้อหมูเสร็จก็ไปร้านเครื่องปรุงต่อ
ทั้งสามช่วยกันเข็นรถมาที่หน้าร้านขายเครื่องปรุง หลินซียื่นรายการเครื่องปรุงที่เธอจดเอาไว้ให้กับเถ้าแก่เ้าของร้าน เถ้าแก่เ้าของร้านก็สั่งให้พนักงานในร้านจัดของตามรายการที่เธอเขียนเอาไว้
หลังจากจัดทุกอย่างเสร็จเธอก็จ่ายเงินแล้วก็ยกของขึ้นรถ ก่อนกลับหลินซีก็ไม่ลืมซื้อข้าวขาวกลับไปที่บ้านด้วย เพราะั้แ่เธอเริ่มทำอาหารในบ้านข้าวขาวที่เหลืออยู่ในบ้านก็น้อยมากเพราะตอนนี้ที่บ้านกินข้าวขาวทุกวัน
ข้าวขาวที่มีอยู่ในบ้านตอนนี้ก็เป็ข้าวที่คุณพ่อลู่เหลือไว้จากการเก็บเกี่ยวในไร่ ส่วนมากจะเก็บข้าวขาวไว้น้อยมากเพราะข้าวขาวมีราคาแพงและสามารถนำไปแลกเป็เงินได้มาก ทำให้ชาวบ้านในชนบททั่วไปไม่ค่อยกินข้าวขาวแต่จะกินพวกธัญพืชหยาบแทน หรือไม่ก็มันเทศ
หลังจากหลินซีเริ่มเป็คนทำอาหารที่บ้านก็กินข้าวขาวกันทุกวันจนข้าวขาวที่เก็บไว้ใกล้หมดแล้ว หลังจากซื้อข้าวขาวเสร็จทั้งสามก็ช่วยกันเข็นรถกลับบ้าน
หลินซีที่ใช้ชีวิตร่วมกันกับคุณพ่อลู่คุณแม่ลู่มาหลายวัน จนตอนนี้เธอก็คุ้นเคยกับพวกเขามากขึ้น บางครั้งเธอยังเผลอคิดว่าพวกเขาเป็พ่อแม่แท้ๆ ของเธอ บางครั้งหลินซีก็คิดว่าเธอไม่อยากให้ลู่หานกลับมาเลยเธออยากให้เขาใช้ชีวิตอยู่ในกองทัพตลอดไปและเธอจะอยู่กับพ่อแม่ของเขาเอง
ทั้งสามที่เข็นรถกลับมาจนถึงสะพานใหญ่หน้าหมู่บ้านดวงอาทิตย์ก็กำลังจะตกดินพอดี หลินซีมองดวงอาทิตย์ที่คล้อยต่ำลงเธอมองว่าภาพนี้เป็ภาพที่สวยงามมากและอยากจะมีกล้องถ่ายรูปเพื่อเก็บ่เวลานี้เอาไว้จริงๆ
ฟ้าใกล้มืดแล้วชาวบ้านที่ทำงานในไร่ก็เริ่มกลับบ้านหลายคนก็รวมกลุ่มเดินกลับบ้านพร้อมกัน พร้อมกับสนทนาพูดคุยถึงสิ่งที่ปลูกในไร่ของตน
แต่ก่อนคุณพ่อลู่กับคุณแม่ลู่ก็เป็เหมือนชาวบ้านกลุ่มนี้ ที่จะกลับบ้านเวลานี้ตลอด แต่หลังจากที่คุณพ่อลู่กับคุณแม่ลู่เริ่มขายซาลาเปากับหลินซีทั้งสองก็ให้ความสนใจในไร่น้อยลงเพราะการทำไร่ทั้งปีเทียบเท่าการขายซาลาเปาหนึ่งเดือนยังไม่ได้เลย
ทั้งสามคนที่เข็นรถกลับมามีของเต็มรถเมื่อชาวบ้านที่กำลังเดินกลับบ้านมาเห็นทั้งสามที่เข็นรถที่มีของเต็มไปหมดทุกคนก็ให้ความสนใจ ถึงแม้ชาวบ้านในหมู่บ้านจะได้ยินว่าครอบครัวที่สามของตระกูลลู่เข้าไปขายของในตัวเมืองแต่ก็ไม่มีใครให้ความสนใจอะไร แต่เมื่อเห็นทั้งสาม เข็นรถที่มีของกลับมาเยอะแบบนี้ทุกคนก็ต่างให้ความสนใจ
แต่ก่อนเวลาซื้อของกลับมาบ้านส่วนมากก็จะซื้อหลังจากขายของเสร็จ ่นั้นก็เป็่เวลาที่ชาวบ้านทำงานอยู่ในไร่พอดีทำให้ไม่ค่อยมีคนเห็นจึงไม่กลายเป็จุดสนใจอะไร
“เ้าสามนายซื้อของกลับมาเยอะแบบนี้ทำไม” พี่ชายคนโตของคุณพ่อลู่เดินเข้ามาเอ่ยถามน้องชายด้วยความสนใจ ถึงแม้จะได้ยินจากภรรยาแล้วว่าครอบครัวน้องชายเข้าไปขายซาลาเปาในเมือง แต่เขาก็ไม่ได้สนใจเพราะไม่คิดว่าการขายของจะได้เงินมากอะไรสู้การทำงานในไร่ไม่ได้หรอก แต่เมื่อเห็นทั้งสามที่ซื้อของกลับมาแบบนี้พี่ใหญ่ลู่เองก็เริ่มให้ความสนใจแล้วเหมือนกัน
“พี่ใหญ่ของพวกนี้เป็ของสำหรับทำซาลาเปาทั้งนั้นเลย” คุณพ่อลู่เองก็ตอบกลับพี่ชายคนโตด้วยรอยยิ้ม
“เหล่าซานซื้อของมากขนาดนี้คงจะขายดีมากเลยสินะ” ชาวบ้านในหมู่บ้านที่อยากรู้อยากเห็นเมื่อได้ยินลุงใหญ่ที่ถามคุณพ่อลู่หลายคนก็พยายามเดินเข้ามาใกล้ๆ เพราะอยากรู้อยากเห็น
“ก็พอได้บ้างแต่ก็ต้องลงทุนเยอะเหมือนกัน” คุณพ่อลู่ตอบกลับด้วยรอยยิ้มเช่นเคย คุณพ่อลู่ไม่คิดจะโกหกพี่ชายหรือคนในหมู่บ้านถึงจะบอกไปว่าได้เงินนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้บอกจำนวนเงินที่แน่ชัด
“ลูกชายของฉันที่ทำงานอยู่ในโรงงานในเมืองกลับมาเมื่อวันก่อนเขาบอกฉันว่าเห็นนายขายซาลาเปาอยู่ที่หน้าสถานีรถไฟ ขายหมดทุกวันลูกค้าก็ชอบซาลาเปาที่นายทำมากเหล่าซาน นายแนะนำพวกเราในหมู่บ้านบ้างสิทุกคนจะได้มีรายได้เหมือนกับครอบครัวในบ้าง”
ชายที่เอ่ยพูดนี้น่าจะมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับคุณพ่อลู่เขาพูดด้วยรอยยิ้มก็จริง แต่แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็รอยยิ้มที่เสแสร้งบนใบหน้ามีแต่ความเห็นแก่ตัวเขียนเอาไว้
“ฮ่าๆๆ เหล่าฟางฉันจะมีอะไรแนะนำกัน ก็แค่ขายซาลาเปาธรรมดาเท่านั้นคนอย่างฉันจะไปแนะนำใครได้หากอยากลองขายจริงๆ ก็ลองไปขายดูได้” คุณพ่อลู่ก็ไม่ใช่คนโง่ก็พอจะมองออกว่าใครจริงใจกับครอบครัวของตนใครที่เข้าหาครอบครัวตนเพื่อผลประโยชน์ คุณพ่อลู่พร้อมจะแนะนำสำหรับคนที่หวังดีกับตนแต่คนที่คิดจะเอาเปรียบอย่าหวังเลย
“นายบอกว่าขายได้ไม่มากช่วยบอกหน่อยได้ไหมว่าหลังจากหากต้นทุนแล้วนายได้กำไรเท่าไหร่” ช่างเป็ผู้ชายที่หน้าด้านจริงๆ หลินซีที่ได้ยินคำพูดของเขาเธอก็รอดูว่าพ่อสามีของเธอจะตอบกลับว่าอย่างไร
“ไม่มากหรอกแค่ไม่กี่หยวนได้หยวนสองหยวนต่อวันเท่านั้น” คุณพ่อลู่บอกจำนวนเงินที่ได้ให้ดูน้อยที่สุด
“สองหยวนต่อวันถือว่าไม่น้อยเลยนะถ้านำมารวมกันเป็เดือนก็หกสิบหยวน กว่าหยวนนายขายของเดือนเดียวได้เงินมากกว่าพวกเราทำงานในไร่ตั้งหลายเดือนเลยนะ” แต่ละคนเมื่อรู้จำนวนเงินว่าได้เท่าไหร่ก็พากันใไปตามๆ กัน
ถ้าพวกเขารู้จำนวนเงินรายได้ทั้งหมดของพวกเธอ คงจะเป็เื่ใหญ่และชาวก็คงจะมาวุ่นวายกับครอบครัวพวกเธอ ดีแล้วที่พ่อสามีของเธอยังรู้ว่าไม่ควรบอกจำนวนเงินที่แท้จริงให้พวกเขารู้
“ฟางสงแก่คิดถึงแต่ผลกำไรครอบครัวเ้าสามต้องตื่นั้แ่เช้ามืดทุกวัน เพื่อลุกขึ้นมาทำซาลาเปาและยังต้องเข็นรถเข้าไปในเมืองทุกวัน มันก็สมควรแล้วที่พวกเขาจะได้เงินเพราะพวกเขาทำงานหนักขนาดนี้” คุณลุงใหญ่รีบเอ่ยขัดฟางสงเสียก่อนเพราะกลัวฟางสงจะถามน้องชายผู้แสนซื่อของเขาไปมากกว่านี้พอถามไปถามมา กลัวว่าน้องชายจะบอกแม้กระทั่งว่าซาลาเปาทำอย่างไร
อย่างไรก็ตามเื่ของครอบครัวลู่ซานที่สามารถทำเงินได้จากการขายซาลาเปาหกสิบหยวนก็แพร่กระจายไปในหมู่บ้าน ในเวลาไม่นานทุกคนก็รู้กันหมดแม้แต่เด็กเล็กๆ ก็รู้
หลังจากผ่าฝูงชนจนกลับมาถึงบ้านทุกคนก็ช่วยกันยกของไปไว้ในห้องโถงของบ้านเหมือนเดิม เหตุผลที่หลินซีไม่ยอมเก็บของไว้ในห้องครัวทั้งหมดเพราะห้องครัวไม่ได้มีความกว้างขนาดนั้น และหลินซีก็เคยเห็นในข่าวว่าแป้งไม่ควรเก็บไว้ในห้องครัวเด็ดขาดเพราะมันอาจเกิดเหตุะเิได้
หลังจากจัดของในห้องโถงเสร็จหลินซีก็ชงน้ำชามาให้พ่อสามีกับแม่สามี แต่ก่อนต้องไปเก็บชาป่าที่มีรสชาติทั้งขมทั้งฝาดมาต้มกิน แต่ตอนนี้พอมีเงินขึ้นมาบ้างหลินซีก็ซื้อชาอย่างดีเอามาติดไว้ที่บ้านแล้วก็ไม่ต้องทนกินชาขมฝาดไม่อร่อยอีกแล้ว
คุณพ่อลู่มีสีหน้าไม่สู้ดีนักหลินซีที่เห็นแบบนั้นจึงเอ่ยถามด้วยความเป็ห่วง “คุณพ่อมีอะไรไม่สบายใจหรือคะทำไมถึงทำหน้าเคร่งเครียดอย่างนี้”
คุณพ่อลู่ถอนหายใจแล้วก็พูดว่า “ก็เื่วันนี้น่ะสิมีคนมาถามเราแบบนี้พวกเขาอาจจะไปขายของในเมืองเหมือนเราก็ได้” คุณพ่อลู่กังวลว่าจะมีคู่แข่งมาแย่งลูกค้าไป
“คุณพ่อคะเราห้ามให้ใครมาเปิดร้านแข่งกับพวกเราไม่ได้หรอกค่ะ มีหลายคนเหมือนกันที่เห็นเราสามารถตั้งแผงลอยขายของได้พวกเขาเองก็คงอยากขายเหมือนกัน แต่ก็ไม่ต้องกลัวเลยนะคะเพราะซาลาเปาที่เราทำทั้งอร่อยคงยากที่จะมีใครทำได้อร่อยเท่าเรา หากมีคนทำอร่อยมากกว่าเราจริงๆ เราก็เปลี่ยนไปขายอย่างอื่นก็ได้ค่ะ ฉันยังทำอาหารได้อีกหลายอย่าง คุณพ่อไม่ต้องกังวลเลยนะคะ เราแค่รักษาคุณภาพของพวกเราไว้เหมือนเดิมอย่างนี้ต่อไปฉันว่ายังไงเราก็สามารถขายได้เหมือนเดิมค่ะ”
หลินซีพูดความจริงให้คุณพ่อลู่กับคุณแม่ลู่สบายใจเพราะเธอคิดแบบนั้นจริงๆ
ใน่หลายวันที่ผ่านมานี้ก็มีลูกค้าประจำที่ชอบกินซาลาเปาร้านเธอ หลายคนก็ซื้อกลับไปฝากครอบครัวมีหลายคนที่กินซาลาเปาร้านเธอทุกวัน จนเธอจำพวกเขาได้เธอเคยถามพวกกินซาลาเปาร้านเธอทุกวันไม่เบื่อบ้างหรอ แต่พวกเขาก็บอกว่าไม่รู้สึกเบื่อเลยเพราะซาลาเปาที่เธอทำนั้นอร่อยมาก
เมื่อเห็นว่าพ่อแม่สามีมีใบหน้าที่ดีขึ้นมาบ้างแล้ว หลินซีก็เข้าครัวทำอาหาร
“อาหารฝีมือลูกสะใภ้นี่อร่อยจริงๆ ฉันอายุมากขนาดนี้แล้วแต่ยังไม่เคยกินอาหารที่ไหนอร่อยขนาดนี้มาก่อน”
บนโต๊ะอาหารมีแต่เสียงหัวเราะของทั้งสามคน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้