ความรู้สึกวิงเวียนศีรษะทำให้ไป๋หยุนเฟยเคลื่อนไหวเชื่องช้าไปบ้าง ยามที่ไม่ทันระวังกลับถูกบังคับให้กลับเข้าสู่วงล้อม
หัวหน้ากลุ่มของคนเหล่านี้ไม่ใช่ใครอื่นแต่คือจ้าวผิง และบุรุษผิวคล้ำที่มีปฏิกิริยาก่อนผู้อื่นฟันดาบใส่ไป๋หยุนเฟยคือรองหัวหน้านามว่าเว่ยซวีเป็ผู้บรรลุด่านนวกะิญญาระดับปลาย
หลังจากบังคับไป๋หยุนเฟยล่าถอยก็ไม่เปิดโอกาสให้โคจรพลังิญญาเพื่อฟื้นฟูสภาพ จ้าวผิงะโเสียงกึกก้องอีกครา “คร่ากุมมัน!” จากนั้นจึงนำผู้คนเข้าปะทะกับไป๋หยุนเฟย
ด้วยสภาพในปัจจุบันที่ไม่เหมาะจะใช้ทวนเปลวอัคคีอีกทั้งในใจมันยังตื่นตระหนกอยู่บ้าง ทว่าศัตรูแม้จะมีจำนวนมากมายยิ่ง แต่มันก็พบว่าฝ่ายตรงข้ามกลับไม่มีผู้ฝึกปรือิญญาที่เข้มแข็งกว่ามันแม้แต่ผู้เดียว
ไป๋หยุนเฟยใช้เท้าเกี่ยวม้านั่งที่ด้านข้างขึ้นแล้วขว้างไปยังกลุ่มคนที่รุมล้อมเข้ามาทางด้านซ้าย จากนั้นฉวยโอกาสที่ศัตรูหลบเลี่ยงรีบพุ่งกายอย่างว่องไวพลางถีบเท้าออก
เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้เป็นักสู้มากประสบการณ์ พวกมันร้ายกาจกว่าเหล่าโจรที่ถูกไป๋หยุนเฟยเข่นฆ่ามากมายหลายเท่านัก เมื่อทราบว่าฝ่ายตนเสียเปรียบหากปล่อยให้ไป๋หยุนเฟยเข้าประชิดตัวก็รีบขยายวงล้อมออกไปหลายก้าว จากนั้นผู้ใช้อาวุธยาวก็ถืออาวุธดาหน้าออกมาขวางทางไป๋หยุนเฟยไว้
ร่างไป๋หยุนเฟยชะงักไปชั่วครู่ เดิมทีมันหมายจะะโข้ามวงล้อมออกไปแต่กลับปรากฏการจู่โจมเข้ามาจากด้านหลัง จึงไม่มีทางเลือกได้แต่หันกายกลับไปปัดป้อง
หลังจากยกมีดสั้นขึ้นปะทะกระบี่สั้นของจ้าวผิง ไป๋หยุนเฟยก็เบี่ยงกายไปด้านข้างหลบเลี่ยงคมดาบของเว่ยซวีและถีบเท้าบีบมันล่าถอยไป ขณะเดียวกันก็ถอนมือมาคว้าจับทวนยาวที่ทิ่มแทงเข้ามา มือขวาไป๋หยุนเฟยปรากฏเส้นเืดำปูดขึ้นจากนั้นกวาดทวนขนานพื้นอย่างหักโหมบังคับศัตรูทั้งหลายที่พุ่งเข้ามาล่าถอยไป
ไป๋หยุนเฟยสั่นศีรษะโดยแรง ดวงตามันเปี่ยมแววอำมหิต หากว่ามันไม่ถูกวางยาศัตรูย่อมไม่อาจบีบให้มันลงมือสุดกำลังและมันย่อมไม่ปล่อยให้สัตรูรุมล้อมเช่นนี้!
เมื่อถูกบังคับล่าถอยจ้าวผิงกลับไม่หยุดยั้งลง แต่กระชับกระบี่สั้นพุ่งกายเข้ามาอีกครา ยามที่กระบี่สั้นจะเชือดถูกคอหอย ร่างไป๋หยุนเฟยพลันบิดพลิกไปอีกด้านอย่างพิสดาร ขณะที่ร่างมันจะััพื้นก็ดีดกลับขึ้นมาราวตุ๊กตาล้มลุกจากนั้นสืบเท้าออก ขาทั้งสองข้างของไป๋หยุนเฟยกลับกลายเป็พร่าเลือน มิคาดว่าเพียงหันกายไปก็ประชิดร่างจ้าวผิงได้แล้ว
จะเป็สิ่งใดหากไม่ใช่ท่าเท้าเหยียบคลื่น!
ไป๋หยุนเฟยยกมีดสั้นขึ้นพุ่งแทงเข้าที่ระหว่างคิ้วศัตรู! จ้าวผิงตื่นตระหนกยิ่งรีบยกกระบี่ขึ้นปิดป้อง ทว่าพลันรู้สึกเ็ปที่ท้องน้อยอย่างกะทันหันจากนั้นก็ปลิวละลิ่วออกไปด้วยเท้าของไป๋หยุนเฟย!
เพียงไป๋หยุนเฟยคิดจะไล่ตามไปจู่โจมก็ปรากฏดาบใหญ่ฟันขวางเข้าใส่ มันแค่นหัวเราะอย่างเ็า ฉับพลันร่างไป๋หยุนเฟยหงายไปด้านหลังและกลายเป็เงาพร่าเลือนหลบเลี่ยงคมอาวุธที่ระดมจู่โจมเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จากนั้นจึงพุ่งกายออกจากวงล้อมของศัตรูตรงเข้าหาเบื้องหน้าเว่ยซวีพร้อมกับต่อยหมัดออกโดยไม่รีรอแม้แต่น้อย!
หลังจากตวัดดาบออกเว่ยซวีกลับเห็นเพียงเงาพร่าพรายในคลองจักษุ ชั่วพริบตาศัตรูก็ปรากฏตรงหน้าพร้อมกับหมัดที่จู่โจมถึงตัว! มันบังเกิดความแตกตื่นอย่างใหญ่หลวงรีบยกดาบขึ้นปิดป้องทรวงอกหวังจะใช้คมดาบปะทะกำปั้นศัตรู
ดวงตาไป๋หยุนเฟยทอประกายอำมหิต พร้อมกับแขนขวาที่เส้นเืดำเบ่งพองขึ้นซัดกำปั้นออกไปพร้อมเสียงหวืดหวือกระแทกถูกคมดาบ เสียงแตกร้าวดังแ่เบายามที่ดาบใหญ่ถูกกระแทกเป็ชิ้นเล็กชิ้นน้อย ก่อนที่เว่ยซวีจะทันยินดีที่ป้องกันหมัดนี้ไว้ได้ก็ถูกกำปั้นกระแทกปลิวขึ้นไปกลางอากาศร่วมวาราวกับถูกกระแทกด้วยน้ำหนักหลายพันชั่งก่อนจะร่วงลงกับพื้นนอกวงต่อสู้ด้านหลัง หลังจากกระอักโลหิตคำโตกลางอากาศแล้วร่วงกระแทกพื้นเว่ยซวีก็แน่นิ่งไป ต่อให้ยังมีลมหายใจแต่ก็ไม่อาจต่อสู้ได้อีก
นี่เป็วิชาระลอกคลื่นขั้นแรก พลังหมัดสามทบ!
ไป๋หยุนเฟยไม่มีความคิดจะต่อสู้ จึงอาศัยช่องว่างที่ทุกคนชะงักค้างด้วยความตื่นตระหนกจากหมัดเมื่อครู่เร่งฝีเท้ากลายเป็เงาร่างพร่าเลือนพุ่งไปยังประตูโรงเตี๊ยม
ทว่าก่อนที่จะถึงประตูโรงเตี๊ยมก็ถูกขัดขวางอีกคราด้วยกระบี่จู่โจมเข้ามา --- จะเป็ผู้ใดหากไม่ใช่จ้าวผิงที่ถูกถีบกระเด็นไปก่อนหน้า
เมื่อเผชิญกับกระบี่ที่ขวางหน้า ร่างไป๋หยุนเฟยที่วิ่งตะบึงพลันหยุดยั้งลงได้อย่างพิสดาร ภายใต้แววตาเหลือเชื่อของศัตรู มันเอนกายไปด้านหลังจากนั้นใช้เท้าเป็จุดศูนย์เหวี่ยงหมุนครึ่งวงกลมราวลูกแก้วกลิ้งตามขอบอ่าง ยามที่ไป๋หยุนเฟยยืดกายขึ้นร่างมันก็ไปปรากฏอยู่อีกด้านแล้ว!
ดวงตาไป๋หยุนเฟยทอประกายเย็นเยียบ มันสะบัดมีดสั้นในมือแทงใส่ขั้วหัวใจศัตรูสุดแรง!
นับว่าสายเกินกว่าที่จ้าวผิงจะวกกระบี่กลับมาป้องกันได้ ยามหมดหนทางได้แต่กัดฟันเคลื่อนกายไปด้านข้างหนึ่งนิ้วอย่างหักโหม ก่อนจะส่งเสียงครวญครางอย่างเ็ปยามถูกมีดสั้นแทงถูกไหล่ซ้ายมัน
ดวงตาไป๋หยุนเฟยทอประกายผิดหวังวูบ เมื่อกวาดตามองก็พบเห็นเหล่านักสู้ที่รู้สึกตัวพุ่งเข้ามาอีก ก็พลันยกขาซ้ายถีบใส่หน้าท้องจ้าวผิง
เสียงหนักทึบดังขึ้นพร้อมกับมีดสั้นถูกดึงออกมาส่งโลหิตฉีดพุ่งเป็เส้นสาย แล้วร่างจ้าวผิงก็พุ่งกระเด็นเข้าหาผู้คนที่รุมล้อมเข้ามาราวะุปืนใหญ่ คนกลุ่มใหญ่จึงแตกฮือไปคนละทิศคนละทาง
หลังจากถีบส่งจ้าวผิงออกไป ไป๋หยุนเฟยก็หันหลังทะยานกายออกจากประตูจากไปโดยไม่รีรอ
ทันทีที่ย่ำเท้าลงพื้นด้านนอก เงาสีดำพลันพุ่งออกจากมุมมืดข้างประตูตรงเข้าใส่ไป๋หยุนเฟยโดยปราศจากวี่แววล่วงหน้า!
ไป๋หยุนเฟยแตกตื่นยิ่งรีบยกมีดสั้นขึ้นป้องอกขณะเดียวกันก็สลับเปลี่ยนท่าเท้าเคลื่อนกายออกด้านข้าง
เงาดำขนาดเล็กและไป๋หยุนเฟยเฉียดผ่านกันไปราวกับสิ่งนั้นไม่ได้้าจู่โจมแต่แรก แต่ยามที่เฉียดผ่านกันไป๋หยุนเฟยพลันรู้สึกเย็นที่หลังมือซึ่งยกขึ้นเบื้องหน้าราวกับถูกของเหลวกระทบถูก
เมื่อออกจากโรงเตี๊ยมได้ ไป๋หยุนเฟยก็ชำเลืองมองกลับหลัง เห็นเงานั้นลงสู่พื้น --- มิคาดว่าจะเป็สัตว์ขนาดเล็กดูเหมือนกระรอกสีเทา
ผู้คนในโรงเตี๊ยมได้แต่มองดูอย่างอับจนปัญญาเมื่อเห็นไป๋หยุนเฟยพุ่งกายไม่กี่คราก็หายลับไป พวกมันหันกลับไปมองหัวหน้าและรองหัวหน้าที่รับาเ็ทั้งคู่ จากนั้นหันมามองกันอย่างท้อแท้ไม่ทราบจะทำอย่างไรต่อไป
จ้าวผิงนั่งกับพื้นกัดฟันหลั่งเหงื่อเย็นเยียบ เท้านี้ของไป๋หยุนเฟยถีบได้หนักหน่วงยิ่ง หากมันเป็คนธรรมดาคงสลบไปแล้ว
“มันจากไปแล้ว พวกเ้ายังยืนที่นั่นทำอะไร?! ยังไม่รีบไปดูรองหัวหน้าอีก!” ผ่านไปครู่ใหญ่จ้าวผิงจึงสูดหายใจลึกก่อนจะด่าว่าด้วยเสียงอันดัง
เห็นเหล่าสมุนฮือเข้าไปตรวจดูเว่ยซวีราวผึ้งแตกรัง จ้าวผิงได้แต่สั่นศีรษะท้อแท้ จากนั้นโคจรพลังิญญาอย่างเงียบงันเพื่อรักษาอาการาเ็บนร่าง ขณะเดียวกันก็ลอบถอนใจกับตนเอง
“เฮ้อ... ข้ากลับคำนวณผิดพลาด ตามข้อมูลที่ได้รับมา ระบุอย่างชัดเจนว่าขณะลงมือสังหารนายน้อย คนผู้นี้บรรลุเพียงด่านปัจเจกิญญาระดับปลาย แต่ทว่ายามนี้ดูเหมือนมันทะลวงผ่านถึงด่านวีรชนิญญาแล้ว การทะลวงด่านได้ในเวลากระชั้นเช่นนี้อาจเป็เพราะมันฝึกปรือถึงขีดสุดของด่านปัจเจกิญญาก่อนจะลงมือกับนายน้อย...”
“คนผู้นี้รับมือได้ยากยิ่ง ตลอดการต่อสู้ข้าแทงกระบี่ออกได้เพียงไม่กี่ครา มันกลับไม่เปิดโอกาสให้ข้าเข้าพัวพันต่อสู้ด้วย อีกอย่างกระบวนท่าที่ใช้ทำร้ายเว่ยซวีนั้นสมควรเป็เคล็ดิญญา! มิหนำซ้ำท่าร่างราวภูตพรายนั้นก็เป็เคล็ดิญญาเช่นกัน! เห็นได้ชัดว่าฝีมือมันสูงส่งยิ่งแต่กลับหลีกเลี่ยงการต่อสู้อยู่ตลอดเวลา แม้่ท้ายจะได้เปรียบอย่างใหญ่หลวงมันกลับหลบหนีไปอย่างไม่ลังเล... คนผู้นี้กลับมีจิตใจผิดธรรมดาอย่างยิ่ง”
“จากการตรวจสอบของพวกเรา สองเดือนก่อนมันเป็เพียงคนธรรมดา มันพานพบวาสนาเช่นใดกันแน่?”
“ยามนี้ยากจะไล่ล่ามันได้แล้ว หลังจากหลงกลและถูกกลุ้มรุมพวกเรายังปล่อยให้มันหลุดรอดไปได้ ยังดีที่‘มุสิกเทาตามรอย’ทิ้ง‘ร่องรอย’ไว้บนตัวมันแล้ว ต่อไปย่อมไม่อาจหลบหนีได้อีก! พวกเราเพียงรอนายท่านมาถึงจากนั้นใช้มุสิกเทาตามรอยสืบเสาะหาว่ามันไปที่ใด...”
“น้ำลายของมุสิกเทาตามรอยคงประสิทธิภาพเพียงสามวัน แต่เมื่อส่งพิราบสื่อสารออกไปแล้ว ด้วยฝีเท้าของนายท่านสมควรมาถึงภายในพรุ่งนี้ยามสนธยา คนผู้นั้นย่อมไม่ทราบเื่และหลังจากเร่งรุดหลบหนีตลอดวันคาดว่ามันจะผ่อนคลายความตื่นตัวลง นายท่านก็จะมีเวลาเพียงพอที่จะไล่ตามมัน!”
“ไม่เลว... ดูเหมือนครานี้พวกเรายังไม่ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง”
… … … …
หลังจากหลบหนีออกมา ไป๋หยุนเฟยก็ไม่กล้าหยุดยั้งลง มันเพียงคะเนเส้นทางเล็กน้อยก็เร่งฝีเท้าหลบหนีไปตลอดทาง มันวิ่งตะบึงอยู่เกือบสี่ชั่วโมงในที่สุดก็หยุดเท้าอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเล็กๆสายหนึ่ง
การใช้ท่าเท้าเหยียบคลื่นไม่หยุดยั้งอย่างยาวนานแทบทำให้พลังิญญาของไป๋หยุนเฟยเหือดแห้งหมดสิ้น มันจึงไม่มีทางเลือกได้แต่หยุดพักชั่วครู่ก่อนจะคิดอ่านแผนการอื่นออก
ที่จริงหากไป๋หยุนเฟยคิดสังหาร คนในโรงเตี๊ยมย่อมไม่มีผู้ใดเอาชีวิตรอดได้ แต่เพราะมันไม่ทราบว่าศัตรูมีกำลังหนุนหรือไม่ หากรั้งอยู่นานยิ่งเพิ่มอันตรายขึ้นอีก อีกอย่างการเข่นฆ่าพวกมันกลับไม่มีประโยชน์อันใดดังนั้นั้แ่เริ่มต้นไป๋หยุนเฟยจึงมุ่งหลบหนีเพียงอย่างเดียว
ความรู้สึกหน้ามืดวิงเวียนศีรษะก็หมดสิ้นไปแล้ว ไป๋หยุนเฟยนั่งบนหินก้อนใหญ่ฟื้นฟูพลังิญญาที่สูญสิ้นอย่างเงียบงัน
“ข้ายังด้อยประสบการณ์ต่อโลกภายนอกเกินไป ผู้ใดจะคาดคิดว่าข้าจะตกหลุมพรางศัตรูง่ายดายเช่นนี้? โชคดีนักที่ข้าไม่ดื่มสุรา ไม่เช่นนั้น...” เมื่อหวนทบทวนเหตุการณ์ที่ถูกวางยา ไป๋หยุนเฟยยังคงอดไม่ได้ต้องคำนึงอย่างหวาดหวั่น
“บัดซบ ตระกูลจางมีอำนาจอิทธิพลขนาดไหนกันแน่? ไฉนพวกมันจึงมีบริวารมากมายในเมืองเล็กๆเช่นนี้? หรือทุกเมืองก็ล้วนเป็เช่นนี้? เป็ไปไม่ได้ นี่ต้องใช้ผู้ฝึกปรือิญญามากมายเกินไป ต่อให้ตระกูลจางมีอำนาจยิ่งใหญ่เพียงใดก็ไม่อาจส่งคนมากมายเช่นนี้ไปทุกเมือง นี่หมายความว่า... ข้าเคราะห์ร้ายเกินไปหรือ?” ถึงตรงนี้ไป๋หยุนเฟยก็อดไม่ได้ต้องสั่นศีรษะเย้ยหยันตนเองด้วยความรู้สึกท้อแท้อยู่บ้าง
ที่จริงแล้วไป๋หยุนเฟยนับว่าเคราะห์ร้ายเกินไปจริงๆที่มาถึงเมืองเหลาจิ่งแทนที่จะเป็เมืองอื่น นั่นเพราะจ้าวผิงและพวกกำลังออกค้นหาบริเวณใกล้เคียงอยู่พอดี หลังจากได้รับข้อความลับจากเถ้าแก่โรงเตี๊ยมก็เร่งรุดมามาทันที...
“ยามนี้ร่องรอยข้าถูกเปิดเผยแล้ว เชื่อว่าจางเจิ้นซานต้องเร่งรุดมาโดยเร็ว แย่แล้ว ข้าไม่อาจหยุดยั้งได้ ต้องรีบหนีให้ไกลขึ้นอีก”
“อีกอย่าง สัตว์ตัวเล็กที่ปรากฏในตอนท้ายนั้นนับว่าแปลกประลาด ของเหลวที่ถูกหลังมือข้าดูเหมือนจะเป็น้ำลายของมัน ไฉนมันทำเช่นนั้น?” ไป๋หยุนเฟยยกมือขวาขึ้นระดับสายตาจากนั้นสำรวจอย่างละเอียดภายใต้แสงจันทร์แต่ก็ไม่พบความผิดปกติ
แต่เมื่อนำมืออังใต้จมูกแล้วสูดดม มันก็ขมวดคิ้ว “มีกลิ่นอย่างเบาบาง หรือจะเป็... กลิ่นตามรอย!”
ยามนี้ใบหน้าไป๋หยุนเฟยกลับกลายเป็บิดเบี้ยวปั้นยาก มันยืนขึ้นและเดินไปยังริมแม่น้ำพลางยื่นมือจุ่มน้ำแล้วขัดถูไม่หยุด จากนั้นล้วงผงซักฟอกออกมาขัดถูมืออีกครา หลังจากล้างมืออยู่ชั่วน้ำเดือดจนกระทั่งหลังมือกลายเป็แดงก่ำจึงหยุดยั้ง
มันสูดดมมือขวาอีกคราก็ไม่ได้กลิ่นผิดปกติอีก ยามนี้ไป๋หยุนเฟยจึงผ่อนคลายลงเล็กน้อย กระนั้นก็ยังมีร่องรอยความกังวลค้างอยู่ในจิตใจ
“ดูเหมือนข้าจำต้องวางแผนให้ดีจึงจะหลบหนีได้พ้น!”
