หลิ่วซานจ้องหลิ่วเทียนฉีอย่างชิงชัง มองเขาวาดยันต์อย่างตั้งอกตั้งใจ พลันรู้สึกว่าที่ตนถูกท่านอาสามรังเกียจ ทั้งหมด ทั้งหมดล้วนเป็เพราะคนผู้นี้ หากไม่มีคนผู้นี้อยู่ ท่านอาสามไม่มีทางทำกับตนเช่นนี้ ไม่มีทางเป็อันขาด
หลิ่วซานจ้องหลิ่วเทียนฉี ในดวงตาเต็มไปด้วยความแค้นและความชิงชัง
ทันใดนั้น หลิ่วซานรู้สึกสันหลังเย็นวูบ เย็นจนนางอดตัวสั่นไม่ได้
“ยันต์พันปกปักษ์ พิถีพิถันเื่ความอ่อนช้อยเป็ดั่งใจ สองเส้นนี้แข็งเกินไปกระมัง”
ชั่วขณะต่อมา เสียงหนึ่งดังขึ้นอยู่หลังร่างหลิ่วเทียนฉี
เมื่อเขาได้ยินก็รีบหันกลับไป พบอู๋ฉิงยืนอยู่บนทางเดินระหว่างเขากับหลิ่วซาน ยืนอยู่ด้านหลังเขาพอดิบพอดี สายตามองเขาวาดยันต์อย่างตั้งใจอยู่
“อาจารย์ใหญ่อู๋ฉิง!” หลิ่วเทียนฉีกับหลิ่วซานรีบก้มศีรษะคำนับ
“อืม!” อู๋ฉิงขานรับนิ่งๆ ยื่นมือชี้สองจุดบนยันต์ของเขา
“สองจุดนี้ลากเส้นแข็งเกินไป แม้จะมองแล้วสวยงามแต่ยังอ่อนช้อยไม่พอ ส่งผลต่อฤทธิ์ป้องกันของยันต์ยิ่งนัก ไม่อาจทำให้ยันต์พันปกปักษ์สำแดงพลังทั้งหมดของมันออกมาได้อย่างแท้จริง”
“ขอรับ ศิษย์น้อมรับคำสั่งสอน!” หลิ่วเทียนฉีมองอู๋ฉิงแล้วพยักหน้าสองที
“อืม วาดอีกแผ่นสิ!”
“ขอรับ!” หลิ่วเทียนฉีขานรับ หยิบพู่กันขึ้นมา เริ่มต้นวาดยันต์พันปกปักษ์แผ่นที่สอง
เมื่อเห็นยันต์พันปกปักษ์แผ่นที่สองวาดดีกว่าแผ่นแรกอย่างเห็นได้ชัดหลังตนชี้แนะ อู๋ชิงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“ไม่เลว ขีดนี้อ่อนช้อยได้อีกนิด แต่ขีดนี้วาดได้พอดีแล้ว! เข้าใจได้ถูกต้อง”
“ขอบคุณอาจารย์ใหญ่ที่ชี้แนะขอรับ!” หลิ่วเทียนฉีก้มศีรษะ เอ่ยเสียงเบา
“วาดอีกแผ่นสิ!”
“ขอรับ!” เขาขานรับ วาดยันต์แผ่นที่สามออกมาอีก
เมื่อเห็นแผ่นที่สาม อู๋ฉิงพยักหน้าหลายหน “อืม แผ่นนี้วาดดียิ่งกว่า!”
“ล้วนเป็เพราะอาจารย์ใหญ่สั่งสอนขอรับ!” หลิ่วเทียนฉีเหลือบมองอู๋ฉิงอย่างขอบคุณ รีบเอ่ยประจบ
อู๋ฉิงมองหลิ่วเทียนฉีทีหนึ่งก่อนก้าวเดินไปข้างหน้า ขึ้นเวทีบรรยายไปทันที กระทั่งอู๋ฉิงยืนอยู่นิ่ง ศิษย์คนอื่นค่อยเริ่มทยอยมาถึง นั่งบนที่นั่งของตนเอง
“วันนี้ สิ่งที่ข้าจะสอนทุกคนคือยันต์ป้องกันขั้นสามระดับล่างหรือยันต์แสงกำเนิด ก่อนอื่น...” อู๋ฉิงเริ่มสอน
หลิ่วเทียนฉีมองอู๋ฉิงในอาภรณ์สีขาวพลิ้วสะบัดบนเวทีบรรยายแล้วจ้องยันต์ในมืออีกฝ่าย ฟังอย่างตั้งใจเป็พิเศษ
หลิ่วซานมองอู๋ฉิงสอนอยู่บนเวที หันมาชำเลืองมองหลิ่วเทียนฉีทีหนึ่ง ใจนางนึกเป็กังวลถึงขั้นหวาดกลัวอยู่ลางๆ อย่างไม่ทราบสาเหตุ!
แปลก นี่ข้ากำลังกลัวสิ่งใดกัน? คิดเหลวไหลอะไรอีกแล้วหรือ?
.........
เที่ยงวัน
เฉียวรุ่ยกับหลิ่วอู่เลิกเรียนแล้ว หนึ่งหน้าหนึ่งหลังพากันเดินออกจากวิทยาลัยยุทธ์มาถึงประตูวิทยาลัยยันต์ รอหลิ่วเทียนฉีกับหลิ่วซือเลิก และเพราะทั้งสองคนชังน้ำหน้ากันเอง คนหนึ่งจึงยืนอยู่ด้านซ้ายของประตู อีกคนยืนอยู่ด้านขวา ช่างดูห่างไกลนัก
เฉียวรุ่ยยืนไขว้ขาอยู่หน้าประตูใหญ่ ชะเง้อมองเข้าไปด้านใน สอดส่องชั้นเรียนของหลิ่วเทียนฉี กระทั่งรู้สึกว่าหลังร่างตนมีคนอยู่
เฉียวรุ่ยรีบหันมา เขาเห็นผู้ฝึกตนหญิงสองนาง นางหนึ่งคือเมิ่งเฟย อีกนางหนึ่งสวมกระโปรงสีขาวทั้งร่าง อีกทั้งสวมผ้าตาข่ายสีขาวปิดบังใบหน้า เฉียวรุ่ยคิดว่าตนคงไม่รู้จัก
“อ้าว ศิษย์พี่เมิ่ง ทำไมท่านถึงมาที่วิทยาลัยยันต์เล่า?” เฉียวรุ่ยเห็นเมิ่งเฟยก็ยิ้มพลางเอ่ยถาม
“ข้ามาที่นี่ย่อมมาหาเทียนฉีของเ้าสิ ข้าไม่รู้จักผู้ใช้ยันต์คนอื่นสักหน่อย!” เมิ่งเฟยมองเฉียวรุ่ยด้วยใบหน้ายิ้มก่อนตอบกลับ
ได้ยินเช่นนั้น เฉียวรุ่ยส่งยิ้มอีกครั้ง “ศิษย์พี่เมิ่ง ตอนนี้ท่านเป็ยอดคนงามเสียแล้ว ยังต้องมาหาเทียนฉีของข้าอีกทำไมเล่า?”
ก่อนหน้านี้ บนใบหน้าของเมิ่งเฟยมีรอยตำหนิดวงใหญ่อยู่ จึงถูกเรียกขานว่าเป็ตัวอัปลักษณ์แห่งวิทยาลัยหลอมอุปกรณ์ แต่ตอนนี้ เมิ่งเฟยผู้ไม่มีรอยตำหนิกลับกลายเป็ยอดหญิงงามอันดับหนึ่งของวิทยาลัยหลอมอุปกรณ์ไปเสียแล้ว ได้ยินว่าช่างหลอมอุปกรณ์ล้วนเข้ามาจีบศิษย์พี่เมิ่งกันมากมายทีเดียวเชียว!
ได้ยินคำพูดโชยกลิ่นหึงของเฉียวรุ่ย เมิ่งเฟยก็กลอกตามองบนอย่างจนปัญญา
“เ้าไหน้ำส้มน้อยนี่ วางใจเถอะ ข้าไม่มาแย่งหลิ่วเทียนฉีของเ้าหรอก ข้ามาให้เขาช่วยรักษาหน้าของหลิงหลิงต่างหากล่ะ” เมิ่งเฟยพูดพลางมองสตรีชุดขาวข้างกาย
“อ่า ศิษย์พี่หญิงท่านนี้คือ?” เฉียวรุ่ยมองสตรีชุดขาวแล้วถามอย่างสงสัย
“ข้าคือจงหลิงแห่งวิทยาลัยค่ายกล”
“อ้อ ที่แท้คือศิษย์พี่จงนี่เอง! ข้าคือเฉียวรุ่ย เป็คู่หมั้นของหลิ่วเทียนฉี!”
“อืม ได้ยินเฟยเฟยบอกอยู่ บอกว่าศิษย์น้องหลิ่วมีคู่หมั้นรูปโฉมงดงาม พลังยุทธ์สูงส่งชื่อศิษย์น้องเฉียว!”
“ฮ่าๆๆ ศิษย์พี่หญิงทั้งสองชมเกินไปแล้ว!” เฉียวรุ่ยโบกมือ พอถูกชมก็ทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย
หลิ่วอู่เห็นท่าทางหัวเราะแก้เขินฮะๆ นั่นก็เบะปากหยัน อยู่ดีไม่ว่าดี ได้ยินผู้อื่นชมเฉียวรุ่ย นางรู้สึกสะอิดสะเอียนเป็อย่างหนัก
“ไม่รู้เป็เ้างั่งจากที่ไหน ถึงกับวิ่งมาหาหลิ่วเทียนฉี ให้เ้าขยะคนนั้นรักษาหน้า ข้าว่าคงสติฟั่นเฟือนไม่เบานะ? ป่วยก็ควรไปหานักหลอมโอสถสิ? วิ่งมาหาผู้ใช้ยันต์ทำไมเล่า? โง่เง่า!”
ได้ยินเข้า สามคนที่คุยเล่นหัวเราะอย่างสนุกสนานอยู่ต่างหันไปมอง
“ยัยหนูอัปลักษณ์!” เมิ่งเฟยไม่พอใจ ถลึงตาสะบัดแขนเสื้อ เอ่ยปากคำหนึ่งแล้วตบหน้าหลิ่วอู่จังๆ
“ยัยแก่บ้า นี่เ้ากล้าตบข้า?” หลิ่วอู่โดนตบก็ทำตัวประหนึ่งแมวถูกเหยียบหาง พองขนใส่
“เฮอะ ยัยหนูอัปลักษณ์ ข้าตบเ้าแล้วอย่างไรเล่า ก็ปากโสมมของเ้ามันเรียกร้องให้ข้าตบเอง!” เมิ่งเฟยพูดพลางสะบัดแขนเสื้อ อีกหนึ่งฝ่ามือหวดเข้าใส่หลิ่วอู่ทันที
“เ้า ยัยแก่บ้านี่!” หลิ่วอู่รีบร้อนหลบ หนึ่งหมัดต่อยใส่เมิ่งเฟยอย่างเคียดแค้น
เห็นเงาหมัดที่พุ่งเข้าหา เมิ่งเฟยเบะปากดูแคลน “เ้าคนไม่รู้จักกลัวตาย ถึงกับกล้าลงมือสวนข้าเชียวหรือ!”
สิ้นเสียง เมิ่งเฟยเหวี่ยงแขนทีหนึ่ง เงาหมัดผลึกแก้วใสแวววาวต่อยกลับไปทันที
“พรูด...” หลิ่วอู่ถูกเงาหมัดนั่นต่อยเข้าที่หน้าอกอย่างหนักหน่วง นางอ้าปากกระอักเืคำโตออกมาคำหนึ่ง ร่างโซเซถอยไปหลายก้าว ล้มกองอยู่กับพื้น
“เสี่ยวอู่!” หลิ่วซือเพิ่งเดินออกจากประตูใหญ่ เห็นภาพน้องสาวถูกทำร้ายกระอักเืก็รีบร้อนวิ่งเข้ามาพยุง
“ท่านพี่!” หลิ่วอู่เห็นพี่สาวของตน เอ่ยเรียกด้วยเสียงเบาหวิว
“เสี่ยวอู่ เกิดอะไรขึ้น มา กินโอสถรักษาอาการาเ็เม็ดหนึ่งก่อน!” หลิ่วซือบอกพลางรีบป้อนโอสถเม็ดหนึ่งให้น้องสาว
“เสี่ยวอู่ เกิดอะไรขึ้นกับเสี่ยวอู่?” หลิ่วซานเดินออกมาเห็นหลิ่วอู่ได้รับาเ็ก็รีบวิ่งเข้ามาด้วย
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน?” หลิ่วซือตอบพลางส่ายศีรษะ ชำเลืองมองฝั่งตรงข้ามอย่างฉงน สตรีผู้นั้นมีสีหน้าดุร้าย และยังมีเฉียวรุ่ยยืนอยู่ข้างกายกับสตรีปิดบังใบหน้าอีกคนหนึ่งอีก
“ยัยหนูอัปลักษณ์ รีบคุกเข่าโขกศีรษะยอมรับผิดเสีย ไม่เช่นนั้น วันนี้ข้าจะทำลายเ้าให้จงได้!” เมิ่งเฟยมองหลิ่วอู่ พูดด้วยน้ำเสียงเ็า
ได้ยินอย่างนั้น หลิ่วอู่มองอีกฝ่ายอย่างเคียดแค้น “เ้า ยัยแก่บ้าคนนี้ เ้ากล้าหรือไง!”
“เสี่ยวอู่!” หลิ่วซือตวาดเสียงดัง ส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายหุบปาก
เฮ้อ น้องสาวคนนี้นี่นะ ถูกบิดามารดาตามใจจนเสียนิสัย ดีแต่ทำให้ผู้อื่นหนักใจ อ้าปากทีหนึ่งทำไมถึงล่วงเกินใครต่อใครได้เสมอเช่นนี้นะ บางครั้งข้าก็อยากให้นางเป็ใบ้ไปเสียจริง!
“ยัยหนูอัปลักษณ์ ข้าขอบอกเ้าไว้ก่อน ในวิทยาลัยเซิ่งตูแห่งนี้ไม่มีใครกล้าไม่เคารพเมิ่งเฟยผู้นี้ หากวันนี้เ้าไม่โขกศีรษะยอมรับผิด ข้าจะอัดเ้าจนต้องหาฟันทั้งพื้น!” เมิ่งเฟยพูดจบ ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความกระหายอยากต่อสู้
“ฮ่าๆๆ ใครทำศิษย์พี่เมิ่งผู้งามล่มเมืองของพวกเราโกรธจนเป็เช่นนี้นะ?” หลิ่วเทียนฉีหัวเราะ เดินมาถึงข้างกายทั้งสองคน
“เทียนฉี!” เฉียวรุ่ยเห็นคนรักเดินออกมาจากประตูใหญ่วิทยาลัยยันต์ก็เข้าไปหาเป็คนแรก
ได้ยินคำเรียกของเฉียวรุ่ย สตรีขุดขาวที่ปิดบังใบหน้าก็หันไปมอง
หลิ่วเทียนฉีเห็นสตรีแปลกหน้าปิดหน้าปิดตาคนหนึ่งมองมาทางตน เขาก้มศีรษะเล็กน้อย แสดงท่าทีอย่างมีมารยาท
เมิ่งเฟยเห็นหลิ่วเทียนฉีก็ตวัดสายตามองอีกฝ่ายอย่างไม่สบอารมณ์
“ข้าว่านะศิษย์น้องหลิ่ว เ้านี่วางมาดมากเกินไปกระมัง ผู้ใช้ยันต์คนอื่นล้วนไปกันหมด แต่เ้ากลับออกมาคนสุดท้าย”
ได้ยินความไม่พอใจในถ้อยคำของเมิ่งเฟย หลิ่วเทียนฉีรีบประจบ
“ฮ่าๆๆ ช่วยไม่ได้นะขอรับ ข้าค่อนข้างโง่ ร่ำเรียนเร็วสู้ผู้อื่นไม่ได้เท่าไร จึงต้องรั้งอยู่พักหนึ่ง ค่อยๆ ร่ำเรียนน่ะขอรับ!”
ได้ยินอย่างนั้น หลิ่วซานกัดปากโดยไม่รู้ตัว ที่หลิ่วเทียนฉีออกมาเป็คนสุดท้าย ไม่ใช่เพราะเขาวาดยันต์ที่อาจารย์ใหญ่สอนได้ไม่ดีหรอก แต่เป็เพราะเมื่อถึงเวลาเลิกชั้นเรียน อาจารย์ใหญ่ไปยืนอยู่ข้างเขา คอยดูเทียนฉีวาดยันต์อยู่ตลอด
“เฮอะ คิดว่าข้าเชื่อหรือไง?” เมิ่งเฟยตอบกลับ
“ฮ่าๆๆ ศิษย์พี่เมิ่งมาเยือนถึงที่ ไม่ทราบว่ามีสิ่งใดรับสั่งหรือ?”
“เื่นี้อีกสักครู่ค่อยคุย ยัยหนูอัปลักษณ์นั่นใจกล้าด่าข้า ลงไม้ลงมือกับข้าอีก ข้าต้องอัดนางสักยกก่อนถึงจะพอใจ!” เมิ่งเฟยพูดพลางถกแขนเสื้อขึ้นอย่างห้าวหาญ
ได้ยินคำพูดนั้น เขาชำเลืองมองไปทางหลิ่วอู่ที่มุมปากมีรอยเืติดอยู่ รวมถึงหลิ่วซือกับหลิ่วซานที่ดูร้อนรนขึ้นมา
“น้องเจ็ด ในเมื่อเ้ากับศิษย์พี่ท่านนี้คุ้นเคยกันเป็อย่างดี ถ้าอย่างนั้น เ้าช่วยขอร้องแทนเสี่ยวอู่สักครั้งเถอะ!” หลิ่วซานมองเขา รีบร้อนเอ่ยปากให้ช่วย
ได้ยินเช่นนั้น หลิ่วเทียนฉีหรี่ตา นางเอกนี่พูดจาเก่งเสียจริง! อย่างกับว่าถ้าวันนี้เขาไม่สนเื่หลิ่วอู่ก็เท่ากับเขาไม่สนความสัมพันธ์พี่น้อง เห็นคนจะตายกลับคิดไม่ช่วย อย่างนั้นสินะ
“ศิษย์น้องหลิ่ว เ้ารู้จักพวกนางหรือ?” เมิ่งเฟยผินหน้าหันมาถามคนข้างตัว
“ขอรับ พวกนางสามคนเป็พี่สาวร่วมตระกูลของข้าเอง ศิษย์พี่เมิ่งอย่าโกรธเลย พี่ห้าของข้าเป็เพียงสาวน้อยบ้านนอกคนหนึ่ง นางมาจากสถานที่เล็กๆ จึงไม่รู้จักมารยาทดีพอ ไม่อาจเทียบท่านที่มาจากตระกูลใหญ่ชื่อดังได้หรอกขอรับ!”
“หลิ่วเทียนฉี นี่เ้าพูดอะไร? ถึงกับว่าข้าเป็สาวน้อยบ้านนอก เ้า เ้าขยะ เ้าสารเลว!”
“เพี๊ยะ!” หลิ่วซือยกมือขึ้น หนึ่งฝ่ามือตบหน้าหลิ่วอู่ที่กำลังคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว
“ท่านพี่!” หลิ่วอู่มองหลิ่วซือที่ตบตนเอง น้อยเนื้อต่ำใจจนขอบตาแดง
“หุบปาก!” หลิ่วซือตวาดลั่น เกือบจะถูกหลิ่วอู่ทำให้โมโหอกแตกเสียแล้ว ในใจได้แต่คิด ‘ทำไมข้าถึงต้องมีน้องสาวที่โง่เขลาปานนี้?’
พอหลิ่วอู่ถูกพี่สาวถลึงตาใส่และมองด้วยความโกรธเกรี้ยวก็รีบก้มหน้า ไม่กล้าเอ่ยวาจาต่อ
“ฮ่าๆๆๆ ศิษย์พี่เมิ่ง ท่านดูสิ พี่สี่ของข้าสั่งสอนนางแล้ว ท่านผู้เป็ใหญ่ โปรดใจกว้างอภัยให้นางได้ไหมขอรับ? ข้าได้ยินว่าที่โรงอาหาร พักนี้ซื้อเนื้อสัตว์อสูรสดใหม่จำนวนหนึ่งเข้ามา เที่ยงวันนี้ ขอให้ข้าได้เลี้ยงไถ่โทษศิษย์พี่เมิ่ง พวกเราไปโรงอาหารกันเลยดีไหมขอรับ?” หลิ่วเทียนฉีมองเมิ่งเฟยแล้วยิ้มพลางบอก
“ได้ เห็นแก่หน้าศิษย์น้องหลิ่ว วันนี้ข้าจะละเว้นยัยหนูอัปลักษณ์นี่ แต่ครั้งหน้าหากข้าพบนางอีก ข้าไม่มีทางละเว้นง่ายๆ แน่!” เมิ่งเฟยถลึงตาจ้องหลิ่วอู่ทีหนึ่ง กลับมายืนข้างจงหลิงก่อนหมุนตัวเดินจากไป
“ขอบคุณน้องเจ็ดมาก!” หลิ่วซือก้มศีรษะ รีบเอ่ยขอบคุณ
“พี่สี่ไม่ต้องเกรงใจ ทุกคนล้วนเป็ครอบครัวเดียวกัน!” หลิ่วเทียนฉีมองหลิ่วซือมีสีหน้าซาบซึ้งกับหลิ่วอู่ที่มีสีหน้าไม่ยินยอมทีหนึ่งก็จูงมือเฉียวรุ่ยเดินตามไป